หนังพูดถึงเรื่อง “ดิสโทเปีย” และ “ยูโทเปีย” ในดินแดนหนึ่ง เป็นหนังแปลกที่ถ้าดูจนจบเเล้วจะลืมไม่ลง : Hakuchi / 1999

>>>>https://samara-hatyai-17520.blogspot.com/2019/12/hakuchi-1999.html

(**** ปล. ดินแดนหนึ่ง.... หรือประเทศนั้น.... ที่กล่าวถึงภายในหนังเรื่องนี้ น่าจะหมายถึง ประเทศญี่ปุ่นในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 )

#โปรดงดดราม่านะเออ #อ่านรีวิวกันเงียบๆ (เพราะหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัย 20 ปีที่เเล้ว และสถานที่เกิดเหตุก็คือ ในญี่ปุ่น)

หนังใช้ชื่อว่า Hakuchi / 1999 (ชื่อในฉบับ original title) หรือ Hakuchi: The Innocent / 1999 หรือ l'idiote / 1999

เอาเข้าจริงๆเราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย เพราะขนาดในเว็บไซต์รีวิวหนังอย่าง IMDB ยังไม่ยอมเปิดเผยถึงเรื่องย่อของมันเเม้นเพียงบรรทัดเดียว เเถมลิ้งดูออนไลน์งานต้นฉบับยังหายากชนิดต้องแทรกเเผ่นดินดูกัน!

จนต่อมาคุณ “Kaiser” (นามสมมุติ) ไปค้นเจอต้นฉบับตัว Full ของเจ้า Hakuchi / 1999 เข้า เลยสะกิดเเล้วส่งมาให้ผู้เขียนหลังไมค์ เราจึงได้รีวิวหนังเรื่องนี้กันเพราะเหตุนี้เเล.... (ขอของพระคุณคุณ “Kaiser” มากครับผม)

Hakuchi / 1999 เรื่องนี้เป็นหนังสัญชาติญี่ปุ่นนำเสนอในเเนวทาง Genres: Drama | Fantasy | War ผลงานของ Director: Macoto Tezuka ร่วมเขียนบทหนังโดย Ango Sakaguchi (เเละ Macoto Tezuka) เล่าลือกันว่าแม้นหนังเผยเเพร่ไปตั้งเเต่วันที่ 13 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2544 (ในประเทศฝรั่งเศส) เเต่ ณ ปัจจุบันก็ยังมีนักวิจารณ์หลายคนพูดถึงมันอยู่บ่อยครั้ง

ขอยอมรับว่าตอนได้ไฟล์หนังมาใหม่ๆ สดๆ ซิงๆ ตื่นเต้นมาก เปิดดูได้ราว 10 นาทีเเรกเเล้วแทบหลับเลย งง ใน งง ว่าคืออะไร เอ้อ....หนังมันโคตรของโคตรน่าเบื่อเลย

เเต่....หลังจากดูมันไปเรื่อยๆ จวบจนนาทีที่ 50 เรากลับพบว่า เราไม่สามารถหยุดที่จะรับชมหนังเรื่องนี้ได้ ต้องดูมันไปเรื่อยๆ ดูเเบบไม่กดข้าม ดูวินาทีต่อวินาที อยากรู้.... อยากรู้ว่าฉากจบของมันจะเป็นเฉกเช่นไร (????)

ใช่ครับ.... หนังตัวเต็มของมันยาว 2.21 ชั่วโมงเลยนะเออ

เเต่ขอบอก....

ว่าคล้ายมันมีเเรงดึงดูด....

ให้ต้องนั่งดูจนจบ....

หนังบอกเล่าถึงดินเเดนหนึ่ง แม้นผู้กำกับไม่บอกว่าคือที่ไหน เเต่หลายคนก็คงเดากันออกว่า น่าจะเป็น ประเทศ(นั้น.... / ประเทศญี่ปุ่นในช่วงภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ) มันเป็นฉากเเละเรื่องราวในช่วงตอนที่ประเทศนั้นกำลังเผชิญศึกสงครามครั้งใหญ่อยู่ เราเข้าใจว่าข้าศึกกำลังโอบล้อมประเทศ ผู้ปกครอง ณ เขตปกครองแห่งหนึ่ง ที่บ้าอำนาจไม่สนใจอะไรนอกจากต้องการขยายอาณาเขตปกครองของตนให้ขจรขจายแผ่ไพศาล ทหารต้องสู้รบเพื่อชนชั้นปกครองเป็นหลัก ไม่ต้องไปสนใจประชาชนภายในประเทศ-เขตนั้นๆมากนัก ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ถ้ามีคนตะโกนว่าเศรษฐกิจภายในเขตไม่ดี ก็ให้ทำโฆษณาชวนเชื่อ โดยเอาดาราดังๆที่วัยรุ่นในยุคนั้นนิยมมาป่าวประกาศะว่า เศรษฐกิจของพวกเรากำลังโตโว๊ย ให้พวกมึงหุบปากซะ เราเดินมาถูกทางเเล้ว ขอให้เชื่อมั่นผู้นำของเขตปกครอง เเละใช้ชีวิตตามปกติ

