ลองของ......ณ ทางสายเปลี่ยวแห่งหนึ่ง-กลางดึก ที่เขาลือกันนักว่าผีดุ !!!!

by samara17520 • วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553 00:56
ลองของ......ณ ทางสายเปลี่ยวแห่งหนึ่ง-กลางดึก ที่เขาลือกันนักว่าผีดุ !!!!

ถ้าจะกล่าวกันถึงเรื่องที่คนไทยถิ่นใต้ทั่วไปแบบเราๆท่านๆนิยมนำมาเล่าสู่กันฟังในแวดวงสนทนาอยู่บ่อยครั้งและเป็นที่นิยมกัน “เรื่องผี” คงเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เหตุที่เรื่องผีเป็นที่ชื่นชอบในการยกเข้าสู่หัวข้อประเด็นในวงสนทนาก็คงสืบเนื่องมาจากนิสัยของคนไทยที่ล้วนเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอย่างยาวนานแต่ครั้งบรรพกาลว่าจะสามารถดลบันดาลให้แคล้วคลาดปกป้องคุ้มครองพานพบกับความสุขความเจริญได้ คนไทยถิ่นใต้เชื่อในสิ่งเหล่านี้มากแม้น ณ ห้วงเวลานั้นภาคใต้ของไทยยังไม่มีศาสนาเข้ามาเผยแผ่เหมือนเฉกเช่นยุคปัจจุบัน

ผี คืออะไร? จากการค้นคว้าเพิ่มเติมของผู้เขียนในตำรับตำราเล่มต่างๆตลอดจนจากการ Search ใน Website ทางวิชาการ พออธิบายถึงความหมาย ตลอดจนบริบทเพิ่มเติมของคำว่า “ผี” ได้ดังต่อไปนี้
ใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 735 อธิบายเอาไว้ว่า ผี น. สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและร้าย

ใน ปทานุกรมนักเรียน(ฉบับปรับปรุงใหม่) ของ เปลื้อง ณ นคร ปี พ.ศ. 2535 หน้า 206 ได้อธิบายความหมายของคำว่า "ผี" เอาไว้ว่า ผี หมายถึง สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ อาจให้คุณหรือให้โทษได้

ในหนังสือเรื่อง คติชาวบ้านไทย ของ เจือ สตะเวทิน ไม่ระบุปีที่พิมพ์ หน้า 8-9 ได้อธิบายความหมายของคำว่า "ผี" เอาไว้ว่า ผีนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งที่ให้คุณและให้โทษ ผีที่ให้คุณก็ยกย่องบูชาและเซ่นไหว้ ส่วนผีที่ให้โทษเราก็มีวิธีเซ่นไหว้ขอไม่ให้ทำอันตราย

ใน Wikipedia ได้อธิบายสรุปความหมายของคำว่า ผี เอาไว้ว่า ในคติชน นิยายปรัชญา และวัฒนธรรมความเชื่อเรื่องผีนั้น ล้วนมีความเชื่อว่าผีคือคนที่สูญสิ้นชีวิตไปแล้ว ดวงวิญญาณจึงออกจากร่าง ผีสามารถปรากฏกายคนปกติให้เห็นได้ในบางครั้ง มนุษย์สามารถติดต่อกับผีได้ด้วยผู้ใช้เวทย์มนต์ หรือคนทรงเจ้าเข้าผี (ข้อมูลจาก Wikipedia เรื่อง Ghost ใน http://en.wikipedia.org/wiki/Ghost#European_folklore วันที่ 30 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2553)

และใน Modern English-Thai Dictionary ปี พ.ศ.2538 ไทยวัฒนาพานิช หน้า 292 อธิบายสรุปความหมายของคำว่า ผี เอาไว้ว่า ผี หรือ Ghost n. หมายถึง ผี หรือมีความหมายรวมถึงปีศาจก็ได้

จากข้อมูลที่ได้กล่าวอ้างมาข้างต้นจึงพอสรุปได้ว่า ผี หมายถึง สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับอาจให้คุณหรือให้โทษได้ ผีหรือมีความหมายรวมถึงปีศาจก็ได้ ในคติชน นิยายปรัชญา และวัฒนธรรมความเชื่อเรื่องผีนั้น ล้วนมีความเชื่อว่าผีคือคนที่สูญสิ้นชีวิตไปแล้ว ความเชื่อเรื่องผีในประเทศไทยหากเป็นผีที่ให้คุณเราก็ยกย่องบูชาและเซ่นไหว้ ส่วนผีที่ให้โทษเราก็มีวิธีเซ่นไหว้ขอไม่ให้ทำอันตราย

