หนังโหดสยองที่ย่ำแย่ที่สุดในปี 2009 ... มาร่วมกันลงประชามติ
by nana_idol • วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552 21:32
เห็นคุณแคปซูลเขาจัดกระทู้ Vote หนังโหดในดวงใจ ต้อนรับปีใหม่ ... ผมก็เอามั่ง เลียนแบบเขา ขำ ๆ ละกันครับ
มาร่วมกันลงประชามติหนังโหดที่คุณคิดว่าย่ำแย่ หรือผิดหวังที่สุดในปี 2009 กันครับ ... จะได้เป็นแนวทางให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ไม่เสียเวลาไปเสาะหามาดู
มาร่วมกันลงประชามติหนังโหดที่คุณคิดว่าย่ำแย่ หรือผิดหวังที่สุดในปี 2009 กันครับ ... จะได้เป็นแนวทางให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ไม่เสียเวลาไปเสาะหามาดู
Replies (22)
ผมยกให้เรื่องนี้ Perkins' 14 ดูในตัวอย่างกับอ่านเรื่องย่อช่างดูแปลกน่าสนใจ จนทำให้ผมตัดสินใจเสาะหามาดูด้วยความยากลำบาก ... แต่พอได้ดูแล้วรับไม่ได้จริง ๆ

ความเห็นก่อนดู
ตอนแรกเข้าใจว่าเนื้อเรื่องเล่าถึงเรื่องราวของ Ronald Perkins ชายที่พ่อแม่ถูกฆ่าตอนอายุ 6 ขวบ และเป็นโรคจิตหลอนว่าไอ้ฆาตกรจะตามกลับมาฆ่าเขา พอเขาอายุ 34 ก็เรยลักพาตัวคน 14 คนและล้างสมองคนพวกนั้นให้เป็นนักฆ่า [ใน trailer บอกว่า "เด็ก 14 คนหายตัวไปในปี 1999, และในปัจจุบันนี้ 14 คนกลับมา ... ร่วมเป็นพยายการ Reunion"] ... เห็นตัวอย่างและเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ขนาดนี้ ทำให้ผมอยากดูมาก
ความเห็นหลังจากดูจบ
เนื้อเรื่องจริง ๆ ตัวเอกเป็นตำรวจที่ลูกชายถูกลักพาตัวไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน และในเย็นวันเกิดเรื่องเขาเฝ้ายามที่โรงพักครับ แล้วก้ได้พบกับนาย Perkins ในห้องขัง (ทำผิดข้อหาอะไรก้ไม่รู้ ถึงโดนจับ) เขาสงสัยว่าไอ้หมอนี่แหละที่ลักพาตัวลูกเขา จึงให้เพื่อนตำรวจไปบ้านนาย Perkins และไอ้หมอนั่นก้ดันไปเปิดห้องใต้ดินของบ้านไอ้ Perkins และเด็ก 14 คนที่ Perkins ลักพาตัวก้หลุดออกมา และไล่ฆ่าผู้คนในเมืองอย่างกลับซอมบี้ ... หนังพยายามผูกเรื่องให้เป็นดราม่านิดๆ ตรงที่นายตำรวจตัวเอกของเราจะพยายามหา ไอ้ลูกชายให้เจอนี่แหละ โดยทั้งๆที่รู้ว่าลูกชายเป็นไอ้บ้าไล่ฆ่าคนไปแร้วก้ไม่ตัดใจ สุดท้ายเรยตายด้วยน้ำมือลูกชาย ... จุดที่น่าผิดหวังคือความไม่สมจิง และไร้ซึ่งน้ำหนักในเรื่องครับ ไอ้เด็ก 14 คนนี้มันไม่เหมือนคนที่ถูกลักพาตัวไปทรมานกักขังจนเป็นบ้าเรย มันเหมือนพวกเด็ก EMO ใส่เสื้อขาด ๆ มากกว่า และอีกประเด็นก็คือการทำให้ไอ้เด็กพวกนี้ไม่รู้จักตายเพราะยาเร่งอะดินารีนที่ Perkins ฉีดให้เด็กๆ มันดูเว่อๆไปจนเหมือนตัวอะไรก้ไม่รู็คนก้ไม่ใช่ซอมบี้ก้ไม่เชิง ไม่ค่อย Make sense เท่าไรคับ ... Effect ก้กลาง ๆ ครับ เหมือนกั๊ก ๆ ไงไม่รู้บางฉากน่าจะโหดก้ไม่ทำให้โหด ที่ฉากไอ้เด็กบ้าคนหนึ่งขาขาด ซึ่งไม่ใช่ฉากน่าสนใจ และสำคัญอะไรเลยในเรื่องดันทำซะแหวะ แต่ฉากยิงหัวไอ้ Perkin ที่เป็นฉากสำคัญกลับไม่ได้เรื่องเลย

ความเห็นก่อนดู
ตอนแรกเข้าใจว่าเนื้อเรื่องเล่าถึงเรื่องราวของ Ronald Perkins ชายที่พ่อแม่ถูกฆ่าตอนอายุ 6 ขวบ และเป็นโรคจิตหลอนว่าไอ้ฆาตกรจะตามกลับมาฆ่าเขา พอเขาอายุ 34 ก็เรยลักพาตัวคน 14 คนและล้างสมองคนพวกนั้นให้เป็นนักฆ่า [ใน trailer บอกว่า "เด็ก 14 คนหายตัวไปในปี 1999, และในปัจจุบันนี้ 14 คนกลับมา ... ร่วมเป็นพยายการ Reunion"] ... เห็นตัวอย่างและเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ขนาดนี้ ทำให้ผมอยากดูมาก
