เบนเดอร์ (Bender Family) ครอบครัวเปื้อนเลือด

by artist_in • วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 23:25
มลรัฐแคนซัส (Kansas) เป็นรัฐที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของสหรัฐอเมริกา อยู่ในเขตที่เรียกว่ามิดเวสต์ ชื่อของรัฐมาจากคำอินเดียนแดงว่า Kansa ซึ่ง หมายถึง ผู้คนของลมใต้ รัฐแคนซัสเริ่มตั้งรกรากโดยชาวอเมริกันในช่วง คริสต์ทศวรรษ 1850 จากคนที่อพยพมาจากรัฐอื่นๆ ในปัจจุบันรัฐแคนซัสเป็นรัฐที่มีอุตสาหกรรมการเกษตรอันดับต้นของประเทศ โดยผลผลิตหลักของรัฐคือ ข้าวสาลี (wheat) เมืองหลวง ของแคนซัสชื่อ โทพีกา และเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐคือ วิชิทอ โดยแคนซัสซิตี ที่อยู่ในรัฐแคนซัสเป็นเมืองที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า เมืองแคนซัสซิตี ที่อยู่ในรัฐมิสซูรี

ใน ศตวรรษที่ 18- 19 ช่วงนั้นเองที่ รัฐแคนซัสเคยเป็นส่วนหนึ่งของสงครามกลางเมืองอันยิ่งใหญ่ระหว่าง พวกกลุ่มผู้เลิกทาส กับกลุ่มที่ไม่ต้องการเลิกทาส ซึ่งเกิดการนองเลือดอย่างรุนแรงภายในรัฐ ท่ามกลางความตึงเครียดสงคราม นั้นเองเกิดฆาตกรต่อเนื่องขึ้น มันไม่ใช้คนเดียว มันมีหลายคน และเป็นครอบครัว มีพ่อ แม่ ลูกร่วมมือกันทำการฆาตกรพวกคาวบอยที่กำลังเดินทางแสวงโชคระหว่างทางเข้า เมืองทางพรมแดนเท็กซัสและแคนซัส

ฆาตกรกลุ่มนี้นามว่า.............




ครอบครัวเบนเดอร์ (Bender Family)

ฉายา Bloody Benders

สมาชิกประกอบด้วย

จอห์น เบนดอร์(John Bender)หัวหน้าครอบครัว
เคท เบนเดอร์(Kate Bender) ลูกสาว
จอห์น เบนดอร์ จูเนียส(John Bender Jr.) ลูกชาย
มา เบนเดอร์(Marli Bender)ภรรยา

สมาชิกทั้งหมดไม่ทราบวันเกิด-ตาย ??-??

สังหารเหยื่อ ?(รู้แค่ 11 ราย)

ช่วงเวลาการสังหาร 1872–1873 ชุมชนลาเบท แคนซัส(แถบชายแดน)



ใครที่อ่านหนังสือ “เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เป็นฆาตกร” ของสรจักรคงได้ทราบเรื่องราวของฆาตกรนี้เป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นขอเล่าย่อๆ

ครอบครัวฆาตกรนี้ฉายา “เบนเดอร์เปื้อนเลือด” เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นครอบครัว ซึ่งใช้โรงแรมเล็กๆ ใน Labette เขตแคนซัสเป็นเวทีสังหาร ตั้งแต่ปี 1872 ถึง 1873



สมาชิกครอบครัวนี้ประกอบด้วยจอห์น เบนเดอร์(John Bender)หัวหน้าครอบครัวและ เจ้าของโรงแรม เป็นชายร่างใหญ่ ดูน่ากลัว ไหล่กว้างโหนกสูง หน้าผากใหญ่ ราวกับมนุษย์ถ้ำ มนุษย์ลิง อายุราวหกสิบ สูงห้าฟุต ตาสีเทา ผมสีน้ำตาล ผิวคล้ำ อารมณ์ฉุนเฉียว ไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดภาษาเยอรมันและพูดอังกฤษได้นิดหน่อย



