[วิเคราะห์] Lady in the Water
by AguileraAnimato • วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553 15:11
ถ้ามีคนถามเราว่า
"ภาพยนตร์ในหมวดระทึกขวัญเรื่องใด ที่คนส่วนใหญ่ ไม่ชอบ แต่เราชอบ"
ภาพยนตร์สุดแป้กเรื่องนี้ของ เอ็ม ไนต์ ไชยมาลาน จะลอยโผล่พ้นน้ำออกมาเป็นลำดับต้นๆ

เอ็ม ไนต์ ไชยมาลาน หรือที่เรียกกันสั้นๆแบบไม่ต้องสนิทสนมกันว่า มาโนช จัดเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การแจ้งเกิดจากหนังสยองที่ปลุกกระแสหักมุม กับมุก "ตายตั้งแต่ต้น"
และนับตั้งแต่นั้น “การหักมุมตอนจบ” ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้า หรืออีกนัยคือบ่วงคล้องคอจากคนดูที่พร้อมจะลากถูไถนายมาโนชไปตามความคาดหวังของตัวเอง.... แต่ทว่าเมื่อนานวันเข้า นับตั้งแต่ Unbreakable มาจนถึง The Village รอยแตกของข้อต่อระหว่างบทในการหักเลี้ยวก็เริ่มเปลี่ยนไป จากความตื่นตะลึงแบบ The Sixth Sense กลายเป็นความซึมกระทือเมื่อหนังเหล่านั้นไม่ได้จบพลิกพลันถึงพระเดชพระคุณอีกต่อไป ความเชื่อมั่นศรัทธาต่องานพี่มาโนชจากฝูงชนก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางลบ ที่ถึงแม้ตัวหนังจะดีและได้รับการสรรเสริญจากนักวิจารณ์เพิ่มมากขึ้นมากเพียงใดก็ตาม แต่หนังเหล่านั้นก็ไม่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้หน้าที่การงานได้ (ที่ประเมินเป็นตัวเลขรายได้บนชาร์ท 3 เรื่องก่อนหน้านั้นทำรายได้ทะลุ 100 ล้านหมด ยกเว้น Unbreakable ขาดไปอีก 5 ล้านเท่านั้น) อาจเพราะมันได้แรงหนุนจากนักวิจารณ์และเนื้อหาของหนังยังมีความเป็นทริลเลอร์ชวนดึงดูดอยู่ จนกระทั่งการมาถึงของ Lady in the Water ที่หากเปรียบเหมือนการปาหินลงน้ำ ก็ต้องกล่าวได้ว่าแรงกระเพื่อมของมันไปไม่ถึงฝั่ง และสุดท้ายหนังก็กลายเป็นความล้มเหลวที่ถูกเมินจากมหาชน แม้แต่นักวิจารณ์ที่เคยอุ้มชูก็เบือนหน้า จนบางทีตามาโนชแกอาจมานั่งคิดว่ารู้แบบนี้ไม่น่าบอกไปแต่แรกเลยว่า “เรื่องนี้เล่าแบบนิทานไม่มีหักมุมซักกระผีกนะนายจ๋า”
Lady in the Water
เป็นเรื่องราวการการผจญภัยภายในคอนโด The Cove ของช่างประปาประจำตึก Cleveland Heep ที่พบนาร์ฟหลงทางนางนึงนามว่า Story เธอเดินทางมาจาก Blue World มายังโลกมนุษย์เพื่อจุดประกายแรงบันดาลใจให้มนุษย์ท้อแท้ เดชะบาปที่ระหว่างนั้น เธอถูกตัวสกั๊นจ์จ้องทำร้าย จึงไม่สามารถกลับโลกของตนเองได้ เดือดร้อนถึงคุณฮีฟที่ต้องหาทางพาเธอกลับบ้าน
อรรถาธิบาย
นาร์ฟ – ชาวน้ำ: เทพแห่งท้องทะเล ตามตำนานเล่าว่า นาร์ฟจะเดินทางมายังโลกมนุษย์ เพื่อตามหา บุคคลที่เลือก บุคคลที่เต็มไปด้วยอนาคตที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดี เธอจะมาบันดาลใจเค้า สร้างแรงกระตุ้น ขับดัน พูดง่ายๆ เธอคือ รมต.ผู้ช่วย เมื่อปฏิบัติภารกิจเติมไฟฝันสำเร็จ เธอจะเดินทางกลับ BLUE WORLD โดย อีรอน
อีรอน – พญาอินทรีย์ มีหน้าที่คือ รับนาร์ฟที่ปฏิบัติภารกิจสำเร็จกลับ BLUE WORLD
สครั้นจ์ – หมาป่าดุร้าย กินพวกนาร์ฟเป็นอาหาร
ทาทูทิค – ลิงยักษ์ ว่ากันว่ามีสามตัวพี่น้อง ถือเป็นตัวกาลกิณี เพราะฆ่าผู้ให้กำเนิดตาย ตามตำนานเล่าว่า ทาทูทิค คือสิ่งเดียวที่สามารถจัดการสครั้นจ์ได้
คิ - โคลนชนิดหนึ่ง มีไว้สำหรับรักษานารืฟ จากบาดแผลของสครั๊นจ์