ความเห็นหลังจากดูจบ
เนื้อเรื่องจริง ๆ ตัวเอกเป็นตำรวจที่ลูกชายถูกลักพาตัวไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน และในเย็นวันเกิดเรื่องเขาเฝ้ายามที่โรงพักครับ แล้วก้ได้พบกับนาย Perkins ในห้องขัง (ทำผิดข้อหาอะไรก้ไม่รู้ ถึงโดนจับ) เขาสงสัยว่าไอ้หมอนี่แหละที่ลักพาตัวลูกเขา จึงให้เพื่อนตำรวจไปบ้านนาย Perkins และไอ้หมอนั่นก้ดันไปเปิดห้องใต้ดินของบ้านไอ้ Perkins และเด็ก 14 คนที่ Perkins ลักพาตัวก้หลุดออกมา และไล่ฆ่าผู้คนในเมืองอย่างกลับซอมบี้ ... หนังพยายามผูกเรื่องให้เป็นดราม่านิดๆ ตรงที่นายตำรวจตัวเอกของเราจะพยายามหา ไอ้ลูกชายให้เจอนี่แหละ โดยทั้งๆที่รู้ว่าลูกชายเป็นไอ้บ้าไล่ฆ่าคนไปแร้วก้ไม่ตัดใจ สุดท้ายเรยตายด้วยน้ำมือลูกชาย ... จุดที่น่าผิดหวังคือความไม่สมจิง และไร้ซึ่งน้ำหนักในเรื่องครับ ไอ้เด็ก 14 คนนี้มันไม่เหมือนคนที่ถูกลักพาตัวไปทรมานกักขังจนเป็นบ้าเรย มันเหมือนพวกเด็ก EMO ใส่เสื้อขาด ๆ มากกว่า และอีกประเด็นก็คือการทำให้ไอ้เด็กพวกนี้ไม่รู้จักตายเพราะยาเร่งอะดินารีนที่ Perkins ฉีดให้เด็กๆ มันดูเว่อๆไปจนเหมือนตัวอะไรก้ไม่รู็คนก้ไม่ใช่ซอมบี้ก้ไม่เชิง ไม่ค่อย Make sense เท่าไรคับ ... Effect ก้กลาง ๆ ครับ เหมือนกั๊ก ๆ ไงไม่รู้บางฉากน่าจะโหดก้ไม่ทำให้โหด ที่ฉากไอ้เด็กบ้าคนหนึ่งขาขาด ซึ่งไม่ใช่ฉากน่าสนใจ และสำคัญอะไรเลยในเรื่องดันทำซะแหวะ แต่ฉากยิงหัวไอ้ Perkin ที่เป็นฉากสำคัญกลับไม่ได้เรื่องเลย
แก้ไขล่าสุด: 22/12/2552 21:43 โดย nana_idol
5555 ไหนๆ ก็ไหนๆ สำหรับผม ขอ ยกตำแหน่งให้เรื่องนี้เลย

เวลาหยิบหนังอะไรมาดูซะเรื่อง ไม่คาดหวังอะไรมาก แค่ขอให้มัน ทำให้เราอยู่กับหนังเรื่องที่ดูได้เป็นพอ
แต่ทว่า ดูเรื่องนี้ มันโครตตตตตตตตตตตตตตตตต เบื่อออออออออออออออ มากกกกกกกกกก
หนังไม่สนุก ไร้อารมณ์ชวนดูมาก เนื้อเรื่องเหมือนยำยำ จากหนังผีเรื่องอื่นๆ มา ทำออกมาซ้ำซากสุดเดช รู้สึกถึงความไม่มีความคิดใหม่ๆ ก๊อปเรื่องโน้นทีเรื่องน้านที
ก๊อป มาแล้วเจ๋ง ไม่ว่าหรอก แต่ออกมาแบบนี้นี่ อยากเอาเวลา กรูคืนมาาาาาาาา เสียดายเวลาโพดๆ
ในปี 2009 รู้สึกเบื่อสุดๆ กับเรื่องนี้นี่แหล่ะ

เวลาหยิบหนังอะไรมาดูซะเรื่อง ไม่คาดหวังอะไรมาก แค่ขอให้มัน ทำให้เราอยู่กับหนังเรื่องที่ดูได้เป็นพอ
แต่ทว่า ดูเรื่องนี้ มันโครตตตตตตตตตตตตตตตตต เบื่อออออออออออออออ มากกกกกกกกกก
หนังไม่สนุก ไร้อารมณ์ชวนดูมาก เนื้อเรื่องเหมือนยำยำ จากหนังผีเรื่องอื่นๆ มา ทำออกมาซ้ำซากสุดเดช รู้สึกถึงความไม่มีความคิดใหม่ๆ ก๊อปเรื่องโน้นทีเรื่องน้านที
ก๊อป มาแล้วเจ๋ง ไม่ว่าหรอก แต่ออกมาแบบนี้นี่ อยากเอาเวลา กรูคืนมาาาาาาาา เสียดายเวลาโพดๆ
ในปี 2009 รู้สึกเบื่อสุดๆ กับเรื่องนี้นี่แหล่ะ
ให้เลือกเรื่องเดียวเองเหรอครับ
๕๕๕+
๕๕๕+
ขอสามแล้วกัน เรียงจากน้อยสุดไปมากสุด
The Final Destination (2009 USA, David R. Ellis)
เห็นได้ชัดว่าจงใจจะขายความเป็นสามมิติกันอีท่าเดียว เพราะความน่าสนใจของบทภาคนี้ไม่มีเหลือ มีแต่ความซ้ำซาก (รับไม่ได้มาก ที่สำเนามุกเดิมมาใช้คือให้ตัวละครถูกรถที่ขับตัดหน้าพุ่งชน เหมือนภาคแรกเด๊ะ)... ไหนจะเรื่องของปริศนาหาความเชื่อมโยง ลำดับการตาย เรื่องของนิมิตร ลางสังหรณ์ที่บอกใบ้ก็แทนที่ด้วยการให้ตัวละครฝันเอา...แค่เนี้ย.... ตอนจบก็นะ รู้อยู่แล้วแหละว่าต้องตายหมด แต่มันดูไม่น่าประทับใจเลย ตอนจบภาคสามยังดูเจ๋งและมีความหมายกว่า (การที่ให้ตัวละครขึ้นรถไฟ เล่นกับคำว่า destination การให้สถานที่/สิ่งของที่คร่าชีวิตเหยื่อ กลับมาโผล่รวมตัวกันอีกทีบนรถไฟในรูปแบบของป้าย sign)