ความเชื่อเรื่องผีของคนไทยถิ่นใต้เท่าที่รู้มาในสมัยก่อนที่ยังมิได้รับพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นศาสนาประจำชาตินั้น คนไทยถิ่นใต้ล้วนนับถือผี หรือดวงวิญญาณประจำถิ่นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของพวกตนอย่างฝังรากลึก เรียกกันว่า “คติถือภูตผีและดวงวิญญาณประจำถิ่น” อันมีความเชื่อว่ามีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในสิ่งที่พวกตนเคารพบูชา เช่นในต้นไม้ใหญ่ จอมปลวก แม่น้ำ ภูเขา ก้อนหิน เป็นต้น ซึ่งในเรื่องนี้ รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม ได้กล่าวเพิ่มเติมเอาไว้ในหนังสือศาสนาเปรียบเทียบ ปี พ.ศ. 2542 หน้า 13 ว่า การเข้าใจและถือว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสิ่งที่ตนนับถือ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้นไม้ใหญ่ ภูเขา เป็นต้น เป็นความเชื่อที่มีมาก่อนยุคพระเวทในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กล่าวกันว่าเป็นลักษณะของวิญญาณนิยม หรือ Animism วิญญาณเช่นนี้เองที่สามารถจะให้คุณให้โทษแก่มนุษย์


หลังจากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในราวปี พ.ศ. 236 โดยความอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดียในขณะนั้น ประเทศไทยที่ยังอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า “สุวรรณภูมิ” ได้ตอบรับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งนี้อย่าดียิ่ง เป็นดังที่ Wikipedia ได้อธิบายถึงกระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นดังนี้ พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 สมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ 9 สาย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดีย ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ทั้ง 7 ประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจกลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐมของไทย เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่นพระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ แต่พม่าก็สันนิษฐานว่ามีในกลางอยู่ที่เมืองสะเทิม ภาคใต้ของพม่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิในยุคนี้ นำโดยพระโสณะและพระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในแถบนี้ จนเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ (ข้อมูลจาก Wikipedia เรื่อง พุทธศาสนาในประเทศไทย ใน http://th.wikipedia.org วันที่ 30 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2553)

ชาวไทยถิ่นใต้ ณ ขณะนั้นเองมีลัทธิประจำถิ่น หรือคติถือภูตผีและดวงวิญญาณประจำถิ่นไว้สำหรับยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้ได้เคารพนับถืออยู่แล้ว แต่ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาด้วย จึงทำให้รับเอาศาสนาพุทธเข้ามาเป็นศาสนาของหมู่ตนด้วยโดยไม่ทิ้งรากทางความเชื่อเดิม ซึ่งกลับเอามาผสมผสานรวมเข้าด้วยกันกับพระพุทธศาสนา เป็นการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธกับลัทธิเดิมที่เคารพบูชาสืบทอดกันมาแต่ เป็นดังที่ ชัยวุฒิ พิยะกุล ได้ศึกษาไว้ว่า ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนาบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาก่อเกิดจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย ก่อเกิดจากการผสมผสานของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ผู้คนนับถือวิญญาณ ผีสาง เทวดา อารักษ์ พุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาอิสลาม ศาสนาเหล่านี้ได้ผสมกลมกลืนจนกลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น (ชัยวุฒิ พิยะกุล บทความเรื่องพัฒนาการของพุทธศาสนาบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา พ.ศ.2442-2542 ใน เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ ทะเลสาบในกระแสความเปลี่ยนแปลง : ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและกระบวนทัศน์การพัฒนา 2546 หน้า 22)