ความสนุกที่ชวนลุ้นและคาดเดาของภาพยนตร์เรื่องนี้ อยู่ที่ปฏิการณ์พานาร์ฟกลับบ้าน เพราะกระบวนการนี้จะต้องอาศัยกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติพิเศษแอบแฝงอยู่ในตัวมาช่วยรวมพลังพานาร์ฟกลับบ้าน ซึ่งตำแหน่งเหล่านั้นได้แก่
The Master Key (ผู้ถอดรหัส) “ถือเป็นหัวหน้าของกลุ่มเลย เพราะมีหน้าที่แก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยการหาคำตอบผ่านการแปลรหัสแวดล้อม”
The Protector (ผู้พิทักษ์) “ป้องกันนาร์ฟ จากตัวสครั้นจ์ ในระหว่างรอ อีรอน มารับ”
The Healer (ผู้รักษา) “บรรเทาบาดแผลนาร์ฟ จากสครั๊นจ์”
Guild (กลุ่มพลัง) “กลุ่มคน ที่มีหน้าคอยป้องกัน เสริมพลังให้แก่ ผู้พิทักษ์ และ ผู้รักษา”
The Witness (พยาน) “ผู้มาเป็นพยานในการรักษานาร์ฟ”
จะเป็นใครกันหนอ ระหว่างนักวิจารณ์โลกทัศน์แคบ หญิงชราใจดี ไอ้หนุ่มกลุ่มเฮ้ว อาซิ้มกับลูกแรด พี่น้องชาวอินเดีย พ่อลูกชาวแอฟริกา ซึ่ง ณ จุดนี้หนังสามารถที่จะสร้างความตื่นเต้นชวนติดตามได้ไม่ยาก ที่คนดูจะร่วมลุ้นไปกับการตามล่าหา The One เหมือนการเดินทางผจญภัยหาผู้วิเศษ แต่ทว่าด้วยน้ำเสียงและจังหวะการเล่าเรื่องที่ไหลเอื่อยๆ ทำให้ความตื่นเต้นในส่วนนี้ถูกลดลง และโทนแฟนตาซีของหนังก็ถูกลดทอนลงจนไม่เกิดความอัศจรรย์ใจทางด้านการเล่าเรื่อง จึงไม่แปลกถ้านั้นจะเป็นเหตุผลส่วนนึงที่คนรู้สึกว่าหนังไม่มีเสน่ห์ในการเล่าเรื่องให้น่าติดตาม
แต่ในความรู้สึกของเรา เรากลับคิดว่าการเล่าเรื่องโดยยึดพื้นหลังโลกความเป็นจริงเป็นหลักโดยมีความเป็นแฟนตาซีเป็นส่วนเสริม กลับเข้ากันได้อย่างเหมาะสมกับเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ ที่มีนัยสาส์นสื่อถึงโลกมนุษย์อย่างเด่นชัด (จะกล่าวต่อไป)
รวมทั้งการออกแบบงานด้านภาพที่สวยลุ่มลึกละไม ทั้งการใช้ประโยชน์จากสระว่ายน้ำกลางเรื่อง บ่อยครั้งที่ คริสโตเฟอร์ ดอยด์ (ตากล้องของหนัง ที่โด่งดังจากการร่วมงานกับหว่องกาไว) บันทึกได้คือคลื่นน้ำที่แผ่กระเพื่อมสีฟ้าคลอรีนในสระสะท้อนทาบกำแพงตึก ไม่ต่างจากอารมณ์ของหนังที่เป็นการเคลือบของแฟนตาซีลงบนสัจจะนิยม แม้แต่โทนสีที่อมฟ้า-ครามในเรื่องก็สอดคล้องกับบรรยากาศที่สวยลึกลับดุจฝันของเรื่อง เมื่อไหลไปกับการเคลื่อนกล้องที่แช่มช้อย การแช่ภาพที่นิ่งงันทว่าคล้อยเคลื่อนไหวในตัวเอง เหมือนการเฝ้ามองความเป็นไปในกิจวัตรชาวหอ ก็ช่วยเติมชีพชีวิตให้โลก The Cove นี้สมบูรณ์
"ภาพยนตร์ในหมวดระทึกขวัญเรื่องใด ที่คนส่วนใหญ่ ไม่ชอบ แต่เราชอบ"
ภาพยนตร์สุดแป้กเรื่องนี้ของ เอ็ม ไนต์ ไชยมาลาน จะลอยโผล่พ้นน้ำออกมาเป็นลำดับต้นๆ

เอ็ม ไนต์ ไชยมาลาน หรือที่เรียกกันสั้นๆแบบไม่ต้องสนิทสนมกันว่า มาโนช จัดเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การแจ้งเกิดจากหนังสยองที่ปลุกกระแสหักมุม กับมุก "ตายตั้งแต่ต้น"
