Shaun of the Dead,Hot Fuzz,The World's End มาชิมคอร์นเนตโต3รสแกล้มเลือดกัน
by แว่นจัง • วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 19:35
Shaun of the Dead หนังซอมบี้จากประเทศอังกฤษคงเป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรดของใครอีกหลายคน ถึงแม้หนังจะไม่ใช่ซอมบี้โหดเลือดสาด แต่ด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่างในหนัง ทำให้ชื่อของผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์ และนักเขียนบท รวมถึงแสดงนำอย่างไซมอน เพกก์ นิค ฟรอสต์เริ่มเป็นที่จดจำของคอหนังทั่วโลก
และผลงานชิ้นต่อมาคือหนังตำรวจHot Fuzz ที่เอ็ดการ์ ไรท์ ยังเป็นผู้กำกับ และได้ซี้เก่าไซมอน เพกก์ และนิค ฟรอสต์มาเล่นเช่นเคย
ในปี2013 สามคู่หูก็กลับมาอีกครั้งกับหนังเรื่อง The World's End โดยจะฉายที่อังกฤษกลางเดือนนี้และจะเข้าฉายที่อเมริกาเดือนสิงหาคม
ทั้ง3เรื่องนี้ ถึงจะเป็นหนังแนวคอมเมดี้ มีฉากโหดเล็กน้อยอยู่บ้าง แต่เอ็ดการ์ ไรท์ และไซมอน เพกก์กลับซ่อนสัญลักษณ์บางอย่างไว้อยู่ นั่นก็คือ ไอติมคอร์นเนตโตนี่เอง ถ้าลองสังเกตดีๆสองเรื่องแรกจะมีฉากที่ตัวละครหลักกินคอร์นเนตโตอยู่ แถมยังมีชื่อเรื่องหนัง3เรื่องว่า "Three Flavours Cornetto trilogy" หรือ "ไตรภาคคอร์นเนตโตสามรส" ซึ่งThe World's End จะเป็นเรื่องสุดท้ายปิดฉากไตรภาค ความมัน ฮ่า ระห่ำ
แล้วทำไมต้องคอร์นเนตโต มันเกี่ยวอะไรกับซอมบี้ ตำรวจ และล่าสุดคือผับ จะไขข้อข้องใจณ บัดนี้
และผลงานชิ้นต่อมาคือหนังตำรวจHot Fuzz ที่เอ็ดการ์ ไรท์ ยังเป็นผู้กำกับ และได้ซี้เก่าไซมอน เพกก์ และนิค ฟรอสต์มาเล่นเช่นเคย
ในปี2013 สามคู่หูก็กลับมาอีกครั้งกับหนังเรื่อง The World's End โดยจะฉายที่อังกฤษกลางเดือนนี้และจะเข้าฉายที่อเมริกาเดือนสิงหาคม
ทั้ง3เรื่องนี้ ถึงจะเป็นหนังแนวคอมเมดี้ มีฉากโหดเล็กน้อยอยู่บ้าง แต่เอ็ดการ์ ไรท์ และไซมอน เพกก์กลับซ่อนสัญลักษณ์บางอย่างไว้อยู่ นั่นก็คือ ไอติมคอร์นเนตโตนี่เอง ถ้าลองสังเกตดีๆสองเรื่องแรกจะมีฉากที่ตัวละครหลักกินคอร์นเนตโตอยู่ แถมยังมีชื่อเรื่องหนัง3เรื่องว่า "Three Flavours Cornetto trilogy" หรือ "ไตรภาคคอร์นเนตโตสามรส" ซึ่งThe World's End จะเป็นเรื่องสุดท้ายปิดฉากไตรภาค ความมัน ฮ่า ระห่ำ
แล้วทำไมต้องคอร์นเนตโต มันเกี่ยวอะไรกับซอมบี้ ตำรวจ และล่าสุดคือผับ จะไขข้อข้องใจณ บัดนี้