การผสมผสานเรื่องราวทางความเชื่อนี้เองก่อให้เกิดพระพุทธศาสนาในแนวทางผสมผสาน ที่เป็นการผสมกันระหว่างพื้นความเชื่อเดิมของชนในถิ่นกับศาสนาที่แผ่กระจายมาจากประเทศนอก ความเชื่อเดิมที่ยังคงดำรงอยู่ก็อาทิ ความเชื่อในเรื่องทวด ความเชื่อในเรื่องพัง เป็นต้น ซึ่งในเรื่องของการผสมผสานทางความเชื่อและศาสนานี้ รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม ได้อธิบายเพิ่มเสริมเอาไว้ว่า มิใช่มีแต่เพียงในประเทศไทย แต่ยังเกิดขึ้นในอีกหลายๆที่ อาทิ ในยุคพระเวท(ประมาณ 1000-100 ปี ก่อนพุทธกาล)พวก “อารยัน” ซึ่งเป็นพวกผิวขาวได้เดินทางมาจากตอนใต้ของรัสเซีย เข้ามาขับไล่พวก “ดราวิเดียน” ซึ่งเป็นพวกผิวดำและเป็นชนพื้นเมืองเดิมของอินเดีย พวกดราวิเดียนบางพวกได้พากันหนีไปอยู่ศรีลังกาและไปเป็นชนพื้นเมืองเดิมของศรีลังกา บางพวกก็ได้สืบเชื้อสายผสมเผ่าพันธุ์กับพวกอารยันกลายเป็นคนอินเดียในปัจจุบัน คนอารยันนับถือพระอาทิตย์ ส่วนพวกชนพื้นเมืองเดิมบูชาและนับถือไฟ พวกอารยันเห็นว่าความเชื่อของตนเข้ากันได้กับความเชื่อของพวกดราวิเดียน จึงได้พยายามเผยแผ่ความเชื่อของตนโดยชี้ให้เห็นว่า ดวงไฟที่ยิ่งใหญ่นั้นคือดวงอาทิตย์ จึงควรนับถือพระอาทิตย์ที่เป็นที่มาของไฟทั้งปวงในโลกมนุษย์ โดยวิธีนี้ทำให้แนวความคิดทางสาสนาของชนพื้นเมืองเดิมกับของพวกอารยัน ผสมผสานเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นศาสนาพราหมณ์ขึ้น (รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม หนังสือศาสนาเปรียบเทียบ สำนักพิมพ์ดวงแก้ว ปี พ.ศ. 2542 หน้า 12)

ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าการผสมผสานดังกล่าวนั้นก่อให้เกิดพระพุทธศาสนาในแนวทางผสมผสาน ซึ่งยังดำรงรากทางความเชื่อเดิมของชนในถิ่นเอาไว้อย่างแนบแน่น ซึ่งความเชื่อหนึ่งที่ยังคงคงอยู่จวบจนยุคปัจจุบันก็คือ ความเชื่อในเรื่องทวด ซึ่งทวด (tuad) หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ในหมู่ของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอันเรียกตนเองว่า "ไทยสยาม" ดังมีความเชื่อร่วมกันว่า ทวด เป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พ่อ แม่ ของปู่ย่าตายาย บรรพชน หรือผู้มีบุญวาสนาที่ล่วงลับดับสูญไปแล้ว และรวมถึงเทวดากึ่งสัตว์ ประเภทพญาสัตว์ อันมีลักษณะพิเศษที่สง่าและน่ายำเกรงกว่าบรรดาสัตว์สามัญปกติโดยทั่วไป มีความเชื่อร่วมกันว่าหากเซ่นสรวงบูชาแก่ทวดแล้วจะก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและได้รับความคุ้มครองตามมา แต่หากมีการลบหลู่ดูหมิ่นก็จะได้รับโทษ ผลเสีย รวมถึงความวิบัติตามมาในไม่ช้า


บทความโดย.......คุณาพร ไชยโรจน์/2553
ห้องคุยกับคุณาพร...... http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0
เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรมไทยภาคใต้(ของคุณดล)...... www.siamsouth.com

Replies (37)

#1samara17520 • 1/10/2553 00:57
เล่าถึงเรื่องประวัติความเป็นมา คติเกี่ยวกับเรื่องผีไปพอสมควรคราวนี้ขอพาท่านผู้ชมทั้งหลายไปเที่ยวยังสถานที่เขาลือกันว่า "ผีดุ" บ้างดีกว่า(กล้าหรือเปล่าล่ะ?) กิจกรรมยามว่างของข้าพเจ้า………เดินเที่ยวคนเดียวกลางดึก ไม่ได้เจตนาลบหลู่เจ้าที่เจ้าทางนะครับ แค่ออกมาเดินสูดอากาศนิดหน่อย…….ในที่มืดๆเปลี่ยวๆ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก็แค่นั้นแล……..