และนับตั้งแต่นั้น “การหักมุมตอนจบ” ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้า หรืออีกนัยคือบ่วงคล้องคอจากคนดูที่พร้อมจะลากถูไถนายมาโนชไปตามความคาดหวังของตัวเอง.... แต่ทว่าเมื่อนานวันเข้า นับตั้งแต่ Unbreakable มาจนถึง The Village รอยแตกของข้อต่อระหว่างบทในการหักเลี้ยวก็เริ่มเปลี่ยนไป จากความตื่นตะลึงแบบ The Sixth Sense กลายเป็นความซึมกระทือเมื่อหนังเหล่านั้นไม่ได้จบพลิกพลันถึงพระเดชพระคุณอีกต่อไป ความเชื่อมั่นศรัทธาต่องานพี่มาโนชจากฝูงชนก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางลบ ที่ถึงแม้ตัวหนังจะดีและได้รับการสรรเสริญจากนักวิจารณ์เพิ่มมากขึ้นมากเพียงใดก็ตาม แต่หนังเหล่านั้นก็ไม่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้หน้าที่การงานได้ (ที่ประเมินเป็นตัวเลขรายได้บนชาร์ท 3 เรื่องก่อนหน้านั้นทำรายได้ทะลุ 100 ล้านหมด ยกเว้น Unbreakable ขาดไปอีก 5 ล้านเท่านั้น) อาจเพราะมันได้แรงหนุนจากนักวิจารณ์และเนื้อหาของหนังยังมีความเป็นทริลเลอร์ชวนดึงดูดอยู่ จนกระทั่งการมาถึงของ Lady in the Water ที่หากเปรียบเหมือนการปาหินลงน้ำ ก็ต้องกล่าวได้ว่าแรงกระเพื่อมของมันไปไม่ถึงฝั่ง และสุดท้ายหนังก็กลายเป็นความล้มเหลวที่ถูกเมินจากมหาชน แม้แต่นักวิจารณ์ที่เคยอุ้มชูก็เบือนหน้า จนบางทีตามาโนชแกอาจมานั่งคิดว่ารู้แบบนี้ไม่น่าบอกไปแต่แรกเลยว่า “เรื่องนี้เล่าแบบนิทานไม่มีหักมุมซักกระผีกนะนายจ๋า”
Lady in the Water
เป็นเรื่องราวการการผจญภัยภายในคอนโด The Cove ของช่างประปาประจำตึก Cleveland Heep ที่พบนาร์ฟหลงทางนางนึงนามว่า Story เธอเดินทางมาจาก Blue World มายังโลกมนุษย์เพื่อจุดประกายแรงบันดาลใจให้มนุษย์ท้อแท้ เดชะบาปที่ระหว่างนั้น เธอถูกตัวสกั๊นจ์จ้องทำร้าย จึงไม่สามารถกลับโลกของตนเองได้ เดือดร้อนถึงคุณฮีฟที่ต้องหาทางพาเธอกลับบ้าน
อรรถาธิบาย
นาร์ฟ – ชาวน้ำ: เทพแห่งท้องทะเล ตามตำนานเล่าว่า นาร์ฟจะเดินทางมายังโลกมนุษย์ เพื่อตามหา บุคคลที่เลือก บุคคลที่เต็มไปด้วยอนาคตที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดี เธอจะมาบันดาลใจเค้า สร้างแรงกระตุ้น ขับดัน พูดง่ายๆ เธอคือ รมต.ผู้ช่วย เมื่อปฏิบัติภารกิจเติมไฟฝันสำเร็จ เธอจะเดินทางกลับ BLUE WORLD โดย อีรอน
อีรอน – พญาอินทรีย์ มีหน้าที่คือ รับนาร์ฟที่ปฏิบัติภารกิจสำเร็จกลับ BLUE WORLD
สครั้นจ์ – หมาป่าดุร้าย กินพวกนาร์ฟเป็นอาหาร
ทาทูทิค – ลิงยักษ์ ว่ากันว่ามีสามตัวพี่น้อง ถือเป็นตัวกาลกิณี เพราะฆ่าผู้ให้กำเนิดตาย ตามตำนานเล่าว่า ทาทูทิค คือสิ่งเดียวที่สามารถจัดการสครั้นจ์ได้
คิ - โคลนชนิดหนึ่ง มีไว้สำหรับรักษานารืฟ จากบาดแผลของสครั๊นจ์
ความสนุกที่ชวนลุ้นและคาดเดาของภาพยนตร์เรื่องนี้ อยู่ที่ปฏิการณ์พานาร์ฟกลับบ้าน เพราะกระบวนการนี้จะต้องอาศัยกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติพิเศษแอบแฝงอยู่ในตัวมาช่วยรวมพลังพานาร์ฟกลับบ้าน ซึ่งตำแหน่งเหล่านั้นได้แก่
The Master Key (ผู้ถอดรหัส) “ถือเป็นหัวหน้าของกลุ่มเลย เพราะมีหน้าที่แก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยการหาคำตอบผ่านการแปลรหัสแวดล้อม”
The Protector (ผู้พิทักษ์) “ป้องกันนาร์ฟ จากตัวสครั้นจ์ ในระหว่างรอ อีรอน มารับ”
The Healer (ผู้รักษา) “บรรเทาบาดแผลนาร์ฟ จากสครั๊นจ์”
Guild (กลุ่มพลัง) “กลุ่มคน ที่มีหน้าคอยป้องกัน เสริมพลังให้แก่ ผู้พิทักษ์ และ ผู้รักษา”
The Witness (พยาน) “ผู้มาเป็นพยานในการรักษานาร์ฟ”
