****** รีวิว-สปอยล์พิเศษแบบเจาะเกราะ กับหนังโหดในตำนานเรื่องนี้ : The Untold Story / 1993 (ซาลาเปาเนื้อคน เวอร์ชั่นเต็มตัวหลุดกองเซ็นเซอร์!) ^_^

(* หมายเหตุ)
- ช่วงแรกของบทความ จะเป็นการรีวิวแบบพื้นฐาน
- ช่วงสองของบทความ จะเป็นการสปอยล์พิเศษแบบเจาะเกราะ
(ช่วงสอง สำหรับคนที่อยากเข้าใจเนื้อหาแบบเจาะลึกของหนังโหดเรื่องนี้ แต่ไม่กล้าดูตรงๆ อ่านบทสปอยล์ของช่วงสองจบ แทบจะเข้าใจเนื้อหาได้ทั้งหมดประหนึ่งนั่งดูหนังทั้งเรื่องในโรงภาพยนต์ฉบับเวอร์ชั่นเต็มตัวหลุดกองเซ็นเซอร์กันเลยทีเดียว)


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
( 1. ) ช่วงแรกของบทความ จะเป็นการรีวิวแบบพื้นฐาน

The Untold Story / 1993 (ซาลาเปาเนื้อคน)

ปฐมบทแห่งเมนูมื้อสวรรค์สาปส่งนรกแสยะยิ้มขานขับ
กับสูตรลับอันแสนวิปริตพิสดาร
เนื้อมนุษย์สับละเอียดยัดไส้ซาลาเปาสุดแสนวิปลาสอร่อยเหาะ
กลิ่นเย้ายวนชวนรัญจวนใจ
ใครหลายหลากรับรู้แสวงหาให้ได้มา
ซาลาเปาเนื้อคน….

The Untold Story หรือ The Eight Immortals Restaurant: The Untold Story หรือ Bat sin fan dim ji yan yuk cha siu bau (ซาลาเปาเนื้อคน)หนังโหดระดับตำนานของเกาะฮ่องกงในปี ค.ศ.1993 ผลงานการกำกับของ Danny Lee เเละ Herman Yau เขียนบทหนังโดย Law Kam Fai นำแสดงโดย Kuang Hsiung, Emily Kwan(Bo), Danny Lee(Officer Lee), Julie Lee(Pearl), Fui-On Shing(Cheng Poon), Anthony Wong Chau-Sang(Wong Chi Hang) เเละ Parkman Wong(Bull)

The Untold Story เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญอันดับ 1 ในประเทศฮ่องกง หนังสร้างจากเค้าโครงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงบนเกาะฮ่องกง เมื่อตัวเอกของเรื่องทำการฆาตกรรมครอบครัวหนึ่งอย่างสุดโหด และนำเนื้อจากการฆาตกรรมในครั้งนั้นมาเป็นส่วนประกอบในการทำซาลาเปาสำหรับขาย กระแสของหนังเรื่องนี้แรงมากๆจนผู้คนในประเทศฮ่องกงหลายคนเลิกรับประทานซาลาเปาไปยาวนานหลายเดือน นอกจากนี้กล่าวกันว่าหนังเรื่อง The Untold Story ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนังโหดที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการหนังฮ่องกงเคยทำมา เล่าลือกันว่าในปี ค.ศ.1993 เคยมีคนดูหนังเรื่องนี้เป็นลมช๊อกคาโรงหนังมาแล้ว นอกจากนี้ทางการของฮ่องกงเคยสั่งห้ามสร้างเลียนแบบ หรือสร้างหนังในสไตล์เรื่องดังกล่าวนี้โดยเด็ดขาด เพราะเข้าข่ายผิดศีลธรรมอย่างรุนแรงนั่นเอง

กล่าวถึงฉากแห่งตำนานในหนังเรื่อง The Untold Story (ซาลาเปาเนื้อคน) นั่นคือฉากที่ฆาตกรโหดจับเด็กตัวเล็กๆมาฆ่าโดยการสับคออย่างไร้ความปราณี ส่วนอีกฉากก็คือ ฉากที่ฆาตกรคลั่งลงมือข่มขืนเหยื่อแล้วใช้ตะเกียบทั้งกำมือ เสียบลงไปยังสามเหลี่ยมทองคำทุ่งหญ้านาผืนน้อย(ตรงนั้น)อย่างวิปริต