Replies (18)
Three Flavours Cornetto trilogy หรืออีกชื่อ Blood and Ice Cream trilogy หรือ the Cornetto trilogy (ชื่อไทยก็น่าจะประมาณ "ไตรภาคคอร์นเนตโตสามรส" )
เป็นหนังสามเรื่องได้แก่ Shaun of the Dead Hot Fuzz และ The World's End ที่กำกับโดย เอ็ดการ์ ไรท์ เขียนบท โดยเอ็ดการ์ ไรท์ และ ไซมอน เพกก์ นำแสดงโดยคู่ซี้อย่างเพกก์ และ นิค ฟรอสต์
โดยสองเรื่องแรกที่ออกฉายในปี2004 และ 2007 นั้นก็มีฉากที่ตัวละครกินคอร์นเนตโตอยู่ด้วย ในShaun of the Dead เป็นคอร์นเนตโตรสสตอเบอร์รี่ Hot Fuzz เป็นคอร์นเนตโตรสคลาสสิค และ The World's End เป็นรสมินต์ ช็อก-ชิป (ไม่มีขายในไทยน่าเสียดาย)
สังเกตไหมว่าทั้งสามรส คือ สามสี คือ สีแดง ฟ้า เขียว ซึ่งสีแดง คือ เลือด ในหนังเรื่องShaun of the Dead หมายถึง องค์ประกอบในหนังหลักก็คือเลือด ส่วนHut Fuzz ที่ได้รสคลาสสิค เพราะในเรื่องเป็นหนังตำรวจ ซึ่งใช้สีฟ้าเป็นสีแทน (นึกถึงเจ้าตู้TardisในDoctor Who ก็สีฟ้า) และ The World's End ที่เป็นรสมินต์ ช็อก-ชิป สีเขียว หมายถึงผับที่เป็นเป้าหมายของตัวละครในเรื่องและเอเลี่ยน
เป็นหนังสามเรื่องได้แก่ Shaun of the Dead Hot Fuzz และ The World's End ที่กำกับโดย เอ็ดการ์ ไรท์ เขียนบท โดยเอ็ดการ์ ไรท์ และ ไซมอน เพกก์ นำแสดงโดยคู่ซี้อย่างเพกก์ และ นิค ฟรอสต์
โดยสองเรื่องแรกที่ออกฉายในปี2004 และ 2007 นั้นก็มีฉากที่ตัวละครกินคอร์นเนตโตอยู่ด้วย ในShaun of the Dead เป็นคอร์นเนตโตรสสตอเบอร์รี่ Hot Fuzz เป็นคอร์นเนตโตรสคลาสสิค และ The World's End เป็นรสมินต์ ช็อก-ชิป (ไม่มีขายในไทยน่าเสียดาย)
สังเกตไหมว่าทั้งสามรส คือ สามสี คือ สีแดง ฟ้า เขียว ซึ่งสีแดง คือ เลือด ในหนังเรื่องShaun of the Dead หมายถึง องค์ประกอบในหนังหลักก็คือเลือด ส่วนHut Fuzz ที่ได้รสคลาสสิค เพราะในเรื่องเป็นหนังตำรวจ ซึ่งใช้สีฟ้าเป็นสีแทน (นึกถึงเจ้าตู้TardisในDoctor Who ก็สีฟ้า) และ The World's End ที่เป็นรสมินต์ ช็อก-ชิป สีเขียว หมายถึงผับที่เป็นเป้าหมายของตัวละครในเรื่องและเอเลี่ยน

ทั้งสีแดง น้ำเงิน และเขียว จริงๆตัวไรท์เองน่าจะอ้างอิงมาจาก The Three Colors trilogy (ไตรภาคสามสี) ซึ่งเป็นหนังของผู้กำกับชาวโปแลนด์ที่ชื่อว่ากชึชตอฟ กีแยชลอฟสกี (Krzysztof Kieślowski) หนังเรื่องนี้มีชื่อเป็นภาษาโปลิชว่า Trzy kolory โดยมีสองเรื่องสร้างเป็นภาษาฝรั่งเศส ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่เหลือเป็นภาษาโปลิช ทั้งสามเรื่องได้แก่
Trois couleurs: Bleu (Three Colors: Blue) (1993), Trzy kolory: Biały (Three Colors: White) (ภาษาฝรั่งเศส: Blanc) (1994)และ Trois couleurs: Rouge (Three Colors: Red) (1994)
หนังทั้งสามเรื่องเป็นน้ำเงิน ขาว และแดง ซึ่งมาจากธงชาติฝรั่งเศสนั่นเอง
จากหนังทั้งสามเรื่องโทนสีเป็น น้ำเงิน ขาว แดง
Trois couleurs: Bleu (Three Colors: Blue) (1993), Trzy kolory: Biały (Three Colors: White) (ภาษาฝรั่งเศส: Blanc) (1994)และ Trois couleurs: Rouge (Three Colors: Red) (1994)
หนังทั้งสามเรื่องเป็นน้ำเงิน ขาว และแดง ซึ่งมาจากธงชาติฝรั่งเศสนั่นเอง
จากหนังทั้งสามเรื่องโทนสีเป็น น้ำเงิน ขาว แดง