จะเป็นใครกันหนอ ระหว่างนักวิจารณ์โลกทัศน์แคบ หญิงชราใจดี ไอ้หนุ่มกลุ่มเฮ้ว อาซิ้มกับลูกแรด พี่น้องชาวอินเดีย พ่อลูกชาวแอฟริกา ซึ่ง ณ จุดนี้หนังสามารถที่จะสร้างความตื่นเต้นชวนติดตามได้ไม่ยาก ที่คนดูจะร่วมลุ้นไปกับการตามล่าหา The One เหมือนการเดินทางผจญภัยหาผู้วิเศษ แต่ทว่าด้วยน้ำเสียงและจังหวะการเล่าเรื่องที่ไหลเอื่อยๆ ทำให้ความตื่นเต้นในส่วนนี้ถูกลดลง และโทนแฟนตาซีของหนังก็ถูกลดทอนลงจนไม่เกิดความอัศจรรย์ใจทางด้านการเล่าเรื่อง จึงไม่แปลกถ้านั้นจะเป็นเหตุผลส่วนนึงที่คนรู้สึกว่าหนังไม่มีเสน่ห์ในการเล่าเรื่องให้น่าติดตาม
แต่ในความรู้สึกของเรา เรากลับคิดว่าการเล่าเรื่องโดยยึดพื้นหลังโลกความเป็นจริงเป็นหลักโดยมีความเป็นแฟนตาซีเป็นส่วนเสริม กลับเข้ากันได้อย่างเหมาะสมกับเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ ที่มีนัยสาส์นสื่อถึงโลกมนุษย์อย่างเด่นชัด (จะกล่าวต่อไป)
รวมทั้งการออกแบบงานด้านภาพที่สวยลุ่มลึกละไม ทั้งการใช้ประโยชน์จากสระว่ายน้ำกลางเรื่อง บ่อยครั้งที่ คริสโตเฟอร์ ดอยด์ (ตากล้องของหนัง ที่โด่งดังจากการร่วมงานกับหว่องกาไว) บันทึกได้คือคลื่นน้ำที่แผ่กระเพื่อมสีฟ้าคลอรีนในสระสะท้อนทาบกำแพงตึก ไม่ต่างจากอารมณ์ของหนังที่เป็นการเคลือบของแฟนตาซีลงบนสัจจะนิยม แม้แต่โทนสีที่อมฟ้า-ครามในเรื่องก็สอดคล้องกับบรรยากาศที่สวยลึกลับดุจฝันของเรื่อง เมื่อไหลไปกับการเคลื่อนกล้องที่แช่มช้อย การแช่ภาพที่นิ่งงันทว่าคล้อยเคลื่อนไหวในตัวเอง เหมือนการเฝ้ามองความเป็นไปในกิจวัตรชาวหอ ก็ช่วยเติมชีพชีวิตให้โลก The Cove นี้สมบูรณ์
Replies (17)
การฟื้นคืนของศรัทธา
ประเด็นนี้ เคยถูกยกมาใช้เป็นประเด็นหลักในหนังพี่มาโนชมาแล้วเรื่อง SIGN (บาทหลวงที่สูญสิ้นศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า หันหลังให้ศาสนา จนกระทั่งการมาของอาคันตุกะนอกโลก ที่ทำให้ศรัทธาที่เหือดหาย กลับคืนมาอีกครั้ง) ใน LITW ศรัทธาในเรื่อง ถูกแทนที่ด้วยคำว่า “แรงบันดาลใจ” อย่างที่กล่าวไว้ในอธิบายคำศัพท์ว่า ตัวของนาร์ฟ เดินทางมายังโลกมนุษย์ ด้วยเหตุผลที่ว่า มาบันดาลใจแก่ มนุษย์
ในช่วง OPENING ของเรื่อง ใช้การเล่าด้วยรูปแบบ อนิเมชั่น
ให้ข้อมูลคนดูว่า แท้จริงแล้วในอดีตกาลนานโพ้น มนุษย์และชาวน้ำ อาศัยอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน จนกระทั่งมนุษย์รู้จักวิวัฒนาการ จึงแยกตัวออกไปใช้ชีวิตตามอารยะชนของตน แต่ยิ่งความเจริญมากขึ้นเท่าใด ภาวะจิตใจก็ตกต่ำลงด้วย มนุษย์เข่นฆ่ากัน ชาวน้ำเห็นดังนั้น จึงเดินทางกลับมายังโลกมนุษย์ เพื่อผลักดันมนุษย์ ชี้ทางสว่าง ที่หลบซ่อนในปัญญามนุษย์บังเกิด นั้นคือ การฟื้นคืนของศรัทธา,แรงบันดาลใจที่ผลักดันให้มนุษย์มีกำลังใจสร้างสรรค์สิ่งดีๆ
ซึ่งหากกลับไปเทียบกับ SIGN แล้ว ตัวของนาร์ฟเอง ก็ไม่ต่างจากมนุษย์ต่างดาว ที่การมาของบุคคลที่สาม นำมาซึ่งสิ่งที่ผลักดันให้ตัวละครเกิดแรงผลักดันในการใช้ชีวิตต่อ ต่างกันที่ SIGN มาในรูปแบบของศัตรู และเป็นตัวแทนของความกลัวในจิตใจพระเอก ในขณะที่ LITW คือมิตร ที่เป็นตัวแทนของแรงผลักดันความสิ้นหวังท้อแท้ของตัวละคร