หลังดูจบ อึ้ง สติหลุดไปพักใหญ่ๆ เอาไปเลย 10 / 10 คะแนนอย่างไร้ข้อกังขาใดใดทั้งสิ้นจ๊ะ พี่แกโหด บ้า วิปริต เสื่อมแบบสุดจริงเรื่องนี้




@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

( 2. ) ช่วงสองของบทความ จะเป็นการสปอยล์พิเศษแบบเจาะเกราะ

The Untold Story / 1993 (ซาลาเปาเนื้อคน)
(* ถอดจากหนังเวอร์ชั่นหลุดกองเซ็นเซอร์ความยาว 1.36 ชั่วโมง)

เปิดเรื่องที่จีนแผ่นดินใหญ่ (ในประเทศฮ่องกง) ราวปี 1978
ตัวเอกชายของเรื่อง “เฉิน จื้อ เหลียง” (รับบทโดย Anthony Chau-Sang Wong) เดินทางมายังบ้านหลังหนึ่งเพื่อขอหยิบยืมเงืนจำนวน 20,000 เหรียญจากเพื่อนชายอีกคนเพื่อนำไปเล่นการพนัน แต่เพื่อนไม่ยอมให้ยืม เหตุผลคือ เฉิน จื้อ เหลียง ยังไม่ได้ชำระหนีเก่าที่คงค้างอยู่ ส่งผลให้เขาโกรธมาก ใช้กระทะเหล็กฟาดท้ายทอยเพื่อนที่ปฏิเสธการให้ยืมเงินจนกระโหลกยุบ จากนั้นจึงจับศีรษะของเพื่อนมาโขกกับกำแพงอีกหลายครั้งจนแทบสลบ ขณะที่เพื่อนนอนดิ้นชักกระแด๊กประหนึ่งไส้เดือนโดนขี้เถ้ามอดใส่ เฉิน จื้อ เหลียง ราดน้ำมันเทใส่ร่าง แล้วจุดไฟเผาทั้งเพื่อนและทั้งบ้านของเพื่อนวอดวายหายไปในกองเพลิงท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกึกก้องของเขาอย่างมีความสุขที่สุด จากนั้นเขาก็หนีหายไปอย่างไร้ร่องร่อย จนกระทั่ง….

ปี 1986 ที่มาเก๊า
ณ ชายหาดแห่งหนึ่ง แม่วัยกลางคน และลูกชายสองคนอายุไล่เลี่ยกันราว 7-8 ขวบปีกำลังช่วงกันจับปูเอาไปขายอย่างสนุกสนาน แต่แล้วสายตาเจ้ากรรมก็ดันไปเห็นกระสอบถุงใบหนึ่งลอยมาเกยตื้นตรงชายหาดเข้า พอเปิดดู ปรากฏภายในบรรจุอวัยวะมนุษย์ส่วนแขนและขาจำนวนหนึ่งไว้ คนเป็นแม่ตกใจกรีดร้องเสียงหลง แล้วก็แจ้งตำรวจ

ไม่นาน ตำรวจท้องถิ่นของมาเก๊าก็เดินทางมาถึง พร้อมกั้นบริเวณเพื่อกันสื่อมวลชนจากหลายสำนักที่มาทำข่าว ผู้หมวดให้ลูกน้องเก็บชิ้นส่วนศพกลับไปยังห้องพิสูจน์หลักฐานทั้งหมด รวมถึงสืบหาลายนิ้วมือให้ได้ ว่านี่เป็นศพของใคร?

ภาพตัดมาที่มุมหนึ่งในมาเก๊า ที่ร้านอาหารแปดเซียน ซึ่งเป็นร้านขายอาหารประเภทจีนโบราณ ขายซาลาเปา ขนมจีบ และน้ำชาในมาเก๊า ชื่อเสียงของแปดเซียนดังขจรขจายไปไกลทั่วทุกสารทิศว่าที่นี่มีอาหารสไตล์จีนโบราณที่อร่อยเอามากๆ “หวัง จื้อ เหิง” (ชื่อเดิมคือ เฉิน จื้อ เหลียง) ฆาตกรโหดที่หนีมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ขณะนี้เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารแปดเซียนแทบจะสมบูรณ์ โดยเหลือเพียงใบโอนกรรมสิทธิ์จากเถ้าแก่คนเก่าที่เขายื่นไว้กับทนายความส่วนตัวเท่านั้น เขาก็จะเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้โดยสมบูรณ์ แต่ติดตรงปัญหาที่มันไม่ง่ายเลยที่จะไปตามหาเถ้าแก่คนเก่า(ที่ตายไปแล้ว)ให้มาเซ็นรับรองสัญญษตรงหน้าทนายความ เรื่องมันเลยคาราคาซังกันอยู่ยาวนาน สร้างความขุ่นเคือนใจให้ หวัง จื้อ เหิง อยู่ไม่น้อย เมื่อโกรธ แต่ทำอะไรไม่ได้มาก ก็มาลงกับหมูตัวหนึ่งซึ่งเชือดเสร็จเรียบร้อย เขาสับ หั่น ชำแหละมันอย่างรุนแรง และน่ากลัวด้วยปังตอคู่ใจ