เราก็ได้แต่หวังว่าหนังเรื่องนี้จะจบๆลงไปซักที ไหนๆก็ใช้ชื่อ the final destination แล้วนิเนอะ
มหาลัยสยองขวัญ (2009 Thailand, บรรจง สินธนมงคลกุล / สุทธิพร ทับทิม)
เหลวเปววววววววววว ล้มเหลว กับการพยายามจะแปลกใหม่ แต่ไปไม่ถึงฝั่ง สุดท้ายก็เป็นแค่ละครผีพายเรือในอ่างนั้นแหละ
เอาเวลาไปดูละครรายการกรรมลิจิตดีกว่า
Feast III: The Happy Finish (2009 USA, John Gulager)
(ขออนุญาตรวมภาค 2 ไปด้วย เพราะเนื้อเรื่องมันต่อกันสุดๆ)
คาดว่าหลายคนคงเห็นหนังสองเรื่องนี้ตามร้านเช่าดีวีดีทั่วไปแล้วล่ะ ดูจากหน้าหนังแล้วคงคาดหวังว่าจะได้ดูหนังสัตว์ประหลาดแหวะๆสยองโลกๆใช่ป่ะ
คำตอบคือใช่ แต่มันเป็นเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะส่วนข้างใต้มันมหึมาความบ้า ทุเรศ อัปรีย์ ยี้แหวะ กว่านี้มากๆๆ
หนังสองภาคนี้ คือภาคต่อของหนัง Feast ชื่อเดียวกัน เป็นหนังสัตว์ประหลาดทุนต่ำที่ดีกรีบ้า โหด นรกยังต้องก้มกราบ
สองภาคต่อมาถูกสานต่อ เพื่อแฟนๆหนังที่ดูท่าจะรู้ตัวว่าตนเองถูกจัดให้อยู่ในสายพันธุ์คัลท์-สัตว์ประหลาด
หนังจึงทำออกมาในรูปแบบ direct to vdo โดยทั้งสองภาค จะว่าไปก็เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะมันต่อเนื่องกันแบบจบภาคสองต้องเปิดภาคสามดูต่อได้ทันที
หนังเรื่องนี้ อย่างที่บอกว่าเป็นหนังสัตว์ประหลาดแนวยี้แหวะแขวะสุดๆ จำพวก dead alive / bad taste ของพีเทอร์ แจ๊คสัน Planet Terror ของโรเบิร์ต โรดิเกซ นั้นคือมีส่วนผสมของแฟนตาซี และความสยองแบบดิบเถื่อน แต่ก็สอดแทรกไปด้วยอารมณ์ขัน ความฮา ความเพี้ยน เรียกว่าทั้งสยอง อ้วกแตก และฮาน้ำหมากกระจาย
จริงๆ ก็อาจจะรวม Drag Me to Hell ไว้ด้วย แต่อันนั้นมันหนังผี
ดูท่าว่าคนฝรั่งคงชอบเล่นกับมุกเจ็บตัวที่มีศัพท์เรียกว่า Slapstick หรือพวกมุกของโสโครกกันมากๆ เพราะในหนังสยอง-ตลก เหล่านี้ก็มักจะอุดมไปด้วย ของเหลวจากร่างกาย อาจม อาเจียน น้ำหนอง น้ำเชื้อ สาดใส่นักแสดงกันเป็นทิวแถว
Feast ทั้งสองภาค เป็นหนังสัตว์ประหลาดที่มีแค่พล๊อตหลวมโพรกๆจับยืดเป็นเส้นเรื่องแกรนๆ เพราะมันแค่ว่าด้วยเมืองๆนึงที่ถูกสัตว์ประหลาดบุก แล้วก็มีพวกตัวละครคัลท์ๆออกมาสู้และหาทางเอาตัวรอด พล๊อตมีเท่านี้ แต่หนังสามารถยืดไปได้ จากฉากเห้ๆทั้งหลาย
ถึงอย่างนั้น เรากลับคิดว่า Feast ไม่สามารถทำได้ดีเทียบเท่าหนังที่เรายกตัวอย่างมาเลย มันเหมือนผกก. กำลังตีความว่า "อ๋อ อยากให้หนังแรง เพี้ยนๆ ต้องใส่ฉากทุเรศๆๆๆไปมากๆๆๆๆๆๆ เดี๋ยวมันก็จะคัลท์" ขอบอกเลยว่าในหนังเรื่องนี้ฉากเหี้ยๆ เละๆ แหวะๆ โป๊ๆ มันมากเกินไป มากเกินความจำเป็น มากเกินความพอดี มากจนไม่มีความประทับใจ จนเราสงสัยว่า หนังเรื่องนี้มีผกก.ด้วยเหรอ หรือพวกฝ่ายเทคนิค เมคอัพ เค้าสลับกันกำกับโชว์พาว ปล่อยของกันเอง แม่งเน้นกันจริงๆ อะไรเห้ๆเนี้ย
หนังไร้จังหวะจะโคน ไม่มีหลักไม่มีแหล่งสุดๆ อาจจะมีดีที่ให้เราได้ลองกวาดสายตาดูสารพัดมุก ซึ่งบางอันก็แจ่มและน่าสนใจ แต่บางอันก็แป้กและน่ารำคาญอดสูมากกว่า...