แก้ไขล่าสุด: 5/7/2556 20:33 โดย แว่นจัง
ทำไมต้องสีน้ำเงิน ขาว แดง และทำไมไม่ใช้ธงชาติอื่น
เนื่องจากว่าหนังของกีแยชลอฟสกีมีธีมจากแนวคิดปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งมีอุดมการณ์ว่า เสรีภาพ (liberty) เสมอภาค (equality) และภราดรภาพ (fraternity)
กีแยชลอฟสกีได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือนักศึกษามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดว่า ที่ใช้liberté, egalité, fraternité ในหนังเนื่องจากทุนที่ใช้ทำหนังมาจากฝรั่งเศส เขาบอกว่าถ้าเป็นชาติอื่นให้ทุน ชื่อหนังก็จะเปลี่ยนไป และนัยทางวัฒนธรรมที่อยู่ในเรื่องก็คงจะเปลี่ยน แต่เนื้อหาเรื่องคงเดิม
ภาพธงชาติฝรั่งเศส
มีชื่อเรียกว่า le tricolore หรือ le drapeau bleu-blanc-rouge
เนื่องจากว่าหนังของกีแยชลอฟสกีมีธีมจากแนวคิดปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งมีอุดมการณ์ว่า เสรีภาพ (liberty) เสมอภาค (equality) และภราดรภาพ (fraternity)
กีแยชลอฟสกีได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือนักศึกษามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดว่า ที่ใช้liberté, egalité, fraternité ในหนังเนื่องจากทุนที่ใช้ทำหนังมาจากฝรั่งเศส เขาบอกว่าถ้าเป็นชาติอื่นให้ทุน ชื่อหนังก็จะเปลี่ยนไป และนัยทางวัฒนธรรมที่อยู่ในเรื่องก็คงจะเปลี่ยน แต่เนื้อหาเรื่องคงเดิม
ภาพธงชาติฝรั่งเศส
มีชื่อเรียกว่า le tricolore หรือ le drapeau bleu-blanc-rouge

ภาพจากดีวีดีของหนัง มีการตีความว่าหนังทั้งสามเรื่องเป็น anti-tragedy, anti-comedy และ anti-romance

แก้ไขล่าสุด: 5/7/2556 20:22 โดย แว่นจัง
ขอพูดถึงTrois couleurs: Bleu (Three Colors: Blue) (1993), Trzy kolory: Biały (Three Colors: White) (ภาษาฝรั่งเศส: Blanc) (1994) และ Trois couleurs: Rouge (Three Colors: Red) (1994) นิดนึง
เรื่องแรก Trois couleurs: Bleu (Three Colors: Blue) (1993) ธีม สีน้ำเงิน เกี่ยวกับ เสรีภาพ จะเน้นถึงเสรีภาพทางอารมณ์ มากกว่าทางสังคมหรือการเมือง ฉากในหนังเกิดขึ้นในกรุงปารีส ฝรั่งเศส เล่าถึงผู้หญิงคนนึงที่สูญเสียสามีและลูกในอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากความสูญเสียดังกล่าว เธอก็เป็นอิสระจากพันธะทางครอบครัว และเธอพยายามที่จะอยู่อย่างสันโดษ ตัดขาดจากทุกสิ่งและตัดขาดจากพันธะทางครอบครัวที่เธอเคยมีมาแต่ในที่สุดเธอก็พบว่าตัวเองไม่สามารถตัดขาดจากความเชื่อมโยงกันของมนุษย์ได้
เรื่องแรก Trois couleurs: Bleu (Three Colors: Blue) (1993) ธีม สีน้ำเงิน เกี่ยวกับ เสรีภาพ จะเน้นถึงเสรีภาพทางอารมณ์ มากกว่าทางสังคมหรือการเมือง ฉากในหนังเกิดขึ้นในกรุงปารีส ฝรั่งเศส เล่าถึงผู้หญิงคนนึงที่สูญเสียสามีและลูกในอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากความสูญเสียดังกล่าว เธอก็เป็นอิสระจากพันธะทางครอบครัว และเธอพยายามที่จะอยู่อย่างสันโดษ ตัดขาดจากทุกสิ่งและตัดขาดจากพันธะทางครอบครัวที่เธอเคยมีมาแต่ในที่สุดเธอก็พบว่าตัวเองไม่สามารถตัดขาดจากความเชื่อมโยงกันของมนุษย์ได้