เวลาบ้านเรือนของประชาชนโดนเครื่องบินรบของฝ่ายข้าศึกฝรั่งต่างชาติข้ามแดนเข้ามา ทิ้งระเบิดจนบ้านช่องห้องหับพินาศ ไหม้ไปในกองไฟ ก็ให้เอา TV ขาว-ดำ มาเเจกตามซุ้มต่างๆในหมู่บ้าน นำเสนอรายการของดาราวัยรุ่น สวยๆ หุ่นเซ็กซ์ซี่ๆ ที่ผู้ชายเเละผู้หญิงในประเทศนี้ชื่นชอบกัน ให้พวกนางเเต่งชุดที่มันวิลิศมาหรา ดูหรูหราคล้ายนางบนสรวงสวรรค์ ลอยลงมาหามนุษย์ เพื่อปลอบประโลมว่า พวกเราอยู่กันได้นะ เเละพวกเรากำลังมีความสุข ทันใดนั้นเอง....ภาพก็ตัดมาที่บ้าน ชุมชนโซนหนึ่งถูกระเบิดที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบินของพวกฝรั่ง พังพินาศ ปรากฏทีมโฆษณาชวนเชื่อของชนชั้นปกครอง ในเขตปกครองพิเศษรีบลงพื้นที่ ส่งนางรำในชุดสวยๆราว 5-6 คนมายืนถ่ายเเบบ ท่ามกลางเศษซากความสูญเสียบนคลาบน้ำตาของชาวบ้านตาดำๆในทันที.... ใช่ พวกเรากำลังมีความสุข เเละพวกเราอยู่กันได้จริงๆ!

จึงไม่แปลกที่ตามท้องถนนหนทาง มีประชาชนจำนวนมากที่ล้มตาย กลายเป็นซากศพ หรือกลายเป็นคนไร้บ้าน(เพราะบ้านโดนระเบิดที่ทิ้งจากเครื่องบินรบของฝรั่งจนพังยับ) พวกเขา(เเละเธอ)ต่างนั่งล้มวงดูรายการโฆษณาชวนเชื่อของหัวหน้าเขตปกครองพิเศษ ในประเทศ(นั้น....) อย่างมีความสุข พวกเขาต่างยิ้ม หัวเราะ ราวกับต้องมนต์สะกด คล้ายคนกำลังพี้กัญชาจนเต็มอิ่มในห้วงอารมณ์ ลอยล่อง สู่วิมานฉิมพลี....

ถ้าประชาชนคนไหน กลุ่มไหน ในเขตปกครองพิเศษ ดื้อดึง ไม่ยอมก้มสยบกับชนชั้นปกครองของเขต ก็ให้นำกำลังไปจับพวกมันมา ปรับกระบวนคิดซะ เพื่อให้เชื่อฟัง(จบ)

จากนั้นหนังบอกเล่าต่อถึงเรื่องราวของชายหนุ่มหน้าใส ตัวเอกในเรื่องอย่าง Isawa (รับบทโดย Tadanobu Asano / ใครจำไม่ได้ ก็คนที่เล่นบท ไอ้ปากฉีก Kakihara ใน Ichi the Killer / 2001 นั่นเเหล่ะ)