มุกที่น่าสนใจ
- การแนะนำตัวละครที่ละตัว ด้วยวิดีโอพรีเซนเทชั่นเท่ๆ พร้อมเรียกชื่อตัวละครด้วยฉายา
- ตัวละครตัวนึงรีบวิ่งออกไปช่วยเด็กทารก เค้าอุ้มเด็กหนีตัวประหลาด แต่พอรู้ว่าวิ่งไม่ไหว ก้เลยโยนเด็กทิ้งลงพื้น (ทำลายล้างสูตรหนังสยองดีมากๆ)
- การให้ตัวละครตัวนึงรอดตายอย่างฉิวเฉียดในภาคสอง ก่อนจะถูกฆ่าทันทีในภาคสามตั้งแต่เปิดเรื่อง
- การให้ตัวละครฮีโร่สุดๆ ที่มาพร้อมอาวุธสุดเจ๋ง ต้องจบชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะสาวโก๊ะคนนึงทำปืนลั่นใส่
ฉากเห้ๆ
- ชายคนนึงลองผ่าตัดกายวิภาคสัตว์ประหลาด เพื่อค้นหาความลับในร่างกาย เค้าลองกดที่เครื่องในมัน ทันใดนั้นกลไกอวัยวะก็ทำงาน โดยสัตว์ประหลาดตดใส่หน้าผู้หญิงคนนึง / ฝ่ายผู้ชายยังไม่หยุด เลยกดอีก ครั้งนี้สัตว์ประหลาดอ้วกอภิมหามหึมาใส่ยายแก่ / ฝ่ายผู้ชายยังไม่หยุด ลองกดอีก ครั้งนี้อุนจิเต็มๆๆๆพุ่งใส่หน้าสาวข้างๆ / แล้วมันก็กดอีก ครั้งนี้อสุจิขุ่นๆกระฉอกออกมาโดนหน้าหญิงเคราะห์ร้ายทันที
- ฉากฝันหวานของหญิงสาวนางนึง ที่ฝ่ายกราฟฟิคออกแบบได้เป็นยาขมมากๆ เมื่อเธอฝันถึงชายอ้วนม่วงดำออกมาร่วมรัก (ฉากนี้ใส่มาเพื่ออออออ)
มีอีกเยอะ แต่นึกไม่ออก บอกแล้วว่าใส่มาเยอะเกิน ก็ไม่ใช่จะจำได้หรอกนะ มันล้น จนต้องอาเจียนเอาความทรงจำออกมา
หนังไม่มีสาระ เหตุผลอยู่แล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้สนมาก เพราะหนังที่ได้ยกตัวอย่างไปช่วงต้นมันก็ไม่ได้มีสาระเหตุผลไรมาก แต่หนังพวกนั้นคุมโทน กลมกล่อมในความเป็นทั้งสยอง-ตลก-คัลท์ ได้อย่างลงตัว มีการปล่อยของได้ถูกเวลา และรู้จักประมาณตนที่จะไม่ทะเยอะทะยานโชว์พาวจนทุเรศ เนื่องจากหนังพวกนั้นมีการเล่นกับเงื่อนไขในบทตัวเองอย่างพอดี ที่จะไม่เละเทะ เหมือนอี Feast ที่ดูไปนานๆ ดูจนถึงภาค 3 (ถือว่าอดทนมากๆ) หนังก็เริ่มเละโคตรๆ (พอๆกับสภาพตัวละครในเรื่อง) คนเขียนบทไม่เล่นกับเงื่อนไขในหนังที่สร้างไว้ แต่พอตันกับไอเดีย ก้เริ่มไปคว้าสวรรค์วิมานที่ไหนไม่รู้มาแถแถกไปเอง น่ารำคาญมากกกก
ที่สุดของความแถแถกของหนังอยู่ที่ฉากจบภาค 3
ทันทีที่ตัวละครโผล่ออกมาจากท่อระบายน้ำ รอดตายจากสัตว์ประหลาดแล้ว
จู่ๆก็มีหุ่นยนตร์แบบหนัง ทรานฟอร์มเมอร์โผล่มาเหยียบไส้แตกตายคาที
เพื่ออออออออออออออ?
จบแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากที่เค้าเรียกกันว่า
"ปาหมอน"หรอกนะ
The Final Destination (2009 USA, David R. Ellis)
เห็นได้ชัดว่าจงใจจะขายความเป็นสามมิติกันอีท่าเดียว เพราะความน่าสนใจของบทภาคนี้ไม่มีเหลือ มีแต่ความซ้ำซาก (รับไม่ได้มาก ที่สำเนามุกเดิมมาใช้คือให้ตัวละครถูกรถที่ขับตัดหน้าพุ่งชน เหมือนภาคแรกเด๊ะ)... ไหนจะเรื่องของปริศนาหาความเชื่อมโยง ลำดับการตาย เรื่องของนิมิตร ลางสังหรณ์ที่บอกใบ้ก็แทนที่ด้วยการให้ตัวละครฝันเอา...แค่เนี้ย.... ตอนจบก็นะ รู้อยู่แล้วแหละว่าต้องตายหมด แต่มันดูไม่น่าประทับใจเลย ตอนจบภาคสามยังดูเจ๋งและมีความหมายกว่า (การที่ให้ตัวละครขึ้นรถไฟ เล่นกับคำว่า destination การให้สถานที่/สิ่งของที่คร่าชีวิตเหยื่อ กลับมาโผล่รวมตัวกันอีกทีบนรถไฟในรูปแบบของป้าย sign)
เราก็ได้แต่หวังว่าหนังเรื่องนี้จะจบๆลงไปซักที ไหนๆก็ใช้ชื่อ the final destination แล้วนิเนอะ
มหาลัยสยองขวัญ (2009 Thailand, บรรจง สินธนมงคลกุล / สุทธิพร ทับทิม)
เหลวเปววววววววววว ล้มเหลว กับการพยายามจะแปลกใหม่ แต่ไปไม่ถึงฝั่ง สุดท้ายก็เป็นแค่ละครผีพายเรือในอ่างนั้นแหละ
เอาเวลาไปดูละครรายการกรรมลิจิตดีกว่า
Feast III: The Happy Finish (2009 USA, John Gulager)
(ขออนุญาตรวมภาค 2 ไปด้วย เพราะเนื้อเรื่องมันต่อกันสุดๆ)
คาดว่าหลายคนคงเห็นหนังสองเรื่องนี้ตามร้านเช่าดีวีดีทั่วไปแล้วล่ะ ดูจากหน้าหนังแล้วคงคาดหวังว่าจะได้ดูหนังสัตว์ประหลาดแหวะๆสยองโลกๆใช่ป่ะ
คำตอบคือใช่ แต่มันเป็นเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะส่วนข้างใต้มันมหึมาความบ้า ทุเรศ อัปรีย์ ยี้แหวะ กว่านี้มากๆๆ
หนังสองภาคนี้ คือภาคต่อของหนัง Feast ชื่อเดียวกัน เป็นหนังสัตว์ประหลาดทุนต่ำที่ดีกรีบ้า โหด นรกยังต้องก้มกราบ
สองภาคต่อมาถูกสานต่อ เพื่อแฟนๆหนังที่ดูท่าจะรู้ตัวว่าตนเองถูกจัดให้อยู่ในสายพันธุ์คัลท์-สัตว์ประหลาด
หนังจึงทำออกมาในรูปแบบ direct to vdo โดยทั้งสองภาค จะว่าไปก็เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะมันต่อเนื่องกันแบบจบภาคสองต้องเปิดภาคสามดูต่อได้ทันที
หนังเรื่องนี้ อย่างที่บอกว่าเป็นหนังสัตว์ประหลาดแนวยี้แหวะแขวะสุดๆ จำพวก dead alive / bad taste ของพีเทอร์ แจ๊คสัน Planet Terror ของโรเบิร์ต โรดิเกซ นั้นคือมีส่วนผสมของแฟนตาซี และความสยองแบบดิบเถื่อน แต่ก็สอดแทรกไปด้วยอารมณ์ขัน ความฮา ความเพี้ยน เรียกว่าทั้งสยอง อ้วกแตก และฮาน้ำหมากกระจาย
จริงๆ ก็อาจจะรวม Drag Me to Hell ไว้ด้วย แต่อันนั้นมันหนังผี
ดูท่าว่าคนฝรั่งคงชอบเล่นกับมุกเจ็บตัวที่มีศัพท์เรียกว่า Slapstick หรือพวกมุกของโสโครกกันมากๆ เพราะในหนังสยอง-ตลก เหล่านี้ก็มักจะอุดมไปด้วย ของเหลวจากร่างกาย อาจม อาเจียน น้ำหนอง น้ำเชื้อ สาดใส่นักแสดงกันเป็นทิวแถว
Feast ทั้งสองภาค เป็นหนังสัตว์ประหลาดที่มีแค่พล๊อตหลวมโพรกๆจับยืดเป็นเส้นเรื่องแกรนๆ เพราะมันแค่ว่าด้วยเมืองๆนึงที่ถูกสัตว์ประหลาดบุก แล้วก็มีพวกตัวละครคัลท์ๆออกมาสู้และหาทางเอาตัวรอด พล๊อตมีเท่านี้ แต่หนังสามารถยืดไปได้ จากฉากเห้ๆทั้งหลาย
ถึงอย่างนั้น เรากลับคิดว่า Feast ไม่สามารถทำได้ดีเทียบเท่าหนังที่เรายกตัวอย่างมาเลย มันเหมือนผกก. กำลังตีความว่า "อ๋อ อยากให้หนังแรง เพี้ยนๆ ต้องใส่ฉากทุเรศๆๆๆไปมากๆๆๆๆๆๆ เดี๋ยวมันก็จะคัลท์" ขอบอกเลยว่าในหนังเรื่องนี้ฉากเหี้ยๆ เละๆ แหวะๆ โป๊ๆ มันมากเกินไป มากเกินความจำเป็น มากเกินความพอดี มากจนไม่มีความประทับใจ จนเราสงสัยว่า หนังเรื่องนี้มีผกก.ด้วยเหรอ หรือพวกฝ่ายเทคนิค เมคอัพ เค้าสลับกันกำกับโชว์พาว ปล่อยของกันเอง แม่งเน้นกันจริงๆ อะไรเห้ๆเนี้ย
หนังไร้จังหวะจะโคน ไม่มีหลักไม่มีแหล่งสุดๆ อาจจะมีดีที่ให้เราได้ลองกวาดสายตาดูสารพัดมุก ซึ่งบางอันก็แจ่มและน่าสนใจ แต่บางอันก็แป้กและน่ารำคาญอดสูมากกว่า...