ภาพชุดแรกนี่ลองถ่ายเป็นคลิปแล้วตัดภาพออกมา ณ ทางเดินมุ่งสู่หอสมุดแห่งหนึ่งยามดึกสงัด เห็นเด็กในมหาลัยนี้เล่าลือกันว่าหากเดินไปตามทางเดินแห่งนี้คนเดียว กลางดึก จะพบเห็นสิ่งแปลกๆ บ้างก็ว่ามีคนเดินตาม………น่ากลัวใช่เล่นเลยนะ โดยเฉพาะในหอสมุดหลังดังกล่าวนี้เองสืบทราบมาว่ามีนักศึกษาหญิงผูกคอตายในห้องน้ำ และมีนักศึกษาชายโดนคู่อริแทงตายตรงทางเดินแห่งหนึ่งในตึกด้วย…….หึหึหึหึ
#2samara17520 • 1/10/2553 00:57
ดูนาฬิกามันบอกเวลาว่า 5 ทุ่มตรง โรงอาหารเงียบอย่างกะป่าช้าเลย
attachment
#3samara17520 • 1/10/2553 00:57
เอาล่ะ........ตั้งหลักที่โรงอาหารนี่เเหล่ะ
attachment
#4samara17520 • 1/10/2553 00:57
หันหลังกลับ........เดินทางไปอาคารหอสมุด!!!!
attachment
#5samara17520 • 1/10/2553 00:58
เงียบดีจัง
attachment
#6samara17520 • 1/10/2553 00:58
มืดโคตรๆๆๆๆๆ
attachment
#7samara17520 • 1/10/2553 00:58
มืดอย่างเเรง...........
attachment
#8samara17520 • 1/10/2553 00:58
ทางเดินมืดๆนี่เดินลำบากมากกกกกกก
attachment
#9samara17520 • 1/10/2553 00:59
ค่อยๆเดินๆๆๆๆ.......
attachment
#10samara17520 • 1/10/2553 00:59
เงียบจัง.......เสียววววววว
attachment
#11samara17520 • 1/10/2553 00:59
มองเห็นเเต่เเสงจางๆ...........เดินลำบาก
attachment
#12samara17520 • 1/10/2553 01:05
ลองเอากล้องส่องดูข้างทาง............เห็นอะไรบ้างนี่?
attachment
#13samara17520 • 1/10/2553 01:05
เสียวสันหลังง่ะ.........
attachment
#14samara17520 • 1/10/2553 01:06
เเถวนี้เงียบยังไงๆอยู่
attachment
#15samara17520 • 1/10/2553 01:06
ใกล้ถึงทางเลี้ยวเเล้ววววววว
attachment
#16samara17520 • 1/10/2553 01:06
เงียบเหมือนผีหลอก
attachment
#17samara17520 • 1/10/2553 01:07
ถึงทางเลี้ยวเข้าห้องสมุด
attachment
#18samara17520 • 1/10/2553 01:07
ไฟสลัวๆ............น่ากลัวโคตร
attachment
#19samara17520 • 1/10/2553 01:07
คงไม่มีใครมายืนเเอบอยู่ข้างหลังข้าพเจ้านะ(ไม่กล้าหันกลับไปมองง่ะ)
attachment
#20samara17520 • 1/10/2553 01:07
รีบเดินดีกว่า.............เสียวง่ะ
attachment
#21samara17520 • 1/10/2553 01:07
ไฟไม่ค่อยสว่างเลย..........
attachment
#22samara17520 • 1/10/2553 01:08
ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าเหมือนมีคนเดินตาม...........
attachment
#23samara17520 • 1/10/2553 01:08
เเต่......คิดว่ามันคงเป็นเสียงลมพัดมากกว่า หรือว่าตรูหูเเว่ว
attachment
#24samara17520 • 1/10/2553 01:08
พอเเค่นี้ก่อนดีกว่า.............เดี๋ยวพาไปดูอีกที่หนึ่ง ตามมาเลยจ๊า
ปล. ยืนตรงนี้นานๆคนเดียวกลางดึก(เสียวง่ะ)