ประเด็นนี้ เคยถูกยกมาใช้เป็นประเด็นหลักในหนังพี่มาโนชมาแล้วเรื่อง SIGN (บาทหลวงที่สูญสิ้นศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า หันหลังให้ศาสนา จนกระทั่งการมาของอาคันตุกะนอกโลก ที่ทำให้ศรัทธาที่เหือดหาย กลับคืนมาอีกครั้ง) ใน LITW ศรัทธาในเรื่อง ถูกแทนที่ด้วยคำว่า “แรงบันดาลใจ” อย่างที่กล่าวไว้ในอธิบายคำศัพท์ว่า ตัวของนาร์ฟ เดินทางมายังโลกมนุษย์ ด้วยเหตุผลที่ว่า มาบันดาลใจแก่ มนุษย์
ในช่วง OPENING ของเรื่อง ใช้การเล่าด้วยรูปแบบ อนิเมชั่น
ให้ข้อมูลคนดูว่า แท้จริงแล้วในอดีตกาลนานโพ้น มนุษย์และชาวน้ำ อาศัยอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน จนกระทั่งมนุษย์รู้จักวิวัฒนาการ จึงแยกตัวออกไปใช้ชีวิตตามอารยะชนของตน แต่ยิ่งความเจริญมากขึ้นเท่าใด ภาวะจิตใจก็ตกต่ำลงด้วย มนุษย์เข่นฆ่ากัน ชาวน้ำเห็นดังนั้น จึงเดินทางกลับมายังโลกมนุษย์ เพื่อผลักดันมนุษย์ ชี้ทางสว่าง ที่หลบซ่อนในปัญญามนุษย์บังเกิด นั้นคือ การฟื้นคืนของศรัทธา,แรงบันดาลใจที่ผลักดันให้มนุษย์มีกำลังใจสร้างสรรค์สิ่งดีๆ
ซึ่งหากกลับไปเทียบกับ SIGN แล้ว ตัวของนาร์ฟเอง ก็ไม่ต่างจากมนุษย์ต่างดาว ที่การมาของบุคคลที่สาม นำมาซึ่งสิ่งที่ผลักดันให้ตัวละครเกิดแรงผลักดันในการใช้ชีวิตต่อ ต่างกันที่ SIGN มาในรูปแบบของศัตรู และเป็นตัวแทนของความกลัวในจิตใจพระเอก ในขณะที่ LITW คือมิตร ที่เป็นตัวแทนของแรงผลักดันความสิ้นหวังท้อแท้ของตัวละคร

เจตจำนงค์ของการสมานฉันท์
ชุมชนชาวคอนโด หากจะสังเกตุดีๆ มาลองดุกันน่ะ ว่าคุณมองเห็นอะไรรึเปล่า
พ่อลูก ชาวแอฟริกา
นักวิจารณ์ภาพยนต์
คุณป้าใจดี
กลุ่มเฮ้วชาวร๊อค
แม่ลูก ชาวจีน
พี่น้อง ชาวอินเดีย
ชายหนุ่มเพาะกล้าม
คุณฮีฟ
ผัวเมีย คู่หรูหรา
ชายแก่ ผู้คงแก่เรียน
ครอบครัว ชาวลาทิน
ความหลากทางเชื้อชาติ และวัยที่แตกต่าง
THE COVE ในเรื่อง ก็เป็นเหมือน โลกขนาดย่อส่วน ที่รจำลองการร่วมกลุ่มของมนุษยชาติ (ตลอดทั้งเรื่อง หนังไม่มีฉากนอกคอนโดเลย)
อาจเป็นความบังเอิญที่น่าสนเท่ห์ก็ได้ที่ Story เดินทางมายัง THE COVE สถานที่ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลายทางเชื้อชาติ และอายุ และสุดท้ายแล้ว การณ์กลับเป็นว่าผู้คนที่เธอหวังจะช่วยเหลือ ก็เปลี่ยนเป็นผู้ช่วยเหลือเธอแทนด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้กลับต้องพึ่งพาอาศัยกัน นำเธอกลับไปยัง BLUE WORLD… ผู้คนที่ตัดขาดออกจากกันด้วยเชื้อชาติและภาษา (มีหลายฉากของหนังที่สื่อให้เห็นอุปสรรคในการสื่อสาร ระหว่างภาษาที่แตกต่าง หรือแม้แต่ตัวพระเอกก็ยังเป็นโรคติดอ่าง) จำเป็นจะต้องทลายความแตกต่างทางชาติพันธุ์เพื่อปฏิบัติภารกิจกอบกู้”แรงบันดาลใจ”คืนสู่มาตุภูมิ อันนำไปสู่การค้นพบถึงพลังที่ซุกซ่อนในตัวของพวกเค้าเอง อันรวมไปถึงพลังแห่งความสามัคคีการรวมตัวรวมพลังมวลชน เพื่อปกป้องนางเอก (น่าขำที่หนังเรื่องต่อมา The Happening กลับเสนอแนวคิดในการอยู่รอดว่า “รวมกันเราตาย” ซะงั้น)


ชุมชนชาวคอนโด หากจะสังเกตุดีๆ มาลองดุกันน่ะ ว่าคุณมองเห็นอะไรรึเปล่า
พ่อลูก ชาวแอฟริกา
นักวิจารณ์ภาพยนต์
คุณป้าใจดี
กลุ่มเฮ้วชาวร๊อค
แม่ลูก ชาวจีน
พี่น้อง ชาวอินเดีย
ชายหนุ่มเพาะกล้าม
คุณฮีฟ
ผัวเมีย คู่หรูหรา
ชายแก่ ผู้คงแก่เรียน
ครอบครัว ชาวลาทิน
ความหลากทางเชื้อชาติ และวัยที่แตกต่าง
THE COVE ในเรื่อง ก็เป็นเหมือน โลกขนาดย่อส่วน ที่รจำลองการร่วมกลุ่มของมนุษยชาติ (ตลอดทั้งเรื่อง หนังไม่มีฉากนอกคอนโดเลย)