มุกที่น่าสนใจ
- การแนะนำตัวละครที่ละตัว ด้วยวิดีโอพรีเซนเทชั่นเท่ๆ พร้อมเรียกชื่อตัวละครด้วยฉายา
- ตัวละครตัวนึงรีบวิ่งออกไปช่วยเด็กทารก เค้าอุ้มเด็กหนีตัวประหลาด แต่พอรู้ว่าวิ่งไม่ไหว ก้เลยโยนเด็กทิ้งลงพื้น (ทำลายล้างสูตรหนังสยองดีมากๆ)
- การให้ตัวละครตัวนึงรอดตายอย่างฉิวเฉียดในภาคสอง ก่อนจะถูกฆ่าทันทีในภาคสามตั้งแต่เปิดเรื่อง
- การให้ตัวละครฮีโร่สุดๆ ที่มาพร้อมอาวุธสุดเจ๋ง ต้องจบชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะสาวโก๊ะคนนึงทำปืนลั่นใส่
ฉากเห้ๆ
- ชายคนนึงลองผ่าตัดกายวิภาคสัตว์ประหลาด เพื่อค้นหาความลับในร่างกาย เค้าลองกดที่เครื่องในมัน ทันใดนั้นกลไกอวัยวะก็ทำงาน โดยสัตว์ประหลาดตดใส่หน้าผู้หญิงคนนึง / ฝ่ายผู้ชายยังไม่หยุด เลยกดอีก ครั้งนี้สัตว์ประหลาดอ้วกอภิมหามหึมาใส่ยายแก่ / ฝ่ายผู้ชายยังไม่หยุด ลองกดอีก ครั้งนี้อุนจิเต็มๆๆๆพุ่งใส่หน้าสาวข้างๆ / แล้วมันก็กดอีก ครั้งนี้อสุจิขุ่นๆกระฉอกออกมาโดนหน้าหญิงเคราะห์ร้ายทันที
- ฉากฝันหวานของหญิงสาวนางนึง ที่ฝ่ายกราฟฟิคออกแบบได้เป็นยาขมมากๆ เมื่อเธอฝันถึงชายอ้วนม่วงดำออกมาร่วมรัก (ฉากนี้ใส่มาเพื่ออออออ)
มีอีกเยอะ แต่นึกไม่ออก บอกแล้วว่าใส่มาเยอะเกิน ก็ไม่ใช่จะจำได้หรอกนะ มันล้น จนต้องอาเจียนเอาความทรงจำออกมา
หนังไม่มีสาระ เหตุผลอยู่แล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้สนมาก เพราะหนังที่ได้ยกตัวอย่างไปช่วงต้นมันก็ไม่ได้มีสาระเหตุผลไรมาก แต่หนังพวกนั้นคุมโทน กลมกล่อมในความเป็นทั้งสยอง-ตลก-คัลท์ ได้อย่างลงตัว มีการปล่อยของได้ถูกเวลา และรู้จักประมาณตนที่จะไม่ทะเยอะทะยานโชว์พาวจนทุเรศ เนื่องจากหนังพวกนั้นมีการเล่นกับเงื่อนไขในบทตัวเองอย่างพอดี ที่จะไม่เละเทะ เหมือนอี Feast ที่ดูไปนานๆ ดูจนถึงภาค 3 (ถือว่าอดทนมากๆ) หนังก็เริ่มเละโคตรๆ (พอๆกับสภาพตัวละครในเรื่อง) คนเขียนบทไม่เล่นกับเงื่อนไขในหนังที่สร้างไว้ แต่พอตันกับไอเดีย ก้เริ่มไปคว้าสวรรค์วิมานที่ไหนไม่รู้มาแถแถกไปเอง น่ารำคาญมากกกก
ที่สุดของความแถแถกของหนังอยู่ที่ฉากจบภาค 3
ทันทีที่ตัวละครโผล่ออกมาจากท่อระบายน้ำ รอดตายจากสัตว์ประหลาดแล้ว
จู่ๆก็มีหุ่นยนตร์แบบหนัง ทรานฟอร์มเมอร์โผล่มาเหยียบไส้แตกตายคาที
เพื่ออออออออออออออ?
จบแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากที่เค้าเรียกกันว่า
"ปาหมอน"หรอกนะ
ได้ดูไม่กี่เรื่อง ขอเลือก Horsemenค่ะ
ไปดูแล้วรู้สึกว่า.....ผิดหวังมาก เล่นเฉลยใครเป็นคนร้ายช่วงกลางเรื่อง เนื้อหาที่เหลือเลยไม่สนุก
แถมตอนจบถูกตัดไปอีก ดูไม่ค่อยรู้เรื่องเลย
ไปดูแล้วรู้สึกว่า.....ผิดหวังมาก เล่นเฉลยใครเป็นคนร้ายช่วงกลางเรื่อง เนื้อหาที่เหลือเลยไม่สนุก
แถมตอนจบถูกตัดไปอีก ดูไม่ค่อยรู้เรื่องเลย
ปีนี้ยังไม่มีเรื่องไหนดูแล้วเสียดายเงินนะ เพราะบางเรื่องที่เขาว่าห่วยๆก็ไม่ได้ดู
The Final Destination
มาอีกหรอบเดิม เน้นเลือดและสาวหน้าอกตู้มๆ ไม่เหมือนภาคก่อน สิ้นคิดมากกก ใช่มุขเดิมๆ -*-
the hill run red
รู้สึกผิดหวังหน่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าตรงไหน? อาจจะเหยื่อน้อยเกินไป ฆาตกรก็ดูน่าสนใจดี แต่ไม่ค่อยโหดเท่าที่ควร สรุปคือ แค่ไม่ถูกใจส่วนตัว แต่กับคนอื่นอาจจะถูกใจก็ได้นะ - -
Friday the 13th
ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่า เจสันที่วิ่งไล่สาวอกตู้มๆเหมือนเดิม -*-
Vacancy 2 : The First Cut
อีกหนึ่งหนังภาคต่อ ที่ล้มเหลวด้วยอาถรรพย์เลข 2
มาอีกหรอบเดิม เน้นเลือดและสาวหน้าอกตู้มๆ ไม่เหมือนภาคก่อน สิ้นคิดมากกก ใช่มุขเดิมๆ -*-
the hill run red
รู้สึกผิดหวังหน่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าตรงไหน? อาจจะเหยื่อน้อยเกินไป ฆาตกรก็ดูน่าสนใจดี แต่ไม่ค่อยโหดเท่าที่ควร สรุปคือ แค่ไม่ถูกใจส่วนตัว แต่กับคนอื่นอาจจะถูกใจก็ได้นะ - -
Friday the 13th
ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่า เจสันที่วิ่งไล่สาวอกตู้มๆเหมือนเดิม -*-
Vacancy 2 : The First Cut
อีกหนึ่งหนังภาคต่อ ที่ล้มเหลวด้วยอาถรรพย์เลข 2
555 Horsemen ติดอันดับด้วยเหรอ กร้ากกกกกก
horsemen
เป็นหนังที่น่าเสียดายมาก เกือบดีแล้วแท้ๆ
เป็นหนังที่น่าเสียดายมาก เกือบดีแล้วแท้ๆ
อันบรอนด้วยคน
ดูไปง่วงไป.....
ดูไปง่วงไป.....
FEAST 1-3 นี่เหมือนดูการ์ตูนเรื่องคุโรมาตี้มากๆ ดูแล้วแบบอะไรของมัน แต่ก็ฮาดีดูเพลินๆ จนจบรวดเดียวสามภาคไม่รู้ว่าเพลินหนัง หรือเพลินตัวประกอบ2ตัวที่ไม่ใส่เสื้อ :P
Paranormal Activity ครับ ดูไปไม่ถึงสิบนาทีก็เดาตอนจบได้ มันเฟคยังไงพิกลก็ไม่รู้อ่ะ เหมือนเป็นสูตรดั้งเดิมของหนังผีแทบจะทุกเรื่องที่ต้นทุนต่ำ เริ่มแรกเล่าเรื่องผี ต่อมาก็ท้าทาย ผีเริ่มโจมตีหนักขึ้น สุดท้ายก็ตาย สูตรสำเร็จหนังผีเก่า ๆ เป็นหนังที่ดูแล้วผิดหวังที่สุดในรอบปีเลยล่ะ
มหาลัย สยองขวัญ 5555555555555+
ตอนจบ ตลกได้อีกกกกกก พี่กองโต้ เบคแฮม อะไรของเขาก็ไม่รู้
ฮอสเมนด้วย ไร้สาระ มากกกก ไม่สนุก แถมยัง เปื่อย ยุ่ยยยยย โดนตัดจนไม่เหลืออารมณ์อะไรเล้ย
พารานอมอล ไม่สนุกอ่ะ มึน เบลอ ดูเฟคเกินไป ไม่เนียนๆ
ตอนจบ ตลกได้อีกกกกกก พี่กองโต้ เบคแฮม อะไรของเขาก็ไม่รู้
ฮอสเมนด้วย ไร้สาระ มากกกก ไม่สนุก แถมยัง เปื่อย ยุ่ยยยยย โดนตัดจนไม่เหลืออารมณ์อะไรเล้ย
พารานอมอล ไม่สนุกอ่ะ มึน เบลอ ดูเฟคเกินไป ไม่เนียนๆ
เรื่อง FEAST ผมชอบอ่ะ ฮาดี
ตอนทรานฟอร์เมอร์ออกมานี่อึ้ง อารมณ์เหมือนดู Funny Game ตอนกดรีโมตเลยอ่ะ 5555
ตอนทรานฟอร์เมอร์ออกมานี่อึ้ง อารมณ์เหมือนดู Funny Game ตอนกดรีโมตเลยอ่ะ 5555
แก้ไขล่าสุด: 28/12/2552 11:28 โดย Erika
ของอีป้านี มองในมุมมองของคนดูและตัวเองล้วนๆ
Paranormal Activity -
มันแบบ Below my expectation มากๆ
หนังฮ่าอารายฟะ ไม่มีความน่ากัว ไม่มีความหลอน ไม่มีต้องให้ลุ้นอะไร
แบบ nothing มากๆ ผิดหวังๆ นี่หรือคือหนังผี....
