The fourth kind (1-2-3-4 ช๊อค) จะเข้าแล้วน๊า (เรื่องย่อ...จิงๆก้อเกือบสปอยของฉัน)
by horrorfever • วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552 16:11
ไม่เห็นมีใครโพส (หรือเค้าโพสกันไปปีมะโว้ แต่แกไม่เห็น =,,=")
เรื่องของเรื่องคือ กะลังหาหนังดู แล้วไปเจอพอดี ประมานว่า เห็นหน้านางเอก(มิลล่า โจโววิช จาก ผีชีวะ อ๊ะ อ๊ะ...) เลยเข้าไปดู นึกว่าจะเหมือนหนังที่คุณเทอเคยเล่นมา แต่ปรากฎ ไม่ใช่เลย น่าดูทีเดียวเชียวแหละ พี่น้องคับ!!
เรื่องของเรื่องคือ เค้าบอกว่า The fourth kind เนี่ย เป็นเรื่องจริง ผสม Sci-fi เอาเทปจริงมาผสมกับหนัง เอากันเข้าไป แหวกแนวได้อีก
The fourth kind เป็นการนำเรื่องจริงของ ดอกเตอร์ แอบบิเกล ไทเลอร์ ที่เป็นจิตแพทย์ อยู่ในเมืองเล็กๆ ในเมกา ซึ่ง(คิดว่า)เทอก้อได้ปรากฎตัวในtrailer เช่นกัน เทอบอกว่า เทอได้บำบัดคนไข้จากอาการนอนไม่หลับ แต่การรักษาทำให้เทอค้นพบสิ่งที่น่ากลัวกว่าการเป็นโรคทางประสาทของคนไข้ธรรมดา เพราะเทอดันไปสะกดจิตแล้วพบว่า คนไข้มีพฤติกรรมประหลาด ที่บ่งบอกว่า ถูก มนุษย์ต่างดาว ลักพาตัวไป
กลุ่มคนไข้ทุกคนกล่าวตรงกันว่า จะเห็นนกฮูกสีขาวอยู่ภายนอกหน้าต่าง(ไม่ใช่เฮ็ดวิกนะจ๊ะ)ก่อนที่พวกเค้าจะพบว่า ตื่นมาพร้อมกับร่างกายที่เป็นอัมพาต ไร้เรี่ยวแรง และได้ยินเสียงอันน่า สยองเกล้า ที่ด้านนอกประตู จากนั้นแขกผู้น่ารักก็มาลากตัวไป แล้วทุกอย่างก้อดำมืด...
ดร.แอบบี้ตกใจมากกกก...จึงค้นคว้าเรื่องราวต่างๆ จนเทอเชื่อว่า คำพูดที่เหล่าคนไข้พูดนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะไม่ใช่ความทรงจำที่ปรุงแต่งขึ้น ทั้งยังค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่ระบุได้ว่า นี่คือ การลักพาตัวของมนุษย์ต่างดาว...
(กรี๊ด ตื่นเต้นๆ)
เรื่องของเรื่องคือ กะลังหาหนังดู แล้วไปเจอพอดี ประมานว่า เห็นหน้านางเอก(มิลล่า โจโววิช จาก ผีชีวะ อ๊ะ อ๊ะ...) เลยเข้าไปดู นึกว่าจะเหมือนหนังที่คุณเทอเคยเล่นมา แต่ปรากฎ ไม่ใช่เลย น่าดูทีเดียวเชียวแหละ พี่น้องคับ!!