อาจเป็นความบังเอิญที่น่าสนเท่ห์ก็ได้ที่ Story เดินทางมายัง THE COVE สถานที่ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลายทางเชื้อชาติ และอายุ และสุดท้ายแล้ว การณ์กลับเป็นว่าผู้คนที่เธอหวังจะช่วยเหลือ ก็เปลี่ยนเป็นผู้ช่วยเหลือเธอแทนด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้กลับต้องพึ่งพาอาศัยกัน นำเธอกลับไปยัง BLUE WORLD… ผู้คนที่ตัดขาดออกจากกันด้วยเชื้อชาติและภาษา (มีหลายฉากของหนังที่สื่อให้เห็นอุปสรรคในการสื่อสาร ระหว่างภาษาที่แตกต่าง หรือแม้แต่ตัวพระเอกก็ยังเป็นโรคติดอ่าง) จำเป็นจะต้องทลายความแตกต่างทางชาติพันธุ์เพื่อปฏิบัติภารกิจกอบกู้”แรงบันดาลใจ”คืนสู่มาตุภูมิ อันนำไปสู่การค้นพบถึงพลังที่ซุกซ่อนในตัวของพวกเค้าเอง อันรวมไปถึงพลังแห่งความสามัคคีการรวมตัวรวมพลังมวลชน เพื่อปกป้องนางเอก (น่าขำที่หนังเรื่องต่อมา The Happening กลับเสนอแนวคิดในการอยู่รอดว่า “รวมกันเราตาย” ซะงั้น)


มองโลกอย่างผู้ไร้เดียงสา
ประเด็นนี้สมควรถูกใช้เป็นประเด็นหลักของหนังเลยก็เป็นได้ นับตั้งแต่การใช้รูปแบบของนิทานเป็นตัวขับเคลื่อนหนัง นับตั้งแต่การนำเสนอหน้าหนังด้วยวลี Bedtime Story by…
ลองมองถึงภาพรวมของหนังซิว่า นิทานมีความสำคัญไฉน?
และเราเล่านิทานให้ใครฟัง?
ในโลกของเด็ก ที่หน่วยคัดกรองเหตุและผล ความเป็นตรรกะยังไม่แข็งแรง เท่ากับผู้ใหญ่ ผู้ประสาโลกทั้งหลาย ทุกการเคลื่อนไหวในความคิดของเด็กจึงขับเคลื่อนไปด้วยจินตนาการอันเสรี ในโลกของเด็กทุกอย่างสวยงาม และทุกสิ่งเป็นไปได้ เป็นแรงบันดาลใจ
ถ้าเช่นนั้นความสำคัญที่นิทานมีต่อเด็กคืออะไร
นิทานคือเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยจินตนาการ มีคติสอนใจ นิทานไม่ใช่บทบันทึกของความเป็นตรรกะศาสตร์ หรือความสมจริง... เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่บ่มเพาะความคิดให้แก่เด็ก
ในความไม่สมจริงของเรื่องเล่า คือความล้ำค่าในนิทาน ที่สลัดความเป็นจริงเป็นจังของชีวิตออกจากเด็กเพื่อให้มองเห็นถึงความเป็นไปได้ในการทำตามความเชื่อ
สุดท้ายแล้วตำแหน่ง The Key Master (ผู้ถอดรหัส) เพื่อหาทางช่วยนาร์ฟในเรื่อง จึงเป็น ของเด็กผู้ชายวัย ๕ ขวบ โดนหนูน้อยใช้วิธีแกะรหัสจากข้างกล่องซีเรียล!!!.....น่าแปลกที่ตำแหน่งสำคัญนี้กลับตกเป็นของเด็กเล็กๆ ที่มองโลกอย่างบริสุทธิ์ อย่างมีจินตนาการคือหนทางแห่งการแก้ปัญหา ราวกับว่าผู้กำกับส่งสาส์นอันเป็นความหวังฝากแก่เด็กๆ ทั้งหลาย ว่าพวกเค้าคือคนรุ่นใหม่ ที่จะแก้ไขปัญหาบนโลกนี้ได้ หากไม่ถูกกลืนกินด้วยความโหดร้ายและการถูกจำกัดความคิดเสียก่อน โดยหนังก็สร้างตัวละครขั้วตรงข้ามไว้เป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์วัยชราที่วิสัยทัศน์คับแคบ จนเกือบทำให้สถานการณ์ของเรื่องแย่ลงกว่าเดิม จากการที่พระเอกไปขอคำปรึกษาด้วยคิดว่าเค้าคือผู้ถอดรหัสในตอนแรก

และหนังก็ได้ตอกย้ำและวิธีการของการมองโลกอย่างไร้เดียงสาไว้ในอีกฉาก เมื่อพระเอก เข้าไปหา อาซิ้ม เพื่อขอให้ซิ้ม เล่าตำนานของนาร์ฟให้ฟัง แต่เธอก็อิดออดไม่ยอมเล่า ซึ่งลูกซิ้ม ก็บอกว่า ให้ทำตัวเป็นเด็กๆ ไว้ซะ แล้ว มาม๊า จะเล่าให้คุณฟังเอง”