อีกคนก็มา เบนเดอร์(Marli Bender)ภรรยาของจอห์น เบนเดอร์ อายุราว 50 หน้าตาไม่ค่อยรับแขก รูปร่างอ้วนดูอ่อนแอ และเป็นคนลึกลับ ไม่คบคน



ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 2 คน คนแรกชื่อจอห์น เบนเดอร์ จูเนียส(John Bender Jr.) ลูกชาย อายุราว 27 หน้าตาเหมือนบิดา แต่ผอมเล็กน้อย ไว้หนวดแต่ไม่ได้ไว้เคราทำให้เสริมให้เขาดูน่ากลัวยิ่งขึ้น เวลาคุยกับใครมักจบบทสนทนาด้วยการหัวเราะเป็นเสียงเล็กแหลมจนหลายๆ คนบอกว่า “เหมือนคุยกับหมาไฮยีน่า”



และคนที่สองคือเคท เบนเดอร์(Kate Bender) ลูกสาว หน้าตาสละสวย งามสง่า ริมผีปากอวบอื่มจนชายทุกคนที่เห็นอยากจุมพิจ พูดเก่ง และเปิดเผย จนเป็นที่ดึงดูดใจของชาวเมืองยิ่งนัก

ทาง ด้านประวัติครอบครัวเบนเดอร์เป็นเช่นไร ไม่มีใครรู้ เพราะครอบครัวนี้ไม่ชอบคบของแปลกหน้า อีกทั้งครอบครัวนี้มาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในฤดูใบไม้ร่วงปี 1970 ดังนั้นสิ่งที่สันนิษฐานได้คงเป็นสำเนียงของพวกเขาที่ฟังดูเหมือนเป็นชาว ต่างชาติ คือภาษาเยอรมัน ครอบครัวนี้ทำกิจการโรงแรมเล็กๆ บนทางผ่านชายแดนแคนซัส สิบสี่ไมล์ทางตะวันออกของรัฐอิสระ บนถนนโอเสจ หรือไมล์ครึ่งจากสถานีมอร์เฮต

ช่างดัดกระต๊อบใกล้ Cherryvale, แคนซัส
ทำเล ที่ตั้งโรงแรมเล็กๆ ของครอบครัวเบนเดอร์ไม่ค่อยมีใครได้เข้ามาพักมากนัก เพราะว่ามันอยู่ห่างจากย่างชุมชนไปไกลพอสมควร ทำให้ครอบครัวเบนเดอร์มีอาชีพเสริมเปิดด้านล่างโรงแรมเป็นที่ขายของจุกจิก จำพวกบุหรี่ ไฟแช็ค สบู่ กระสุนดินดำ ซึ่งคนแถบนี้มักมาซื้อของพวกนี้เพราะดีกว่าขี่ม้าเข้าไปในเมือง(รูปบนโรงแรม ของพวกเขาถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์Cherryvale)

เคท เบนเดอร์จึง เปรียบเสมือนคนเรียกลูกค้า ณ ที่แห่งนี้ เคทเป็นคนที่แปลกแยกของครอบครัว เธอเข้าโบสถ์ ทำกิจกรรมทางสังคมบ่อยๆ จนเป็นที่ดึงดูดใจของผู้ชายในเมืองแห่งนี้มาก ต่อมาเธอประกาศตนว่าเป็นหมอผู้วิเศษ สามารถรักษาโรคทุกชนิดไม่ว่า ตาบอด ลมชัก หูหรวก เป็นใบ้ด้วยเวทมนต์ และเป็นคนทรงติดต่อ คนตาย และทำนายพยากรณ์ด้วยพลังจิต ซึ่งเธอทำรายได้ดีกับงานนี้ มีลูกค้าหลายคนมาถึงที่โรงแรม

บางคนก็รอดและบางคนก็ครอบครัวเบนเดอร์ฆ่าหลังจากมาที่โรงแรมแห่งนั้น!!!