เรื่องของเรื่องคือ เค้าบอกว่า The fourth kind เนี่ย เป็นเรื่องจริง ผสม Sci-fi เอาเทปจริงมาผสมกับหนัง เอากันเข้าไป แหวกแนวได้อีก
The fourth kind เป็นการนำเรื่องจริงของ ดอกเตอร์ แอบบิเกล ไทเลอร์ ที่เป็นจิตแพทย์ อยู่ในเมืองเล็กๆ ในเมกา ซึ่ง(คิดว่า)เทอก้อได้ปรากฎตัวในtrailer เช่นกัน เทอบอกว่า เทอได้บำบัดคนไข้จากอาการนอนไม่หลับ แต่การรักษาทำให้เทอค้นพบสิ่งที่น่ากลัวกว่าการเป็นโรคทางประสาทของคนไข้ธรรมดา เพราะเทอดันไปสะกดจิตแล้วพบว่า คนไข้มีพฤติกรรมประหลาด ที่บ่งบอกว่า ถูก มนุษย์ต่างดาว ลักพาตัวไป
กลุ่มคนไข้ทุกคนกล่าวตรงกันว่า จะเห็นนกฮูกสีขาวอยู่ภายนอกหน้าต่าง(ไม่ใช่เฮ็ดวิกนะจ๊ะ)ก่อนที่พวกเค้าจะพบว่า ตื่นมาพร้อมกับร่างกายที่เป็นอัมพาต ไร้เรี่ยวแรง และได้ยินเสียงอันน่า สยองเกล้า ที่ด้านนอกประตู จากนั้นแขกผู้น่ารักก็มาลากตัวไป แล้วทุกอย่างก้อดำมืด...
ดร.แอบบี้ตกใจมากกกก...จึงค้นคว้าเรื่องราวต่างๆ จนเทอเชื่อว่า คำพูดที่เหล่าคนไข้พูดนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะไม่ใช่ความทรงจำที่ปรุงแต่งขึ้น ทั้งยังค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่ระบุได้ว่า นี่คือ การลักพาตัวของมนุษย์ต่างดาว...
(กรี๊ด ตื่นเต้นๆ)

Replies (16)
ใบแปะ น่าดูมั่กๆ
เทอบอกว่า การมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวทั้ง 4 ระดับ ได้แก่
ระดับแรก “การเห็น”
เหตุการณ์การเห็นวัตถุลึกลับเกิดขึ้นในรัฐอลาสก้าหลายครั้ง เช่นในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ 1965 เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศและลูกเรือสหรัฐฯ ได้เดินทางจากท่าอากาศยานในอลาสก้าไปยังประเทศญี่ปุ่น ทันใดนั้นเรดาร์พวกเขาก็จับสัญญาณของสิ่งแปลกปลอมขนาดมหึมาได้สามลำที่ว่ากันว่าคือ ยูเอฟโอ โดยพวกมันได้บินผ่านเครื่องบินเจ็ต F-169 ผ่านน่านน้ำแปซิฟิก และหายไปด้วยความเร็วที่มากกว่า 1500 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ในปี ค.ศ.1972 พันเอกพิเศษแห่งของกองทัพอากาศสหรัฐ เวนเดลล์ ซี สตีเว่นส์ ได้ให้ปากคำถึงภาพฟุตเตจของยูเอฟโอเหนือน่านฟ้าอลาสก้าที่ถูกบันทึกเอาไว้ และการหายตัวไปอย่างลึกลับของสมาชิกวุฒิสภา นิค เบจิส ที่เขาเล่าว่าเป็นการแทรกแซงของสิ่งมีชีวิตนอก
เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1986 เครื่องบินเดินทางออกจากชายฝั่งเมืองแองเคอเรจ โดยมีกัปตันเคนจู เทราอุชิ และลูกเรือของแจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 1628 ได้บอกเป็นเสียงเดียวกันถึงยานบินไม่ระบุสัญชาติ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบินพาณิชย์ถึงสองเท่า โดยคำให้การของพวกเขาก็ยังได้รับการสนับสนุนจากสัญญาณเรดาร์ด้วย
เหตุการณ์ที่น่าสนใจอีกเหตุการณ์หนึ่ง และเป็นประสบการณ์ของ จอห์น คาลาแฮน อดีตหัวหน้าฝ่ายสืบสวนอุบัติเหตุ สหพันธ์บริหารการบิน นั่นคือเหตุการณ์เครื่องบินโดยสาร 747 ของสายการบินเจแปน แอไลน์ ถูกยานต่างดาวบินติดตามเหนืออาลาสก้า ถึง 31 นาที โดยกัปตันได้บรรยายว่ามันมีลักษณะเหมือนลูกบอล ที่มีแสงรอบๆ และมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบิน 747 ราว 4 เท่า โดย คาลาแฮน ยังบอกว่าเรดาห์จับภาพมันได้อีกด้วย!