นี้เป็นฉากที่พูดโต้งๆ ถึงแนวคิดอันสื่อให้เห็นว่า "พวกผู้ใหญ่น่ะ โตแล้ว เก่งแล้ว มีเหตุผลกันมากแล้ว ไยจะต้องมาฟังตำนานที่ค่อนแคะว่าไร้สาระล่ะ ฟังไปก็ไม่ได้อะไรหรอก เพราะคงจะเอาเหตุผลร้อยแปด นึกว่าตัวเองแน่ รู้แล้วแก่ทุกสิ่งมาหักล้าง ความบริสุทธิ์ของจินตนาการ"
ตัวละครของพระเอกก็เช่นเดียวกัน ในตอนท้ายเค้านี้เองคือตำแหน่ง The Healer (ผู้รักษา) หลังจากที่ครอบครัวถูกฆาตกรรมเมื่อหลายปีก่อน พระเอกก็สูญสิ้นศรัทธาเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถคุ้มครองใครได้ เค้าจมอยู่กับความรู้สึกผิดบาปนั้น จนกระทั่งเค้าค้นพบจิตใจอันเปี่ยมหวังอันนำไปสู่พลังอำนาจในการเยียวยารักษาบาดแผลบนตัวStory และในจิตใจตัวเองอีกครั้ง

ประเด็นนี้สมควรถูกใช้เป็นประเด็นหลักของหนังเลยก็เป็นได้ นับตั้งแต่การใช้รูปแบบของนิทานเป็นตัวขับเคลื่อนหนัง นับตั้งแต่การนำเสนอหน้าหนังด้วยวลี Bedtime Story by…
ลองมองถึงภาพรวมของหนังซิว่า นิทานมีความสำคัญไฉน?
และเราเล่านิทานให้ใครฟัง?
ในโลกของเด็ก ที่หน่วยคัดกรองเหตุและผล ความเป็นตรรกะยังไม่แข็งแรง เท่ากับผู้ใหญ่ ผู้ประสาโลกทั้งหลาย ทุกการเคลื่อนไหวในความคิดของเด็กจึงขับเคลื่อนไปด้วยจินตนาการอันเสรี ในโลกของเด็กทุกอย่างสวยงาม และทุกสิ่งเป็นไปได้ เป็นแรงบันดาลใจ
ถ้าเช่นนั้นความสำคัญที่นิทานมีต่อเด็กคืออะไร
นิทานคือเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยจินตนาการ มีคติสอนใจ นิทานไม่ใช่บทบันทึกของความเป็นตรรกะศาสตร์ หรือความสมจริง... เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่บ่มเพาะความคิดให้แก่เด็ก
ในความไม่สมจริงของเรื่องเล่า คือความล้ำค่าในนิทาน ที่สลัดความเป็นจริงเป็นจังของชีวิตออกจากเด็กเพื่อให้มองเห็นถึงความเป็นไปได้ในการทำตามความเชื่อ
สุดท้ายแล้วตำแหน่ง The Key Master (ผู้ถอดรหัส) เพื่อหาทางช่วยนาร์ฟในเรื่อง จึงเป็น ของเด็กผู้ชายวัย ๕ ขวบ โดนหนูน้อยใช้วิธีแกะรหัสจากข้างกล่องซีเรียล!!!.....น่าแปลกที่ตำแหน่งสำคัญนี้กลับตกเป็นของเด็กเล็กๆ ที่มองโลกอย่างบริสุทธิ์ อย่างมีจินตนาการคือหนทางแห่งการแก้ปัญหา ราวกับว่าผู้กำกับส่งสาส์นอันเป็นความหวังฝากแก่เด็กๆ ทั้งหลาย ว่าพวกเค้าคือคนรุ่นใหม่ ที่จะแก้ไขปัญหาบนโลกนี้ได้ หากไม่ถูกกลืนกินด้วยความโหดร้ายและการถูกจำกัดความคิดเสียก่อน โดยหนังก็สร้างตัวละครขั้วตรงข้ามไว้เป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์วัยชราที่วิสัยทัศน์คับแคบ จนเกือบทำให้สถานการณ์ของเรื่องแย่ลงกว่าเดิม จากการที่พระเอกไปขอคำปรึกษาด้วยคิดว่าเค้าคือผู้ถอดรหัสในตอนแรก

และหนังก็ได้ตอกย้ำและวิธีการของการมองโลกอย่างไร้เดียงสาไว้ในอีกฉาก เมื่อพระเอก เข้าไปหา อาซิ้ม เพื่อขอให้ซิ้ม เล่าตำนานของนาร์ฟให้ฟัง แต่เธอก็อิดออดไม่ยอมเล่า ซึ่งลูกซิ้ม ก็บอกว่า ให้ทำตัวเป็นเด็กๆ ไว้ซะ แล้ว มาม๊า จะเล่าให้คุณฟังเอง”
นี้เป็นฉากที่พูดโต้งๆ ถึงแนวคิดอันสื่อให้เห็นว่า "พวกผู้ใหญ่น่ะ โตแล้ว เก่งแล้ว มีเหตุผลกันมากแล้ว ไยจะต้องมาฟังตำนานที่ค่อนแคะว่าไร้สาระล่ะ ฟังไปก็ไม่ได้อะไรหรอก เพราะคงจะเอาเหตุผลร้อยแปด นึกว่าตัวเองแน่ รู้แล้วแก่ทุกสิ่งมาหักล้าง ความบริสุทธิ์ของจินตนาการ"