ทำไม ครอบครัวเบนเดอร์ถึงต้องฆ่าคนหรือ ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเราไม่ทราบประวัติของครอบครัวนี้ แต่จากการสันนิษฐานพบว่าสมัยก่อนแถบชายแดนมักมีการฆ่าแกงกันบ่อยๆ จนเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากคนที่เดินทางส่วนมากมักเป็นพวกคาวบอยต้อนฝูงวัวผ่านมาก พ่อค้า นักแสวงโชค ดังนั้นพวกนี้มักพกเงินหรือทองเพื่อติดต่อเพื่อทำการค้ามาก

มากพอที่จะให้ถูกฆ่า.........

อีก ข้อสันนิษฐานหนึ่งที่หลายคนแถบนั้นเชื่อคือครอบครัวเบนเดอร์นั้นไม่ใช้คน ธรรมดา พวกเขาอาจเป็นพ่อมด-แม่มดในร่างของคนที่อพยพจากเพนซิลวาเนียก็ได้ หลายคนเชื่อว่าครอบครัวนี้มีอำนาจลึกลับที่มองไม่เห็น บางทีการฆ่าคนอาจเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของครอบครัวเบนเดอร์ก็ได้

ไม่ รู้ว่าก่อนหน้านั้นครอบครัวเบนเดอร์เคยฆ่าใครก็คน ทางแคนซัสก็เช่นกันที่ไม่สามารถระบุจำนวนเหยื่อที่แน่นอนได้ ก็อย่างที่บอกทางแถบชายแดนมีคนถูกฆ่าหลายรายจนเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นสิ่งที่สันนิษฐานได้คือรอยพิมพ์ฆาตกรที่ปรากฏตามเหยื่อ คือ “สภาพศพกะโหลกถูกทุบ คอหอยขาด” นั้นแหละคือฝีมือของครอบครัวเบนเดอร์ นับๆ กันแล้วอาจมากกว่า 11 ศพ


เหยื่อทั้งหมดของครอบครัวเบนเดอร์สันนิษฐานว่าทุกคนล้วนถูกฆ่าโรงแรมเล็กๆ ของพวกเขา ที่ชมชนลาเบท พวกเขาจงใจเลือกตั้งสถานที่ที่คนไม่พลุกพล่านแต่คนเดินทางถนนสายนี้ล้วนแต่ เป็นพวกมีเงินพกติดตัว มีคนจำนวนมากถูกฆ่าตายที่นี้ในระยะหนึ่งปี ด้วยวิธีการฆาตกรรมง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่มีการเตรียมการอย่างแยบยล คือบ้านของครอบครัวนี้มีห้องเดี่ยวทุกห้องจะมีผ้าใบขึงเป็นม่านตรงกลาง เมื่อมีคนมาพักคืนเพราะเหนื่อยล้าหรือเป็นลูกค้าของเคทก็ตามแต่ แขกจะต้องถูกเชิญไปนั่งทานอาหารเย็นตรงโต๊ะที่จัดเตรียมเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โต๊ะและเก้าอี้สำหรับแขกมีเพียงตัวเดียว เป็นโต๊ะกลมขนาดใหญ่ ทำด้วยแก่นไม้เลื่อยหยาบๆ มีเก้าอี้สองฝั่ง ด้านหลังติดกับผ้าใบที่ขึงกั้นห้องอาหารแบ่งออกเป็นสองส่วน ซึ่งแขกจะต้องนั่งด้านที่ติดกับม่านผ้าใบเท่านั้น โดยมีนางเบนเดอร์และเคทลุกสาวเป็นคนปรุงและเสริฟ์อาหาร ผนังด้านข้างมีชั้นวางขนกระจุกกระจิกเช่น บุหรี่ ไฟแช็ค