ระดับแรก “การเห็น”
เหตุการณ์การเห็นวัตถุลึกลับเกิดขึ้นในรัฐอลาสก้าหลายครั้ง เช่นในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ 1965 เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศและลูกเรือสหรัฐฯ ได้เดินทางจากท่าอากาศยานในอลาสก้าไปยังประเทศญี่ปุ่น ทันใดนั้นเรดาร์พวกเขาก็จับสัญญาณของสิ่งแปลกปลอมขนาดมหึมาได้สามลำที่ว่ากันว่าคือ ยูเอฟโอ โดยพวกมันได้บินผ่านเครื่องบินเจ็ต F-169 ผ่านน่านน้ำแปซิฟิก และหายไปด้วยความเร็วที่มากกว่า 1500 ไมล์ ต่อชั่วโมง
ในปี ค.ศ.1972 พันเอกพิเศษแห่งของกองทัพอากาศสหรัฐ เวนเดลล์ ซี สตีเว่นส์ ได้ให้ปากคำถึงภาพฟุตเตจของยูเอฟโอเหนือน่านฟ้าอลาสก้าที่ถูกบันทึกเอาไว้ และการหายตัวไปอย่างลึกลับของสมาชิกวุฒิสภา นิค เบจิส ที่เขาเล่าว่าเป็นการแทรกแซงของสิ่งมีชีวิตนอก
เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1986 เครื่องบินเดินทางออกจากชายฝั่งเมืองแองเคอเรจ โดยมีกัปตันเคนจู เทราอุชิ และลูกเรือของแจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 1628 ได้บอกเป็นเสียงเดียวกันถึงยานบินไม่ระบุสัญชาติ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบินพาณิชย์ถึงสองเท่า โดยคำให้การของพวกเขาก็ยังได้รับการสนับสนุนจากสัญญาณเรดาร์ด้วย
เหตุการณ์ที่น่าสนใจอีกเหตุการณ์หนึ่ง และเป็นประสบการณ์ของ จอห์น คาลาแฮน อดีตหัวหน้าฝ่ายสืบสวนอุบัติเหตุ สหพันธ์บริหารการบิน นั่นคือเหตุการณ์เครื่องบินโดยสาร 747 ของสายการบินเจแปน แอไลน์ ถูกยานต่างดาวบินติดตามเหนืออาลาสก้า ถึง 31 นาที โดยกัปตันได้บรรยายว่ามันมีลักษณะเหมือนลูกบอล ที่มีแสงรอบๆ และมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบิน 747 ราว 4 เท่า โดย คาลาแฮน ยังบอกว่าเรดาห์จับภาพมันได้อีกด้วย!

แก้ไขล่าสุด: 10/12/2552 16:15 โดย horrorfever
ระดับสอง “การค้นพบ”
หลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลกมีมาตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมีย ซึ่งถูกจารึกอยู่ในแผ่นดินช่วงยุคสมัยของชาวสุเมเรียน (ประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล) โดยคำว่า Anunnaki (อ่านว่า AN.AN.NA.KI) ซึ่งเป็นภาษาสุเมเรียน แปลว่าพระเจ้าผู้ลงมาจากเบื้องบน Annunaki คือเหล่าเทพเจ้าของชาวสุเมเรียนโบราณ ชนชาติที่เจริญแล้วซึ่งอารยธรรมอย่างน่าพิศวง ต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมทั้งปวงของมนุษยชาติ และมีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีที่มาที่ไป
ไม่มีใครบอกได้ว่าชาวสุเมเรียนโบราณเอาวิทยาการและเทคโนโลยีเหล่านั้นมาจากไหน ยกเว้นแต่จารึกโบราณของพวกเขาที่ระบุเอาไว้ว่า “มาจากพระเจ้า” หรือ Anunnaki คำตอบมีอยู่ในจารึก “คิวนิฟอร์ม” ของชาวสุเมเรียน ก็คือพระเจ้าของพวกเขาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงที่สิบสองของระบบสุริยะ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Planet X ชาวสุเมเรียนเรียกดาวเคราะห์ดวงนั้นว่า Nibiru