ตัวละครของพระเอกก็เช่นเดียวกัน ในตอนท้ายเค้านี้เองคือตำแหน่ง The Healer (ผู้รักษา) หลังจากที่ครอบครัวถูกฆาตกรรมเมื่อหลายปีก่อน พระเอกก็สูญสิ้นศรัทธาเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถคุ้มครองใครได้ เค้าจมอยู่กับความรู้สึกผิดบาปนั้น จนกระทั่งเค้าค้นพบจิตใจอันเปี่ยมหวังอันนำไปสู่พลังอำนาจในการเยียวยารักษาบาดแผลบนตัวStory และในจิตใจตัวเองอีกครั้ง


ถึงแม้ว่าตัวหนังจะใช้ความเป็นนิทานกับความเป็นเด็กมานำเสนอ แต่จุดใหญ่ใจความของหนังที่ผู้กำกับอยากส่งมอบคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากผู้ใหญ่ เพราะนี้คือนิทานสำหรับผู้ใหญ่ ด้วยเนื้อหาที่เปรียบเสมือนหลักคำสอน ความสามัคคี การเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีความเชื่อมั่น
John Doe ฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง ในหนังเรื่อง SE7EN กล่าวว่า
“คนสมัยนี้มันพูดดีๆได้ที่ไหน มันต้องเอาค้อนทุบแรงๆให้สำนึก”
แต่ดูเหมือนพี่มาโนชจะไม่ได้คิดเช่นนั้น ในการปลุกจิตสำนึกที่ดีให้แก่สังคม
เค้าใช้วิธีการที่ละมุนละม่อม มองโลกอย่างมีความหวัง ด้วยเรื่องเล่าที่ย่อยเอาคำสอนแง่คิดออกมาในรูปแบบนิทาน อย่างมีสุนทรีย์เปี่ยมด้วยจินตนาการเพื่อการเข้าถึง และหวังว่ามันจะจุดประกายให้เราเริ่มเปลี่ยนแปลงโลกได้ทีละนิด *เสมือนการขยับปีกของผีเสื้อนั้นเอง
* ในหนังจะมีฉากนึงที่เหมือนเป็นอุปมาอุปไมยแอบแฝง นั้นคือฉากผีเสื้อขยับปีก ที่จงใจเน้นถ่ายมากๆ ทั้งยังใส่เข้ามาในเทรลเลอร์ ถ้าความเข้าใจของเราไม่คลาดเคลื่อน ผกก. น่าจะสื่อถึง "ปรากฎการณ์ผีเสื้อขยับปีก" การขยับปีกของผีเสื้อเพียงเล็กน้อยสามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อโลกได้
เป็นหนังที่เราอยากดูเมื่อนานมากแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ดูเสียที
เปรก็อยากดูเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ได้ดู เผอิญชอบหนังแฟนตาซี
ถ้าจะดูเอาแฟนตาซี ผิดหวังแน่ๆ เปร+หนมปัง
เรื่องนี้ผมซื้อมาดองหลายเดือนแล้ว พอคุณหนึ่งพรีวิวแล้วก็จะหยิบมาดูซักหน่อย แล้วจะมาแชร์ความคิดของเรานะครับ
เย้ๆๆ ดีใจที่มีคนอ่านแล้วอยากหยิบมาดู
ดูแล้วคิดไม่เหมือนกัน ก็ไม่เป็นไรครับ
ชอบ ไม่ชอบ ยังไงไม่เป็นไร ขอแค่มีคนดูหนังเรื่องนี้เพิ่มบ้างก็คงดี^^
ดูแล้วคิดไม่เหมือนกัน ก็ไม่เป็นไรครับ
ชอบ ไม่ชอบ ยังไงไม่เป็นไร ขอแค่มีคนดูหนังเรื่องนี้เพิ่มบ้างก็คงดี^^
พี่เคยดูแล้ว
แต่ขอบอก น้องหนึ่งวิเคราะห์เจาะลึกได้ดีจริงๆ
แต่ขอบอก น้องหนึ่งวิเคราะห์เจาะลึกได้ดีจริงๆ
ต้องรอมาคอมเม้นวันจันเลยนะเพราะเสาร์อาทิตย์สอบอ่ะ อยากดูมากเลยแผ่นอยู่กับมือแท้ๆแต่ไม่มีเวลา+สมาธิ
ใครไม่ชอบ แต่ผมชอบนะเออ ดำเนินเรื่องดีออกจะตาย โดยเฉพาะ เสียงพากษ์ไทยนางเอก โคตะระเซ็กซี่สุด ๆ เลยนะเธอว์ (เ้กี่ยวกันไหมหว่า?)
ดูแล้ว งงๆ
แต่โอเคนะ ผมว่าดีที่ได้ดู.....
แต่โอเคนะ ผมว่าดีที่ได้ดู.....
ชอบตอนสครันท์ออกมา
...
...
ชอบตอนสครันท์ออกมา
...
...
หนังของ M. Night เรื่องนี้ ซื้อแผ่นดองไว้นานมากกก
ยังไม่ได้แกะ พลาสติกเลย 55555
เร็วๆ นี้ คงได้ ฤกษ์เปิดดู อ่านจากที่หนึ่งวิเคราะห์แล้ว น่าสนใจแฮะ
ชอบเรื่องนี้มากครับ
Function Used time : 0:00:00:00.017