ภาพตัดกลับมาที่สถานีตำรวจท้องถิ่นในมาเก๊า ตำรวจตรวจหาเจ้าของลายนิ้วมือจนพบ ว่าคือลายนิ้วมือของชายวัยกลางคน เจ้าของร้านอาการแปดเซียนคนเก่าที่ชื่อ “เจิ้น หลิง” ซึ่งจู่ๆครอบครัวนี้ทั้ง 8 คนก็หายสาบสูญไปซะเฉยๆ นอกจากนี้ทางสถานีตำรวจยังได้รับจดหมายจากจีนแผ่นดินใหญ่(เขตฮ่องกง) จากน้องชายของ เจิ้น หลิง ว่าขอให้ทางตำรวจช่วยติดตามการหายตัวไปของครอบครัวนี้ด้วย เพราะทางบ้านติดต่อไม่ได้ และทาง เจิ้น หลิง ก็ไม่ได้ส่งเสียค่าเลี้ยงดูคนในครอบครัวมานานหลายเดือนแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องผิดปกติเป็นอย่างมาก เพราะเขารักครอบครัวที่จีนแผ่นดินใหญ่มาก ต้องส่งเงินมาให้ใช้จ่ายทุกเดือน จดหมายของครอบครัวนี้ถูกส่งมายังสถานีตำรวจท้องถิ่นในมาเก๊า และที่ร้านอาหารแปดเซียนอยู่บ่อยครั้ง


ภาพตัดมาที่มุมมืดภายในร้านอาหารแปดเซียน ที่นี่กลางวันเปิดขายอาหารจีน(เน้นซาลาเปา) ส่วนกลางคืนเปิดเป็นโต๊ะเล่นการพนัน (น่าจะเป็นวงไพ่นกกระจอก) หลังวงพนันเลิก หวัง จื้อ เหิง ไม่พอใจลูกน้อง(ชาย)พนักงานสับหมูภายในร้านเป็นอย่างมาก ที่พูดจาไม่เข้าหู ว่าใช้กลโกงในการเล่นพนันกับลูกค้าจนได้เงินมามากมาย คืนนั้นเองเขาจับลูกน้องคนดังกล่าว ลากเข้ามาในครัว จัดการทุบด้วยตะหลิวเหล็กขาดใหญ่จนล้มลงจมกองเลือดตาย แล้วก็จัดการชำแหละซากอย่างวิปริตด้วยอีโต้ เลาะเนื้อเอาไปทำไส้ซาลาเปา เอากระดูกใส่ถุงดำไปทิ้งใส่รถขยะมาเก็บช่วงดึก รุ่งเช้า ลูกค้าที่มาซื้อซาลาเปากินในร้านทุกคนต่างชมว่า “ซาลาเปาของร้านแปดเซียนไส้หนานุ่ม รสชาติดี อร่อยที่สุด” ปากต่อปากเล่าลือกันไปไกล จนทางร้านผลิตซาลาเปาขายแทบไม่ทันในแต่ละวัน