เป็นเรื่องน่าพิศวงที่คนโบราณเมื่อเกือบหมื่นปีก่อนรู้จักดาวเคราะห์ที่พวกเราไม่รู้จัก รู้จักดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะ คำนวณวงโคจรของมันได้ถูกต้องเสียอีก แถมรู้จักอุบัติการการเฉี่ยวชนระหว่างดาวเคราะห์ชื่อ TIAMAT กับ MARDUK/NIBIRU จนก่อให้เกิดโลกของเราในปัจจุบันขึ้น สามารถอธิบายต้นกำเนิดของ Asteroid Belt ที่กั้นระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในกับชั้นนอกของระบบสุริยะได้อย่างน่าพิศวงที่สุด และทั้งหมดนี้พวกเขาได้รับความรู้มาจาก Anunnaki หรือ “พระเจ้าจากอวกาศ” นั่นเอง
PS. รูปไม่เกี่ยวกะบทความนะ แค่ตัวอย่างในหนังเฉยๆ
หลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลกมีมาตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมีย ซึ่งถูกจารึกอยู่ในแผ่นดินช่วงยุคสมัยของชาวสุเมเรียน (ประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล) โดยคำว่า Anunnaki (อ่านว่า AN.AN.NA.KI) ซึ่งเป็นภาษาสุเมเรียน แปลว่าพระเจ้าผู้ลงมาจากเบื้องบน Annunaki คือเหล่าเทพเจ้าของชาวสุเมเรียนโบราณ ชนชาติที่เจริญแล้วซึ่งอารยธรรมอย่างน่าพิศวง ต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมทั้งปวงของมนุษยชาติ และมีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีที่มาที่ไป
ไม่มีใครบอกได้ว่าชาวสุเมเรียนโบราณเอาวิทยาการและเทคโนโลยีเหล่านั้นมาจากไหน ยกเว้นแต่จารึกโบราณของพวกเขาที่ระบุเอาไว้ว่า “มาจากพระเจ้า” หรือ Anunnaki คำตอบมีอยู่ในจารึก “คิวนิฟอร์ม” ของชาวสุเมเรียน ก็คือพระเจ้าของพวกเขาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงที่สิบสองของระบบสุริยะ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Planet X ชาวสุเมเรียนเรียกดาวเคราะห์ดวงนั้นว่า Nibiru
เป็นเรื่องน่าพิศวงที่คนโบราณเมื่อเกือบหมื่นปีก่อนรู้จักดาวเคราะห์ที่พวกเราไม่รู้จัก รู้จักดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะ คำนวณวงโคจรของมันได้ถูกต้องเสียอีก แถมรู้จักอุบัติการการเฉี่ยวชนระหว่างดาวเคราะห์ชื่อ TIAMAT กับ MARDUK/NIBIRU จนก่อให้เกิดโลกของเราในปัจจุบันขึ้น สามารถอธิบายต้นกำเนิดของ Asteroid Belt ที่กั้นระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในกับชั้นนอกของระบบสุริยะได้อย่างน่าพิศวงที่สุด และทั้งหมดนี้พวกเขาได้รับความรู้มาจาก Anunnaki หรือ “พระเจ้าจากอวกาศ” นั่นเอง
PS. รูปไม่เกี่ยวกะบทความนะ แค่ตัวอย่างในหนังเฉยๆ

ระดับสาม “การติดต่อ”
บรรดาผู้ที่สนใจหรือฝักใฝ่ในเรื่อง ยูเอฟโอ ต่างเชื่อมั่นว่า มียานอวกาศลึกลับบินมาตกในบริเวณป่าใกล้กับเมืองเคกส์เบิร์ก (Kecksburg) รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ.1969