Final Destination ภาคปีนี้ - Nothing อีกแล้ว
มีดีแค่ว่าได้ไปดูกะคลับ และโดนขนาบด้วยตาลมกะตาเอก
ดูไปก้อได้ยินเสียงไร งึมงำๆ
สรุป มีแค่สองเรื่องมั้ง นอกนั้นก้ออยู่ในระดับที่พอรับได้
ปล. Feast นี่ยังมะได้ดู
Paranormal Activity -
มันแบบ Below my expectation มากๆ
หนังฮ่าอารายฟะ ไม่มีความน่ากัว ไม่มีความหลอน ไม่มีต้องให้ลุ้นอะไร
แบบ nothing มากๆ ผิดหวังๆ นี่หรือคือหนังผี....
Final Destination ภาคปีนี้ - Nothing อีกแล้ว
มีดีแค่ว่าได้ไปดูกะคลับ และโดนขนาบด้วยตาลมกะตาเอก
ดูไปก้อได้ยินเสียงไร งึมงำๆ
สรุป มีแค่สองเรื่องมั้ง นอกนั้นก้ออยู่ในระดับที่พอรับได้
ปล. Feast นี่ยังมะได้ดู
มหาลัยสยองขวัญ
สุดๆละ เอาตังตูคืนม๊า
สุดๆละ เอาตังตูคืนม๊า
- เรื่องอะไรสักอย่างชื่อ Dark Floor มั๊ง ไปเช่า มาดูอะ มันเกี่ยวกับโรงพยาบาล ที่จู่ๆก็กลายเป็นนรกซะงั้น แบบว่ามันงงๆ มันไม่ห่วยซะที่เดียว แต่มันงงงงอ่ะ ตอนจบแบบว่า เตะก้านคอกรูเลยดีก่า เห้!!เอ้ย ไม่มีที่มาที่ไปแล้วดันจบลงแบบนี้ มันคาใจนะเฟ้ย
ข้อดีมี่อยู่อย่างนึง คือเพลงตอน end credit ถูกใจมากมาก ไม่คิดเลยว่า จะชอบฟังเพลงแนวนี้ ลองฟังดูจิ Lordi - Beast Loose In Paradise.mp3
ปล. เห็นความเห็นที่1ว่าห่วย แต่นู๋อยากดูเรื่อง Perkins 14 อ่า... เห็นรูปแล้วอยากดูอ่ะ
ข้อดีมี่อยู่อย่างนึง คือเพลงตอน end credit ถูกใจมากมาก ไม่คิดเลยว่า จะชอบฟังเพลงแนวนี้ ลองฟังดูจิ Lordi - Beast Loose In Paradise.mp3
ปล. เห็นความเห็นที่1ว่าห่วย แต่นู๋อยากดูเรื่อง Perkins 14 อ่า... เห็นรูปแล้วอยากดูอ่ะ
มหาลัยสยองขวัญ +1
Feast ภาค 2 ,3 ผมว่าดูแล้วขำดี ว่าเราดูหนังอะไรอยู่ว่ะเนี่ย
book of blood : ดูแล้วง่วง
My Bloody Valentine 3D : อันนี้จำไม่ได้ปีไหนแน่ แต่เฉยๆ
bathory : นึกว่าจะดี แต่กลายเป็นหนังชีวิตซะงั้น เซ็ง
My Bloody Valentine 3D : อันนี้จำไม่ได้ปีไหนแน่ แต่เฉยๆ
bathory : นึกว่าจะดี แต่กลายเป็นหนังชีวิตซะงั้น เซ็ง
แก้ไขล่าสุด: 29/12/2552 21:07 โดย artist_in
แต่สำหรับผม Feast นี่ผมชอบมาก ๆ นะครับ
ถ้าเอาสยอง ภาคแรกผมว่าดีเลยละครับ
ส่วนภาค 2 กับ 3 เขาคงอยากให้มัน cult เลยทำออกมาแบบนั้น แต่ผมก็ยังชอบมาก ๆ นะครับ ป่วงมาก ๆ สนุกดี
ที่ไม่ชอบคงไม่มี แต่ที่ผิดหวังมีครับ
Final Destination3D อยากให้มีสยองมากกว่านี้ครับ ผิดหวังจริงๆ
MY Bloody Valentine ด้วยครับ งั้นๆ มาก ๆ
ถ้าเอาสยอง ภาคแรกผมว่าดีเลยละครับ
ส่วนภาค 2 กับ 3 เขาคงอยากให้มัน cult เลยทำออกมาแบบนั้น แต่ผมก็ยังชอบมาก ๆ นะครับ ป่วงมาก ๆ สนุกดี
ที่ไม่ชอบคงไม่มี แต่ที่ผิดหวังมีครับ
Final Destination3D อยากให้มีสยองมากกว่านี้ครับ ผิดหวังจริงๆ
MY Bloody Valentine ด้วยครับ งั้นๆ มาก ๆ
เราว่า เรื่อง the unborn กะ The final destination เนี่ย ผิดหวังสุดๆเลยอ่ะค่ะ
Function Used time : 0:00:00:00.016