วันต่อมา ผู้หมวดพาตำรวจจำนวนหนึ่ง(ราว 10 นาย) ไปสืบหาข้อมูล(ตามจดหมายจากเมืองจีนขอร้องมา / อีกรอบ) และตามหาหลักฐานบางอย่างที่ร้านอาหารแปดเซียน หวัง จื้อ เหิง บอกตำรวจว่าตนเซ้งร้านอาหารแปดเซียนมาจากเถ้าแก่คนเก่าในราคา 180,000 เหรียญ ส่วนเถ้าแก่คนเก่านั้นย้ายบ้านไปอยู่ประเทศแคนาดาทั้งครอบครัวรวมแปดคน หลังจากนั้นทางตำรวจนำโดยผู้หมวดก็เดินสำรวจภายในร้านหลายๆพิกัด ซึ่งก็มีข้อพิรุทหลายเรื่อง โดยเฉพาะที่สาวแคชเชียร์ของร้านชื่อ “จู” เผลอพูดออกมาว่า “ทางร้านได้รับจดหมายจากจีนแผ่นดินใหญ่บ่อยมากๆ” ตำรวจตั้งเครื่องหมายคำถามเอาไว้ในใจ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรมากนัก จึงต้องกลับสถานีฯก่อน หวัง จื้อ เหิง ได้ทีจึงแถมซาลาเปาไส้หมู(ผสมเนื้อมนุษย์)ให้ตำรวจกินด้วยจำนวนหนึ่ง หลายกล่อง ปรากฏกินกันทั้งสถานีตำรวจด้วยควมอร่อย ติดใจกันทุกคน!

(นี่คือ 1 / 2 ของฉากที่ถูกกองเซ็นเซอร์ในหลายประเทศหั่นออก)
คืนนั้นเอง แคชเชียร์สาว จู ถูกเจ้านายของนางอย่างเถ้าแก่ หวัง จื้อ เหิง ลากไปฆ่าเพื่อปิดปาก(ข้อหาปากมากที่ไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับจดหมายหลายฉบับที่ส่งมาจากจีนแผ่นดินใหญ่) เขากระทืบนางจนช้ำไปทั้งตัว จากนั้นก็เอาหัวนางมาโขกกับโต๊ะ แล้วดึงฉีกเสื้อผ้าออกเป็นชิ้นๆ(เห็นหมดทั้งร่าง) นางซึ่งอยู่ในสภาพแทบจะเปลือยเปล่าถูกบังคับให้คลานเป็นสุนัขตัวเมีย เถ้าแก่ก็หยิบถ้วยชาปาใส่นางประหนึ่งสัตว์เลี้ยง แล้วเขาก็จับนางข่มขืนบนโต๊ะอาหาร หลังข่มขืนเสร็จ หวัง จื้อ เหิง หยิบตะเกียบขึ้นมากำหนึ่งนับได้ราว 15 ไม้ กำไว้ในมือแนบแน่น แล้วก็จับนางถ่างขา ใช้ตะเกียบกำนั้นแทงเข้าไปตรงหว่างขาของนาง 2 ครั้ง จนโลหิตทะลักออกมามากมาย นางตายตรงนั้น แล้ว หวัง จื้อ เหิง ก็จัดการลากร่างไร้วิญญาณของแคชเชียร์สาวเข้าห้องชำแหละ เอาเนื้อไปทำไส้ซาลาเปาต่ออย่างอารมณ์ดี

ตัดมาที่ตำรวจ สืบเรื่องราวต่อจากเจ้าของร้านตัดผม จนได้ความว่าครอบครัวของเถ้าแก่คนเก่าแห่งร้านแปดเซียนยังมีน้องชายแท้ๆอีกคนชื่อ “เจิ้น ปอ” เขาโดนคดีความบางอย่างจึงติดคุกอยู่ในมาเก๊า นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ลูกๆอีกจำนวน 5 คน (ชาย 1 หญิง 4 ) อายุราว 4-8 ขวบ จู่ๆก็หายตัวไปเฉยๆโดยที่ไม่ได้มาทำเรื่องย้ายโรงเรียนหรือลาออกแต่ประการใด “อืมมม….มันน่าสงสัยเสียจริงๆ” (ผู้หมวดคิดอยู่ในหัวคนเดียวเงียบๆ)

ต่อมา ผู้หมวดจึงสั่งให้ตำรวจในบังคับบัญชาหลายสิบนายแอบดักซุ่มอยู่รอบๆร้านอาหารแปดเซียนโดยที่ไม่ให้ หวัง จื้อ เหิง เจ้าของร้านล่วงรู้ คือให้เฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันผู้หมวดก็เดินทางไปพบหัวหน้าตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของมาเก๊า เพื่อขอให้สืบค้นข้อมูลบางอย่างให้ ผลการสืบค้นข้อมูลคือ เจ้าของร้านอาหารแปดเซียนและครอบครัวรวม 8 คนไม่เคยผ่าน ตม. เพื่อบินไปประเทศแคนาดาหรือประเทศไหนเลย ซึ่งก็หมายความว่า คนทั้ง 8 นี้ยังคงพักอาศัยอยู่ในมาเก๊า