ประจักษ์พยานนับพันคนทั้งในรัฐเพนซิลเวเนียและรัฐใกล้เคียง เช่น มิชิแกน, โอไฮโอ หรือออนทรีโอในแคนาดา ต่างก็เห็นกับตาว่ามีวัตถุสุกสว่างขนาดใหญ่บินผ่านท้องฟ้าเหนือบริเวณที่พวกเขาอยู่ และไปตกพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นทางตะวันตกของรัฐเพนซิลเวเนียหลังจากนั้นกองทัพสหรัฐฯ ก็ระดมกำลังตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นและปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุ แต่หลังจากค้นหากันอยู่นาน นายทหารที่ร่วมค้นหาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของนาซ่าก็ออกมาบอกว่าไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้นในบริเวณดังกล่าว พร้อมกับมีรายงานออกมาว่าเป็นเพียงแค่สะเก็ดดาวตกลงมาเท่านั้น
อย่างไรก็ดี มีพยานในที่เกิดเหตุหลายคนยืนยันหนักแน่นว่า พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่นำรถบรรทุกมาขนวัตถุขนาดใหญ่พอๆ กับรถเต่า (โฟล์คสวาเกน) และมีลักษณะคล้ายกับผลต้นโอ๊กออกจากบริเวณที่เกิดเหตุในค่ำคืนวันนั้น โดยสิบเอก คลิฟฟอร์ด สโตน อดีตทหารบกกองทัพสหรัฐ เป็นอีกคนหนึ่งที่บอกว่า เขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ยานต่างดาวตกที่เพนซิลเวเนียในครั้งนั้น และยังมีมนุษย์ต่างดาวที่รอดชีวิตอยู่ด้วย แต่รัฐบาลก็ตัดสินใจปกปิดเรื่องนี้ โดย สโตน ยังบอกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวมีถึง 57 สปีซี่ และหลายสปีซี่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์
กรณีนี้คล้ายกับการพบซาก ยูเอฟโอ และมนุษย์ต่างดาวอันโด่งดังในเมืองรอสเวลล์เมื่อเดือน ก.ค. ปี 2490 จึงมีการเรียกชื่อเหตุการณ์ ยูเอฟโอ ตกในรัฐเพนซิลเวเนียครั้งนั้นว่า “เหตุการณ์รอสเวลล์ที่เพนซิลเวเนียส์” (Pennsylvania's Roswell)
บรรดาผู้ที่สนใจหรือฝักใฝ่ในเรื่อง ยูเอฟโอ ต่างเชื่อมั่นว่า มียานอวกาศลึกลับบินมาตกในบริเวณป่าใกล้กับเมืองเคกส์เบิร์ก (Kecksburg) รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ.1969
ประจักษ์พยานนับพันคนทั้งในรัฐเพนซิลเวเนียและรัฐใกล้เคียง เช่น มิชิแกน, โอไฮโอ หรือออนทรีโอในแคนาดา ต่างก็เห็นกับตาว่ามีวัตถุสุกสว่างขนาดใหญ่บินผ่านท้องฟ้าเหนือบริเวณที่พวกเขาอยู่ และไปตกพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นทางตะวันตกของรัฐเพนซิลเวเนียหลังจากนั้นกองทัพสหรัฐฯ ก็ระดมกำลังตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นและปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุ แต่หลังจากค้นหากันอยู่นาน นายทหารที่ร่วมค้นหาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของนาซ่าก็ออกมาบอกว่าไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้นในบริเวณดังกล่าว พร้อมกับมีรายงานออกมาว่าเป็นเพียงแค่สะเก็ดดาวตกลงมาเท่านั้น
อย่างไรก็ดี มีพยานในที่เกิดเหตุหลายคนยืนยันหนักแน่นว่า พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่นำรถบรรทุกมาขนวัตถุขนาดใหญ่พอๆ กับรถเต่า (โฟล์คสวาเกน) และมีลักษณะคล้ายกับผลต้นโอ๊กออกจากบริเวณที่เกิดเหตุในค่ำคืนวันนั้น โดยสิบเอก คลิฟฟอร์ด สโตน อดีตทหารบกกองทัพสหรัฐ เป็นอีกคนหนึ่งที่บอกว่า เขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ยานต่างดาวตกที่เพนซิลเวเนียในครั้งนั้น และยังมีมนุษย์ต่างดาวที่รอดชีวิตอยู่ด้วย แต่รัฐบาลก็ตัดสินใจปกปิดเรื่องนี้ โดย สโตน ยังบอกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวมีถึง 57 สปีซี่ และหลายสปีซี่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์