ตรงนี้หนังเล่าต่อถึงตัวละครตัวเอกของเรื่องคือ Isawa ที่มีบ้านตั้งอยู่ย่านชานเมืองในเขตชุมชนคนยากไร้ นอกจากนั้นหนังยังเล่าต่อว่าเขาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับรายการของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งในเขตปกครองพิเศษ ในประเทศนั้น โดยตั้งเเต่เขาทำงานมาเป็นระยะเวลาพอสมควร เขาเเละทีมงานไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่กับผู้กำกับรายการโทรทัศน์ช่องนี้ ที่มันบ้าอำนาจ เอาใจพวกชนชั้นปกครองในเขตปกครองพิเศษ สร้างโฆษณาชวนเชื่อหลอกประชาชนในพื้นที่ เเต่เพราะใจหนึ่งก็ต้องการเงินมาเยียวยาตนเอง เเละไม่อยากเป็นศัตรูกับคนมีอำนาจ เลยจำใจทำตามคำสั่งของหัวหน้าทุกประการ นอกจากนั้น Isawa ยังต้องคอยเขียนบท คอยรับใช้ดาราวัยรุ่นสาวสวย ดาวเด่นของรายการอย่าง Ginga (รับบทโดย Reika Hashimoto)ในทุกเรื่อง โดยถ้าวันไหนทำให้นางไม่พอใจ อาจโดนคนของนางรุมกระทืบเอาได้ง่ายๆ

ต่อมา.... ดูเหมือนสงครามเริ่มหนักเข้าเรื่อยๆ ข้าศึกโอบล้อมเขตปกครองพิเศษ โอบล้อมประเทศ-เมืองที่ Isawa เเละผองเพื่อนอาศัยอยู่ ทางผู้ใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ถูกบังคับจากส่วนกลางให้ล้างสมองประชาชนเเบบเต็มรูปแบบ ให้ไม่ต้องหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ฝ่าย Isawa ก็ถูกสั่งให้เขียนเเปลนการเเสดงของพวกศิลปินนักร้องวัยรุ่น นำมาเสนอให้ผู้กำกับสำหรับจัดฉากเเละการถ่ายทอดสด เพื่อล้างสมองมวลชน หนักหนาสาหัสขึ้นในทุกๆคืน จนทำให้ Isawa เริ่มอยู่ในภาวะซึมเศร้า หดหู่ สิ้นหวัง เครียด เเละเขาพยายามที่จะฆ่าตัวตายภายในมุมมืด ในห้องนอนของเขา ด้วยการผูกคอตาย อยู่บ่อยครั้ง แทบทุกคืน.... เเต่มันก็ยังไม่สำเร็จสักที โดยมีความฝันเพียงความหวังเล็กๆ อันเดียวที่เป็นประหนึ่งสายเชือกฉุดรั้งให้เขาฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ นั่นก็คือ กล้องถ่ายหนังสั้นขนาด 8 มม. กับความฝันว่าถ้าวันหนึ่งสงครามสงบ เขาจะได้มีโอกาสกลับมาเป็นผู้กำกับหนังสักครั้งในชีวิต....

จากนั้นหนังก็มีจุดเปลี่ยนเข้ามาอีกครั้ง เมื่อสาวสวยนางในฝันของ Isawa ซึ่งเป็นภรรยาของศิลปินบ้าข้างบ้านแอบหนีจากความวิปริตของสามี มาขอแอบอยู่ภายในตู้เก็บผ้าห่มของ Isawa

จากนั้นคนทั้งคู่ต่างก็สานสัมพันธ์อันดีกันเรื่อยมา ภายในตู้เก้บผ้าห่ม จวบจนเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ภายในหนังเรื่องนี้

คืนหนึ่ง.... พวกเราจะร่วมกันยืน จ้องมอง มวลหมู่ไฟบรรลัยกัลป์ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ทำลายล้างพวกเรา ด้วยความยินดี จนย่อยยับ....

****** ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน

หลังดูหนังจบ : คิดว่าหนังดีเลยล่ะ มีทุกอารมณ์เลยในเรื่องนี้ หนังมันหลอก หลอน บ้า เพ้อคลั่ง ล้างสมอง ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เสียจนย่อยยับ แต่หนังยาวไปนิดนะเออ(ราวสองชั่วโมงกว่าๆ)

ฉากนางรำในหนัง(บางฉาก)ดูจบแอบตกใจ เเละสงสัยว่าผู้กำกับไปขุดเอาชุดมาจากไหน(????) หรือพี่แกได้ไอเดียตอนมาเที่ยวเมืองไทยแล้วไปเห็นชุดนางรำในคาบาเร่โชว์ที่พัทยาเข้า จากนั้นพี่ท่านก็มองว่ามันสวยดี เลยหยิบเอามาใส่ในหนังเสียเลย (อันนี้มิอาจล่วงรู้ได้เลยจริงๆ)