ส่วน หวัง จื้อ เหิง (เจ้าของร้านอาหารแปดเซียนคนปัจจุบัน) เดิมทีเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่(ฮ่องกง) หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย แต่ก็แอบแปลกใจว่าเขาทำอย่างไรจึงสามารถมีบัตรประชนชน และกลายเป็นพลเมืองของมาเก๊าได้ในระยะเวลาสั้นๆเพียงปีเดียว(ซึ่งหัวหน้าตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเดาว่า หวัง จื้อ เหิง น่าจะใช้วิธีการผิดกฎหมายบางอย่างในการดำเนินเรื่อง โดยอาจยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ได้สถานะความเป็นพลเมืองโดยถาวร)

ภาพตัดกลับมาที่ร้านอาหารแปดเซียน หวัง จื้อ เหิง เก็บบัตรและข้อมูลทุกอย่างของเถ้าแก่คนเก่าเอาไปทิ้งใส่ในรถเก็บขยะ ซึ่งตำรวจที่ซุ่มดูอยู่ก็ตามไปเก็บหลักฐานเอาไว้ได้ทั้งหมด ในขณะเดียวกันเขารู้ตัว จึงพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ คือจะขึ้นเครื่องกลับไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ทางตำรวจมาเก๊าตามไปรวบตัวเอาไว้ได้ที่ ตม.

หลังจากที่หลักฐานแน่นหนาพอสมควรแล้ว ทางตำรวจมาเก๊าก็เริ่มเล่นบทโหดเพื่อพยายามจะปิดคดีนี้ให้ได้(เพราะมีข่าวลืออย่างหนาหูในช่วงนั้นว่า ถ้าตำรวจมาเก๊าปิดคดีไม่ได้ในระยะเวลาที่กำหนด ทางตำรวจฮ่องกงจะขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีแทน / ซึ่งมันเป็นการเสียหน้าอย่างใหญ่หลวง)

แน่นอนล่ะว่าตำรวจของมาเก๊าผู้มีอำนาจในการทำคดีนี้ไม่ยอมให้เกิดการเสียหน้าโดยเด็ดขาด จึงไฟเขียวให้ลูกน้องใช้ทุกวิถีทางในการทำให้ หวัง จื้อ เหิง รับสารภาพและยอมเล่าเรื่องราวการหายสาบสูญของเถ้าแก่ร้านอาหารแปดเซียนและครอบครัวรวม 8 ชีวิต แต่ปรากฎ ไม่ว่าจะจับ ฆาตกรโหด หวัง จื้อ เหิง มากระทืบจนกระอักเลือด, ใช้เข็มฉีดยาแทงจนยับไปทั้งร่าง หมอนี่ก็ไม่ยอมเล่าว่ามันทำให้ครอบครัวของเถ้าแก่คนเก่าหายไปได้อย่างไร หนำซ้ำพอมีทีเผลอ หวัง จื้อ เหิง วิ่งหนีออกมาจากวงล้อมของตำรวจชุดจับกุม ถอดเสื้อออก วิ่งไปหาฝูงนักข่าวนับได้เกือบ 20 ชีวิต เขาวิ่งไปฟ้องนักข่าวว่า…. “ถูกตำรวจมาเก๊ารุมกระทืบ ทารุณกรรมเพื่อให้รับสารภาพ” งานจึงเข้าผู้หมวดเป็นเท่าทวีคูณ เพราะสื่อหลักอย่างหนังสือพิมพ์หัวสีของมาเก๊าในยุคนั้นต่างเล่นข่าวหน้าหนึ่งว่ายาวนานหลายวันว่า…. “ฆาตกรโหด หวัง จื้อ เหิง ถูกตำรวจซ้อมทรมานให้รับสารภาพ”