* ^ *
attachment
#25samara17520 • 1/10/2553 01:09
ส่วนที่สองนี่ผมถ่ายเป็นคลิปวีดีโอ เป็นทางเดินที่มุ่งไปสู่อาคารเรือนไทยหลังหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่นักศึกษาเขาเล่าลือกันนักว่าเฮี๊ยนแบบสุดๆ ตามทางเดินนี่เด็กๆเขาเล่าลือกันว่ามักเจออะไรแปลกๆตามข้างทางเสมอๆยามดึก ลองมาเดินเล่นกันดูครับท่านผู้ชม ขออภัยที่มิอาจเดินไปถึงอาคารเรือนไทยหลังดังกล่าวได้ หมาเต็มไปหมดครับท่าน………..ผมกลัวถูกหมากัดมากกว่าโดนผีหลอก(ขอบอก)


[flash=425,344]http://www.youtube.com/v/zRBi98nakUc?hl=en&fs=1[/flash]


หรือเข้าไปดูวีดีโอคลิปที่นี่ก้ได้ครับ(คลิปลงเเล้วไหวเป็นงี้หว่า?)
....... http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=17825.0;all
แก้ไขล่าสุด: 1/10/2553 01:13 โดย samara17520
#26samara17520 • 1/10/2553 01:09
พอหอมปากหอมคอเน้อ......ไว้ว่างๆจะหามาให้ชมกันอีกขอรับเจ้านาย ^ _ ^

ปล. ใครเห็นอะไรเเว๊บๆบ้างนี่?
#27samara17520 • 1/10/2553 01:11
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีหนังผีดู......เซ็งโคตรๆ

ปล. ไม่มีหนังผีดู ไปดูของจริงเลย อิอิ เสียวสันหลังกว่าดูหนังผีอีก(ขอบอก)
^ 0 ^
#28nana_idol • 1/10/2553 01:32
ไล่ดูไปทีละรูป รู้สึกว่าได้อารมณ์กว่าฉายหนังโหดอีกครับ ... หลอนดี

ปล. ผมก็ไม่ได้ดูหนังอะไรเหมือนกันครับท่าน ... วุ่นกับงานมาก ๆ ~~
#29Loma บ้าชอปป์ • 1/10/2553 15:02
เห็นด้วยกะคุณ นานะ ไอดอล แค่รูปนิ่งยังเสียวๆเลยอ่ะ
#30matthewfox • 1/10/2553 18:48
devil ไงครับแนะนำให้ไปดู กดดันสุดๆ
#31nespay • 1/10/2553 21:54
โรงเรียนตอนกลางคืนไม่ว่าที่ไหนก็น่ากลัว จริงๆนะ โดยเฉพาะทางเดินยาวๆ
#32ชื่อนี้ละกัน • 2/10/2553 02:05
เป็นกิจกรรมยามว่างที่เสียวสันหลังเอามากๆครับ
แค่เห็นรูปก็สยองแล้ว
#33choki บุคลากรพร้อมรบ • 2/10/2553 20:31
ลุงซา เดินผ่าน...

ผีเผอหลบหมดอ่ะ ไม่ต้องกลัวหรอก

กร้ากกกกกกกก>O<
#34samara17520 • 4/10/2553 15:47
^

^

^

^

^ ว่าใครยะหล่อน........ * 0 *
#35ไอติมว๊านหวาน • 4/10/2553 17:01
ดูไปดูมา ขนลุกซะงั้นอ่ะ กลัวเค้าหักมุมมีอ่ะไรตึ่งโป๊ะออกมา ...
#36stum45275 • 5/10/2553 15:20
ผมอยู่ีร.ร.เขมา อะ อาคาร 6 ชั้น 5 กับชั้น 7 นี่น่ากลัวค่อดๆ
#37หมาป่าเดียวดาย • 8/10/2553 09:55
คุณ stum45275 เรียนโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม หรือครับ

ถ้าใช่ ผมว่าอาคาร 6 เฉยๆนะ
Login
Function Used time : 0:00:00:00.015
Go Last