กรณีนี้คล้ายกับการพบซาก ยูเอฟโอ และมนุษย์ต่างดาวอันโด่งดังในเมืองรอสเวลล์เมื่อเดือน ก.ค. ปี 2490 จึงมีการเรียกชื่อเหตุการณ์ ยูเอฟโอ ตกในรัฐเพนซิลเวเนียครั้งนั้นว่า “เหตุการณ์รอสเวลล์ที่เพนซิลเวเนียส์” (Pennsylvania's Roswell)

แก้ไขล่าสุด: 10/12/2552 16:18 โดย horrorfever
ระดับสี่ “การลักพาตัว”
การหายตัวไปของ เบตตี้ และ บาร์นีย์ ฮิลส์ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกเกี่ยวกับการถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาว โดยเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 1961 ขณะที่ เบตตี้ และ บาร์นีย์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรัฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆ ก็มียานอวกาศลึกลับแล่นขวางหน้า และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ
สิ่งมีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน (ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต ทั้งคู่ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูดด้วยภาษาแปลกประหลาด
คนทั้งสองเปิดเผยภายใต้สภาวะสะกดจิตเหมือนๆ กันว่า รู้สึกกลัวจับใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวมุ่งหน้าเข้ามาหา แต่ไม่สามารถขยับเนื้อขยับตัวเพื่อหลบหนีจากที่เกิดเหตุได้ บรรดาคนที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้บอกว่า ถ้าไม่รู้สึกหมดเรี่ยวแรงก็จะรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตชั่วคราวไปทั้งตัว ไม่มีปัญญาแม้แต่จะขยับแขนขยับขา
นอกเหนือจาก สภาพหมดปัญญาจะหลบหนีแล้ว เหยื่อยังอาจถูกบังคับให้ทำอย่างหนึ่งอย่างใดด้วย เช่น กรณีของ บาร์นีย์ ที่บอกว่าเขารู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ก้าวลงจากรถ และทันทีที่เท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้น สิ่งมีชีวิตประหลาด 2 ราย ก็ตรงเข้ามาขนาบข้าง ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั่วร่างทั้งๆ ที่ในใจยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอยู่เต็มเปี่ยม
เบตตี้ ฮิลล์ บอกว่า ผู้ที่จับเธอมาเก็บตัวอย่างผิวหนังจากต้นแขน เก็บผม ขี้หู และตัดเล็บไปทดสอบ และถูกตรวจสอบภายในร่างกายด้วยเครื่องมือที่เหมือนเป็นท่อหรือสายไฟ ส่วนปลายเป็นเข็มยาวสอดเข้าไปในช่องคลอด ซึ่ง เบตตี้ ฮิลล์ ได้รับคำบอกจากผู้ที่ลักพาตัวเธอว่าเป็นการ "ทดสอบความสามารถในการตั้งครรภ์" นั่นเอง
จากนั้นทั้ง เบตตี้ และ บาร์นีย์ ก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จนเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก และได้ออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975