ตำรวจจึงต้องเปลี่ยนแผน โดยผู้หมวดให้ควบคุมตัว หวัง จื้อ เหิง ให้เข้าไปอยู่ในคุกแทน ซึ่งมันเป็นคุกเดียวกับที่ “เจิ้น ปอ” น้องชายของเถ้าแก่คนเก่าแห่งร้านอาหารแปดเซียนติดอยู่ งานเข้าละสิ เพราะงานนี้ทางตำรวจมาเก๊าแอบร่วมมือกับนักโทษในคุกอีกสิบกว่าคนอย่างลับๆในการปิดคดี ด้วยการให้ เจิ้น ปอ พาพวกนักโทษขาโหดไปรุมกระทืบ หวัง จื้อ เหิง ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีผู้คุมเรือนจำทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่รู้ไม่ชี้ใดใดทั้งสิ้น งานนี้จึงเละในเละ เพราะ หวัง จื้อ เหิง โดนรุมกระทืบแบบรัวๆ โดนบีบไข่จนหน้าเขียว โดยจับหัวกดกับชักโครกเพื่อให้กินน้ำเยี่ยวน้ำขี้แบบสดๆ จากนั้นก็โดนฉี่ใส่หัวจนชุ่มไปหมด แล้วเอาเชือกรัดคอจนน้ำลายฟูปาก ช้ำในจนฉี่ออกเลือด ทุกวัน

จนอยู่มาวันหนึ่ง หวัง จื้อ เหิง หาวิธีการในการแหกคุกขึ้นมาได้ เขาแอบเก็บสังกะสีเก่าภายในคุกได้แผ่นหนึ่ง จึงเอามาฝนให้คม แล้วใช้เชือดข้อมือตนเองรวมถึงใช้ปากกัดเส้นเลือดจนขาด ทางผู้คุมตกใจจนตาเหลือก รีบนำตัว หวัง จื้อ เหิง เข้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล พออาการดีขึ้นจึงย้ายเขามาที่ห้องพักฟื้นโดยมีตำรวจกลุ่มหนึ่ง(ราว 5-6 คน)เฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ตำรวจมาเก๊าพยายามซ้อม หวัง จื้อ เหิง จนกระอักเลือดภายในห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลเพื่อให้เขาเล่าว่าทำอะไรกับ 8 คนที่หายสาบสูญไป แต่ไม่ว่าจะซ้อมกี่วันเขาก็ไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว จนวันหนึ่งตำรวจเผลอ หวัง จื้อ เหิง จับนางพยาบาลเอาไว้เป็นตัวประกัน โดยมีอาวุธเด็ดคือเข็มฉีดยาที่กำลังจ่อคอหอยของนางพยาบาลอยู่ แต่เขากลับหนีไม่สำเร็จ โดนตำรวจ 6 นายตามมาจับ และรุมกระทืบจนอาการปางตาย ภายในโรงพยาบาลแห่งนั้น

ตำรวจมาเก๊ายังไม่ละความพยายาม แผนรอบใหม่คือการจับ หวัง จื้อ เหิง ฉีดยากล่อมประสาทชนิดรุนแรงวันละ 3 เข็ม เป็นระยะเวลายาวนาน 3 วัน 3 คืน(72 ชั่วโมง) จากนั้นก็บังคับไม่ให้มันได้หลับได้นอน จนกว่าจะยอมเล่าออกมาว่าสมาชิกจำนวน 8 คนของร้านอาหารแปดเซียนหายไปไหน หายยังไง ซึ่งคราวนี้มันยอมแพ้ และเล่าความจริงให้ฟังว่า…..

เมื่อหลายปีก่อน หวัง จื้อ เหิง หนีคดีฆ่าคนตายจากจีนแผ่นดินใหญ่ แล้วก็เข้ามาสมัครงานที่ร้านอาหารแปดเซียน ซึ่งมีเถ้าแก่คนเก่าชื่อ เจิ้น หลิง บริหารจัดการร้านอยู่ นอกจากนี้ภายในร้านยังมีภรรยาของเขา และลูกๆอีก 5 คน(ชาย 1 หญิง 4) อายุราว 4-8 ขวบ วันหนึ่งเขาอาศัยกลโกงเล่นการพนันจนชนะเจ้าของร้านเป็นเงินจำนวน 183,300 เหรียญ แต่เถ้าแก่คนเก่าไม่ยอมจ่าย แล้วบอกว่าให้ลืมๆมันไปซะ หวัง จื้อ เหิง เลยโกรธสุดขีด ใช้ขวดน้ำฟาดหัวของคนในครอบครัวนี้จนเลือดกระจาย จากนั้นก็จับมัดรวมทั้งร้านได้ 7 คน นำมาขังรวมไว้ภายใน