ขณะ ที่แขกกำลังเพลิดเพลินกับอาหารหรือฟังเรื่องเคทเล่า จอห์นหรือลูกชายจะเข้าไปอีกด้านของม่าน ในมือถือค้อนขนาดใหญ่ แล้วอ้อมมาด้านหลังของแขกรอจังหวะให้เหยื่อเอนหลังมาด้านหลังในท่าไม่ระวัง ตัวเองแล้วทุบกะโหลกอย่างรุนแรง จนสมองกระจาย ซึ่งบางครั้งพวกเขาจะทุบคนละสองทีสองทีเพื่อความแน่ใจว่าแขกตายแล้ว และใช้มีดแล่เนื้อเชือดคอเหยื่ออีกครั้ง

จาก นั้นเหยื่อจะถูกลากเข้าหลังม่าย ปลดทรัพย์สิน แล้วพวกเขาก็เปิดประตูกล และเอาศพลงไปในถังขนาดใหญ่ฝังไว้ใต้ดิน ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึงสองนาที ศพจะถูกทิ้งจนดึก เมื่อปลอดคน สองพ่อลูกจะเอาศพขึ้นมาเพื่อฝังในผืนนาหลังโรงเตี๊ยม โดยขุดหลุมตื้นๆ ฝัง



เรื่องราวครอบครัวเบนเดอร์เปิดเผยหลังการหายตัวของนายแพทย์วิลเลียม ยอร์ก(Dr. William York) ใน 4 พฤษภาคม 1873 ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงและมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับข้าราชการระดับสูง ของกรุงวอชิงตันและเป็นพี่ชายของพันเอกเอ.เอ็ม.ยอร์กซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียง จากสงครามกลางเมือง ทำให้ประชาชนได้รับความสนใจทันที ผิดกับเหยื่อรายก่อนหน้าของพวกเบนเดอร์ที่มักเป็นคนแปลกถิ่นและใม่มีใครสนใจ ว่าใครจะหายไป

เมื่อ หมอวิลเลียมหายไป ชาวเมืองเลยรวมกันเพื่อออกตามหา ครั้งแรกทีมค้นหาตามรอยนายแพทย์วิลเลียมจนมาถึงโรงแรมของเบนเดอร์ โดยเคทเป็นรับหน้า เธอยอมรับว่าหมอคนนี้มาพักที่นี้จริง จากนั้นเขาก็เดินทางไป โดยบอกว่าเขาจะไปพื้นที่ของอินเดียแดง

จาก นั้นทีมค้นหาก็ไปตามหาหมอวิลเลียมหลายที ผลปรากฏว่าม่มีพยานใดๆ พบหมอวิลเลียมอีกเลย จนทีมค้นหาต้องกลัยไปโรงแรมเบนเดอร์อีกครั้งเพื่อสอบถามเพิ่มเติม



จนกระทั้งพบตัวนายแพทย์วิลเลียม....แต่เป็นศพแล้วนะ เขาขึ้นอืดในหลุมตื้นๆ ในสวนผลไม้หลังโรงแรมเบนเดอร์

ใน คืนการค้นหาศพทีมงานพบศพนับโหลในพื้นที่แห่งนั้น รวมถึงศพของยอร์จ ลิวเซอร์และบุตรสาววัยสิบแปดเดือน กะโหลกของยอร์จถูกทุบจนแหลก ลำคอถูกเชือด ส่วนบุตรสาวตายเพราะถูกรัดคอ

ช่างดัดทรัพย์สินขุด
หลายวันผ่านไป มีการพบศพเพิ่มเติมในที่ดินแบนเดอร์เพิ่ม ส่วนใหญ่เป็นศพผู้ชาย มีเพียงศพเดียวที่เป็นผู้หญิงที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใครแต่คาดว่าเธอคง อายุ 20 ปี นอกจากนี้ก็ยังมีซากเด็กผู้ชายวัยแปดขวบ