การหายตัวไปของ เบตตี้ และ บาร์นีย์ ฮิลส์ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกเกี่ยวกับการถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาว โดยเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 1961 ขณะที่ เบตตี้ และ บาร์นีย์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรัฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆ ก็มียานอวกาศลึกลับแล่นขวางหน้า และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ
สิ่งมีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน (ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต ทั้งคู่ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูดด้วยภาษาแปลกประหลาด
คนทั้งสองเปิดเผยภายใต้สภาวะสะกดจิตเหมือนๆ กันว่า รู้สึกกลัวจับใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวมุ่งหน้าเข้ามาหา แต่ไม่สามารถขยับเนื้อขยับตัวเพื่อหลบหนีจากที่เกิดเหตุได้ บรรดาคนที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้บอกว่า ถ้าไม่รู้สึกหมดเรี่ยวแรงก็จะรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตชั่วคราวไปทั้งตัว ไม่มีปัญญาแม้แต่จะขยับแขนขยับขา
นอกเหนือจาก สภาพหมดปัญญาจะหลบหนีแล้ว เหยื่อยังอาจถูกบังคับให้ทำอย่างหนึ่งอย่างใดด้วย เช่น กรณีของ บาร์นีย์ ที่บอกว่าเขารู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ก้าวลงจากรถ และทันทีที่เท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้น สิ่งมีชีวิตประหลาด 2 ราย ก็ตรงเข้ามาขนาบข้าง ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั่วร่างทั้งๆ ที่ในใจยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอยู่เต็มเปี่ยม
เบตตี้ ฮิลล์ บอกว่า ผู้ที่จับเธอมาเก็บตัวอย่างผิวหนังจากต้นแขน เก็บผม ขี้หู และตัดเล็บไปทดสอบ และถูกตรวจสอบภายในร่างกายด้วยเครื่องมือที่เหมือนเป็นท่อหรือสายไฟ ส่วนปลายเป็นเข็มยาวสอดเข้าไปในช่องคลอด ซึ่ง เบตตี้ ฮิลล์ ได้รับคำบอกจากผู้ที่ลักพาตัวเธอว่าเป็นการ "ทดสอบความสามารถในการตั้งครรภ์" นั่นเอง
จากนั้นทั้ง เบตตี้ และ บาร์นีย์ ก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จนเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก และได้ออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975

แล้ว คุณ คิดว่า มันเป็นเรื่องจริงรึเปล่าล่ะ...?
(แต่มันน่าดูจิงๆนะเออ :))) )
(แต่มันน่าดูจิงๆนะเออ :))) )

เป็นหนังที่น่าดูมากๆครับ
ประเด็นน่าสนใจมากๆ รวมไปถึงกลเม็ดในการใช้ฟุทเทจของจริง มากระตุ้นความสนใจ
คิดว่าไม่น่าจะพลาดนะสำหรับเรื่องนี้
ประเด็นน่าสนใจมากๆ รวมไปถึงกลเม็ดในการใช้ฟุทเทจของจริง มากระตุ้นความสนใจ
คิดว่าไม่น่าจะพลาดนะสำหรับเรื่องนี้
THE FOURTH KIND TRAILER (HD)
ง่ะ...ใครก้อได้ สอนหนูลงวีดีโอหน่อย
อุ๊ยลืม เครดิต ข้อมูล &รูป เดิ้นๆ จาก เว็บเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ค่า