(นี่คือ 2 / 2 ของฉากที่ถูกกองเซ็นเซอร์ในหลายประเทศหั่นออก)
เริ่มจาก หวัง จื้อ เหิง จับภรรยาของเจ้าของร้านแก้ผ้าและลวนลามนางต่อหน้าสามีและลูกๆอีก 5 คน แล้วก็ใช้ปากกัดแก้มของนางจนมีชิ้นเนื้อหลุดกระเด็นออกมา มันเอาชิ้นเนื้อไปปาใส่หน้าของสามีนางอย่างวิปริต จากนั้นก็จับลูกชายคนเล็กสุดของบ้านอายุราว 4 ขวบ อุ้มขึ้นมาแล้วใช้ขวดปากฉลามกรีดตรงลำคอจนเด็กตายคามือต่อหน้าพ่อแม่และพี่ๆอีกสี่คน ไม่พอ หวัง จื้อ เหิง ใช้ขวดปากฉลามเสียบเข้าที่ลำคอของภรรยาและเถ้าแก่จนตาย จากนั้นจึงเชือดคอลูกสาวอีก 2 คนจนตายด้วยมีดอีโต้ ลูกสาวคนต่อมาโดนจิกหัวขึ้นมาบนโต๊ะกินข้าว จิกหัวโขกลงไป 2-3 ครั้ง แล้วสับลงด้วยมีดอีโต้จนหัวขาด ลูกสาวคนสุดท้ายก็เช่นกัน มันหั่นนางด้วยมีดอีโต้จนตายคามือรวม 7 ศพ ส่วนศพที่ 8 เป็นแม่ยายของบ้านหลังนี้เดินทางมาเยี่ยมอาการป่วยของหลานๆ เลยถูก หวัง จื้อ เหิง ฆ่าตายอีกศพ หลังจากนั้นมันก็ทำลายศพด้วยการหั่นซากออกเป็นชิ้นๆ เลาะกระดูกเอาไปทิ้งรถเก็บขยะ ส่วนเนื้อเอาไปเข้าเครื่องบดทำไส้ซาลาเปาขายในวันรุ่งขึ้น(ตรงนี้เองที่ตำรวจทั้งโรงพักที่มาเก๊า วิ่งไปอ้วกแตกกันทั้งโรงพัก) เขาพลาดเพียงอย่างเดียว คือการเอาอวัยวะบางส่วนที่ลืมทำลายซาก อย่างมือและขาของเถ้าแก่คนเก่าไปโยนทิ้งทะเลเพราะเข้าใจว่าฝูงปลาจะช่วยกันกัดแทะซากจนหมด ไม่มีใครสาวมาถึงตัวเขาได้ นั่นแหล่ะ แค่นั้นเอง ชิ้นส่วนศพที่ยังไม่ได้ทำลายเพียงแค่นี้แหล่ะ เลยนำมาซึ่งการจบคดีอันยาวนานนี้ลงได้

ถึงตรงนี้ตำรวจมาเก๊าดีใจที่สามารถปิดคดีนี้ลงได้แม้ทุลักทุเลสุดขีดก็ตาม พร้อมกับคำพูดของผู้หมวดว่า…. “ฉันมีหลักฐานแน่นหนา ฉันฟ้องแกได้ ให้แกจบชีวิตในคุก”

กระนั้นตาม หวัง จื้อ เหิง มองกลับไปที่ผู้หมวด มันแสยะยิ้มพร้อมพูดว่า…. “พวกแกฟ้องฉันไม่ได้หรอก พวกแกฟ้องฉันไม่ได้หรอก พวกแกฟ้องฉันไม่ได้หรอก พวกแกฟ้องฉันไม่ได้หรอก พวกแกฟ้องฉันไม่ได้หรอก….”

รุ่นขึ้น ภายในคุก ผู้คุมพบ “หวัง จื้อ เหิง” (หรือชื่อเดิมคือ เฉิน จื้อ เหลียง) นักโทษหมายเลข 213 ใช้ฝาน้ำอัดลมกระป๋อง(ซึ่งไม่รู้เอามาจากไหน)เฉือนข้อมือตัวเองจนตาย ใช่ เขาตายในคุก พร้อมกับคำพูดที่ว่า…. “พวกแกฟ้องฉันไม่ได้หรอก” พร้อมร้านอาหารแปดเซียที่ถูกปิดตาย เป็นการปิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ยุ่งเหยิงโกลาหลที่สุดคดีหนึ่งของมาเก๊าและฮ่องกงตราบปัจจุบัน

* บทสปอยล์เขียนโดย : แอดมินซามาร่า ^_^
วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2564