แต่ น่าเหลือเชื่อตรงที่ แม้พบศพมากกว่า 11 รายที่พื้นที่ของครอบครัวเบนเดอร์ แต่เจ้าหน้าที่แคสซัสบอกว่าหาหลักฐานเอาผิดครอบครัวนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจน ไม่รู้กระทั้งผู้ตายเป็นใคร ได้เมื่อไหร่ ฯลฯ

เมื่อ คนตายให้การไม่ได้ สิ่งที่ให้การได้คือเหยื่อที่อาจหนีรอดมาได้ เมื่อวีรกรรมของพวกเบนเดอร์เปิดเผย มีหลายคนนึกออกว่าพวกเขาเคยพบประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วครั้งหนึ่ง

หนึ่ง ในนั้นคือสาธุคุณ พอล พอนซิกลิโอน พระนิกายแคทอลิก เล่าว่า ท่านมีภารกิจต้องไปสอนพวกินเดียแดงแถบชายแดน และตอนนั้นเองท่านก็ตัดสินใจพักโรงแรมเบนเดอร์

“วัน นั้นลมแรง ฝุ่นฟุ้งตลอดทาง พ่อตัดสินใจแวะค้างแรมที่นั่นหนึ่งคืน ตอนที่พ่อกำลังนั่งทานอาหารว่างตามคำเชิญ พ่อรู้สึกแปลกใจที่ชายเจ้าของโรงแรมมองหน้าพ่อ แล้วมุดเข้าไปหลังม่านพร้อมค้อนเหล็กอันใหญ่ในมือ ต่อมาเขากลับออกมามือเปล่า เดินไปคุยอะไรบางอย่างกับลูกสาวแล้วมองพ่อ สายตาไม่เป็นมิตร พ่อรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก มือสั่นไปหมอ คิดได้ว่าแถวชายแดนมักมีคดีฆาตกรรมชิงทรัพย์อยู่บ่อย ในหูมีเสียงกระซิบให้หนีเร็ว...”

พ่อตัดสินใจลุกพรวด วิ่งไปที่ม้า ควบออกไปทันที


ส่วนพวกเบนเดอร์ละ ทีมงานก็พยายามค้นหา แต่ปรากฏว่าทั้งจอห์น เบนเดอร์.มา จอห์น จูเนียร์ และเคทหายสาบสูญ คาดว่าพวกเขาน่าจะหลบหนีแล้วหลังมีการรู้ข่าววิเลียมหายตัวไป

ผู้ว่าการแคนซัสเสนอเงินนำจับ 2000 เหรียญ กับใครก็ตามที่แจ้งเบาะแสที่ซ่อนตัวของพวกเขา ซึ่งถูกว่าสูงมากในขณะนั้น

แต่กระนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นพวกเขาอีกเลยจนถึงปัจจุบัน

สำหรับ เรื่องราวต่อมามีการค้นบ้านของพวกเบนเดอร์พบค้อนขนาดใหญ่ที่ใช้สังหารเหยื่อ ภายหลังฆ้อนนี้ถูกนำไปจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ของครอบครัวของเหยื่อในปี 1976 ต่อมามันก็ถูกส่งไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ในCherryvale, แคนซัส ตั้งแต่ 1967 ถึง 1978


ทางด้านการตามล่าครอบครัวเบนเดอร์ มีการค้นหาชนิดเข้มข้น อย่างกว้างขวาง แต่ก็ไม่พบอะไรจนมีการเสริมแต่งข่าวลื่ออะไรหลายๆอย่างว่า เบนเดอร์ว่าพวกเขาคือใคร โผล่มาจากไหน และหายไปที่ไหนบางคนบอกว่าพวกเขาอาจหนีไปดินแดนของอินเดียนแดงและถูกอินเดีย แดงฆ่าตายหมดทั้งครอบครัว แต่บางคนก็อ้างว่าเห็นพวกเขาซื้อตั๋วรถไฟขึ้นไปทางเหนือ หรือบางคนเห็นพวกเขามุ่งหน้าไปชิคาโก โผล่ไปที่โน้น ที่นั้นบ้าง บางคนก็เล่าอย่างมีรถชาติว่าพวกเขายิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่บนไร่ข้าวโพด ส่วนอีกข่าวบอกว่าชาวบ้านจับเคทขึงกับต้นไม้แล้วเผาทั้งเป็นเสมือนเธอเป็น แม่มด

แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่มีศพ ไม่มีคนตาย ข่าวเกี่ยวกับเบนเดอร์ยังคงเป็นเรื่องฮิตติดลมของชาวอเมริกันหลายสิบปี

ในปี 1888 ผู้หญิงคนหนึ่งแจ้งว่า พบเห็นหญิงสาวกับแม่ที่ทำอาชีพซักรีดใน Detroit รัฐมิชิแกน คาดว่าน่าจะเป็นนางเคทและมา เบนเดอร์ ตำรวจเข้าไปสอบถาม ซึ่งทั้งสองไม่ยอมให้การใดๆ เกี่ยวกับภูมิหลังของตน

12 มีนาคม 1922 ฮิ วสตันโพสต์ฉบับที่ 12 ได้ตีพิมพ์คำรับสารภาพของชายที่ชื่อวิลเลียม ไฮแรม แม็คแดเนียล แห่งเกนวิลล์ เท็กซัส สารภาพว่าตัวเขาและพรรคพวกเป็นคนฆ่าตระกูลเบนเตอร์ตอนกลางคืน โดยผ่าเอาไส้ออก มัดศพกับก้อนหิน เอาไปถ่วงน้ำเวอร์ดีกริส แต่ก็กระนั้นแหละก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดีว่าพวกเขาฆ่าตระกูลเบนเดอร์จริง

ใน ปี 1989 หญิงสาวสองคนที่คาดว่าจะเป็นนางเคทและมา เบนเดอร์ถูกนำตัวมาขึ้นศาล แต่ก็ถูกยกฟ้องในเวลาต่อมา ส่งผลให้ครอบครัวเบนเดอร์ยังเป็นฆาตกรที่ลอยนวลจนถึงปัจจุบัน



ปัจจุบันเรื่องราวของครอบครัวเบนเดอร์ถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบเพื่อการบังเทิง อาทิ เช่น

นวนิยาย Cottonwood (2004) โดย Scott Phillips ที่มีตัวละครที่นำลักษณะเด่นของ เคท เบนเดอร์ มาบรรยาย

นิยาย ของ Rick Geary ในชื่อเรื่อง Treasury of Victorian Murde และ นิยายเรื่อง Candle of the Wicked ของManly Wade Wellman ที่บรรยายการฆาตกรรมเหนือธรรมชาติของครอบครัวเบนเดอร์

นิยาย American Gods โดย Neil Gaiman ก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวเบนเดอร์

และก็มีการ์ตูนและรายการทีวีเล็กน้อยที่เสริมแต่งครอบครัวนี้เป็นสัตว์ประหลาดและมีบทบาทหลายอย่างที่เล่ากันอย่างไม่รู้จบ

ดัดแปลงจากเลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เป็นฆาตกร โดยสรจักร สำนักพิมพ์มติชน

http://www.legendsofamerica.com/OZ-Benders.html

http://en.wikipedia.org/wiki/Bloody_Benders+ +

cradit : http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=348
attachment

Replies (2)

#1knompang • 1/1/2553 23:44
อ่อยยย น่ากัวงิ

เคยเห้นหนังสือของคุณสรจักรเล่มนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นได้แต่เปิดอ่านผ่านๆ แต่ชอบอ่านเรื่องสั้นของเขา ว่าแล้วไปเอาเล่มนี้มาอ่านมั่งดีฟ่า
#2hotz_sunday • 7/1/2553 16:20
สนุกดี ขอบคุณนะคะ ^__^
Login
Function Used time : 0:00:00:00.015
Go Last