ปล. ขอบคุนแอดมิน สำหรับวีดีโอค่ะ (me//ชั้นว่าชั้นก้อใช้โค้ด นี้ ทำไมมันไม่ได้ฟะ)
ปล. ไปอ่านมาจากเว็บนอก ความเห็นหลายๆคน บอกว่าไปสืบมาแล้ว พบว่า ไม่มีหรอก ไอมะนาวต่างดุ๊ด อะไรเนี่ย... =,,=''
ก้อไม่รุนะคะ ว่าใครจิง ใครเท็จ จะเหมือน แบลร์วิชอ๊ะป่าวก้อไม่รุ
ง่ะ...ใครก้อได้ สอนหนูลงวีดีโอหน่อย
อุ๊ยลืม เครดิต ข้อมูล &รูป เดิ้นๆ จาก เว็บเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ค่า
ปล. ขอบคุนแอดมิน สำหรับวีดีโอค่ะ (me//ชั้นว่าชั้นก้อใช้โค้ด นี้ ทำไมมันไม่ได้ฟะ)
ปล. ไปอ่านมาจากเว็บนอก ความเห็นหลายๆคน บอกว่าไปสืบมาแล้ว พบว่า ไม่มีหรอก ไอมะนาวต่างดุ๊ด อะไรเนี่ย... =,,=''
ก้อไม่รุนะคะ ว่าใครจิง ใครเท็จ จะเหมือน แบลร์วิชอ๊ะป่าวก้อไม่รุ
แก้ไขล่าสุด: 10/12/2552 20:55 โดย horrorfever
อืม เรื่องนี้น่าสนใจจริง ๆ ครับ เคยเห็นตัวอย่างหนังมาแล้ว น่าดูมากครับ
ดูตัวอย่างในโรง เฉยๆอ่ะ แต่พอมาอ่าน รุ้สึกว่า เอ้อ น่าดูแฮะ.. เดี่ยวลองไปดู
วันพรุดด 60 บาทททท โฮะๆ
วันพรุดด 60 บาทททท โฮะๆ
เด๋วหาคนเลี้ยงหนังก่อง
ลัลล๊าๆ ^^
ลัลล๊าๆ ^^
เลี้ยงเฮาด้วย โห่ๆๆ
ดูมาแย้ววววววว
สนุกมาก เพราะตอนแรกคิดว่ามันเป็นฟุตเตจจากเรื่องจริง จริง ๆ แต่คุณท่านของพี่ไปคุ้ยมาจากในเนต เขาบอกว่ามันเฟค - -*
พูดถึงหนัง
หลอนมาก โดยเฉพาะหน้าเจ๊ อบิเกล ตัวจริง คือ เจ๊แกไปแสดงหนังผีได้โดยไม่ต้องแต่งหน้าเลยเหอะ
เทคนิคการตัดต่อแบบว่า ไม่เคยเห็นที่ไหนอ่ะ มันออกแนวสารคดี ที่เอาภาพจริงเสียงจริง มาประกอบละคร
ตึ่งโป๊ะนิด ๆ หลอนอีกหน่อย ๆ
ฉะนั้น เรื่องนี้ ป่านขอแนะนำให้ไปดูอีกเรื่องจ้ะ อิอิ
ปล. ไปดูวันแรกที่หนังเข้าที่เอสพลานาดรัตนาฯ ในโรงมีกันประมาณ 15 -16 คน ฉะนั้นเลยมีสมาธิดูหนังสุด ๆ เรยค่ัะ
ปอ. เอสพลานาดมีโรงสิบกว่าโรง แต่4th kind เข้าโรงเดียว นอกนั้นเป็นแหยมฯ 2, ปายฯ, แล้วก็ new moon ซะงั้น ป่านล่ะเซ็งเป็ด
สนุกมาก เพราะตอนแรกคิดว่ามันเป็นฟุตเตจจากเรื่องจริง จริง ๆ แต่คุณท่านของพี่ไปคุ้ยมาจากในเนต เขาบอกว่ามันเฟค - -*
พูดถึงหนัง
หลอนมาก โดยเฉพาะหน้าเจ๊ อบิเกล ตัวจริง คือ เจ๊แกไปแสดงหนังผีได้โดยไม่ต้องแต่งหน้าเลยเหอะ
เทคนิคการตัดต่อแบบว่า ไม่เคยเห็นที่ไหนอ่ะ มันออกแนวสารคดี ที่เอาภาพจริงเสียงจริง มาประกอบละคร
ตึ่งโป๊ะนิด ๆ หลอนอีกหน่อย ๆ
ฉะนั้น เรื่องนี้ ป่านขอแนะนำให้ไปดูอีกเรื่องจ้ะ อิอิ
ปล. ไปดูวันแรกที่หนังเข้าที่เอสพลานาดรัตนาฯ ในโรงมีกันประมาณ 15 -16 คน ฉะนั้นเลยมีสมาธิดูหนังสุด ๆ เรยค่ัะ
ปอ. เอสพลานาดมีโรงสิบกว่าโรง แต่4th kind เข้าโรงเดียว นอกนั้นเป็นแหยมฯ 2, ปายฯ, แล้วก็ new moon ซะงั้น ป่านล่ะเซ็งเป็ด
น่าดูนิ..เคยดูแต่เรื่องนี้
...
...

ไปดูมาแล้วครับ
แหวกแนว แต่ชอบมากๆเลย
แหวกแนว แต่ชอบมากๆเลย
ขออนุญาตเล่าตอนจบ เจ๊อบิเกลก็ขาพิการแต่ยังหาลูกสาวเขาอยู่ เพื่อนเจ๊ เอเบลและโอดูซามิยังปกติดี นายอำเภอออกัสก็เกษียณตามสังขารที่ร่วงโรย รอนนี่ ลูกชายก็ยังหาว่าเจ๊แกทำน้องเขาหายไป แอชลี่ย์(ลูกสาวของเจ๊แก)ยังหายตัวอยู่
Function Used time : 0:00:00:00.034