ผู้เขียนเข้าใจเอาเองนะว่า ประเทศที่ผู้กำกับกำลังเอ่ยถึงภายในหนังเรื่อง Hakuchi / 1999 ก็คือประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของคุณผู้กำกับเองนี่เเหล่ะ น่าจะหยิบจับเอามาจากหน้าประวัติศาสตร์บทหนึ่ง ห้วงอารมณ์หนึ่งที่ผู้กำกับเคยได้รับรู้รับทราบข้อมูลมา ตอนสมัยเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (มั๊ง) จากนั้นนำมาปรับแต่งเปลี่ยนเป็นหนังเรื่องนี้ในเเนวทาง Drama | Fantasy | War เเล้วก็ใส่อะไรต่อมิอะไรลงไปเพิ่มเติมตามจินตนาการที่แกมี

ตัวหนัง มองผ่านๆ อาจจะเป็นอารมณ์ส่วนลึกที่เก็บซ่อนไว้ข้างในของคนญี่ปุ่นหลายคน ในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (มั๊ง) ที่ ณ ห้วงเวลานั้น เห็น รับรู้อยู่เต็มอก เเต่ไม่สามารถระบายมันออกมาได้ เนื่องจากสิทธิ์เสรีภาพทางการเเสดงออกมีของเขตที่จำกัดจำเขี่ย จวบจนเมื่อ 20 ปีก่อน(ปี ค.ศ.1999) ผู้กำกับเลยขอระบายออกมาด้วยผลงานศิลปะ-กลายเป็นหนังเรื่องนี้ไง

ฉะนั้น ที่สมาชิกรีวิวหลายท่านกำลังสงสัยว่า หนังเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์มาจากประเทศไหน บอกเลยจ๊ะ ไม่ใช่ประเทศไทยเเน่นอน (งดดราม่านะเออ)

ส่วนที่หลายคนกำลังตั้งข้อสงสัย ว่าชุดที่ทีมนักเเสดงในหนังเรื่องนี้ใช้สำหรับใส่-ถ่ายทำหนัง เป็นชุดคล้ายๆชุดไทยที่ผสมผสานกับชุดแปลกๆของต่างชาตินั้น ผู้เขียนคิดว่าคุณผู้กำกับ Director: Macoto Tezuka น่าจะได้ไอเดียมาจากช่วงตอนหนึ่ง(มั๊ง) อาจจะเป็นตอนที่มาเที่ยวในประเทศไทย เเล้วดันไปเห็นชุดนางโชว์-คาบาเร่โชว์ที่พัทยา หรือที่ไหนสักเเห่ง เลยปิ๊งไอเดียว่ามันสวยจัง ดูหรูหรา เลยหยิบเอามาเป็นชุดสำหรับให้นักเเสดงญี่ปุ่นใส่ขึ้นเวทีโชว์ในหนังเรื่องนี้เสียเลย ประมาณนี้มั๊ง โครงเรื่องหลักของหนังจึงไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับประเทศไทยจริงๆ(งดดราม่านะเออ / ขอย้ำอีกทีว่างดดราม่า!)

ถามถึงคะเเนน หนังดีเลยนะเรื่องนี้ รูปแบบของหนังมันคล้ายกับหนังในตำนานอย่าง Salò, or the 120 Days of Sodom ปี 1975 ของ Pier Paolo Pasolini เเต่ปรับระดับความรุนเเรงให้ดูซอฟท์ลง ส่วนอำนาจการทำลายล้างด้านจิตใจ-จิตใต้สำนึกยังคงเดิม หลังดูจบ....ลืมไม่ลงเเน่นอนสำหรับหนังเรื่องนี้ หลายๆฉากเนี่ยติดอยู่ในเบ้าตาตราบตอนนี้ เอาไปเลยจ๊ะ 10 / 10 คะเเนน(ความเห็นส่วนตัวล้วนๆนะเออ) นี่คือหนังดีที่ดีมากมาย....เเต่ขอย้ำว่า “มันไม่ใช่หนังดีสำหรับทุกคน!” นะจ๊ะ....

* อนึ่ง ในส่วนของการนิยามความหมายเฉพาะ (นิยายศัพท์เฉพาะ)

(อ้างอิงข้อมูลจากเว็บ : วิกิพีเดีย หัวข้อ "ดิสโทเปีย" )
ดิสโทเปีย คือ : สังคมที่ไม่พึงประสงค์หรือน่าหวาดกลัว ปกครองด้วยระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ หรือมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความหมายโดยพยัญชนะของ ดิสโทเปีย จึงหมายถึง "สถานที่เลวร้าย" ว่าตรงกันข้ามกับแนวคิดสังคมแบบยูโทเปีย (อ้างอิงข้อมูลจากเว็บ : วิกิพีเดีย หัวข้อ "ดิสโทเปีย" )

#แอดมินซามาร่า