แก้ไขล่าสุด: 5/7/2556 20:36 โดย แว่นจัง
หนังเรื่องที่สอง Trzy kolory: Biały (Three Colors: White) (ภาษาฝรั่งเศส: Blanc) (1994) ธีม สีขาว เกี่ยวกับ เสมอภาค
เรื่องเกิดขึ้นในกรุงปารีส ฝรั่งเศสเช่นกัน คราวนี้เล่าถึง Karol Karol ชาวโปแลนด์อพยพมาอยู่ฝรั่งเศส และแต่งงาน เขามีปัญหาที่ไม่ค่อยเข้าใจภาษาฝรั่งเศส จนทำให้ต้องฟ้องหย่ากับภรรยา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ขายหน้าที่สุดในชีวิตเขาที่ภรรยาอ้างว่าเขาไม่สามารถปฏิบัติกิจบนเตียงหลังพิธีแต่งงานได้สำเร็จ และด้วยความโชคร้ายทำให้ต้องเสียทรัพย์สินทั้งกิจการ บ้าน และเงิน จนมีเงินเหลือติดตัวอยู่แค่ สองฟรังค์
หลังจากนั้นคารอลก็ได้รับความช่วยเหลือจากชาวโปแลนด์ด้วยกัน และได้งานใหม่ พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อแก่แค้นภรรยาเก่าให้ได้
เรื่องเกิดขึ้นในกรุงปารีส ฝรั่งเศสเช่นกัน คราวนี้เล่าถึง Karol Karol ชาวโปแลนด์อพยพมาอยู่ฝรั่งเศส และแต่งงาน เขามีปัญหาที่ไม่ค่อยเข้าใจภาษาฝรั่งเศส จนทำให้ต้องฟ้องหย่ากับภรรยา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ขายหน้าที่สุดในชีวิตเขาที่ภรรยาอ้างว่าเขาไม่สามารถปฏิบัติกิจบนเตียงหลังพิธีแต่งงานได้สำเร็จ และด้วยความโชคร้ายทำให้ต้องเสียทรัพย์สินทั้งกิจการ บ้าน และเงิน จนมีเงินเหลือติดตัวอยู่แค่ สองฟรังค์
หลังจากนั้นคารอลก็ได้รับความช่วยเหลือจากชาวโปแลนด์ด้วยกัน และได้งานใหม่ พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อแก่แค้นภรรยาเก่าให้ได้

Trois couleurs: Rouge (Three Colors: Red) (1994) เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องเกี่ยวกับภราดรภาพ ซึ่งเป็นหนังเรื่องสุดท้ายก่อนที่กีแยชลอฟสกีจะเสียชีวิตเมื่อปี 1996
เป็นหนังที่เล่าเกี่ยวกับตัวละครในหนังที่ทุกคนต่างเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
เป็นหนังที่เล่าเกี่ยวกับตัวละครในหนังที่ทุกคนต่างเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน

กลับมาไตรภาคคอร์นเนตโตของผู้กำกับชาวอังกฤษอย่างไรท์กันบ้าง ธีมสามสีของหนังที่ได้มาจากหนังของกชึชตอฟ กีแยชลอฟสกี และนำมาปรับให้เป็นสไตล์คอมเมดี้ บู๊นิดๆ โหดเลือดสาดหน่อยๆ
เรื่องแรก คือ shaun of the dead รุ่งอรุณแห่งความวาย(ป่วง) เป็นเรื่องของ ฌอน หนุ่มเซลล์แมนที่ชีวิตไร้ทิศทาง และมีเพื่อนสนิทอย่างเอ็ดที่ชีวิตยิ่งไร้ทิศทางยิ่งกว่า จนแฟนสาวของฌอนไม่พอใจกับพฤติกรรมของเขาและในที่สุดก็ขอเลิก
ในขณะที่ฌอนกำลังเศร้า ชีวิตก็ซวยยิ่งกว่ามีเกิดเหตุซอมบี้ระบาด แต่ก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่อาจจะทำให้เขาได้แก้ตัว และคืนดีกับแฟนสาวได้อีกครั้ง
ในหนังเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการอ้างอิงถึงหนังตระกูลDeadยุคต้นๆของปรมาจารย์ด้านซอมบี้อย่างปู่จอร์จ เอ โรเมโร (มีเรื่องNight of the Living Dead, Dawn of the Dead และ Day of the Dead) ตัวชื่อเรื่องเองShaun of the Dead ก็เป็นการแสดงความเคารพต่อตัวหนังDawn of the Dead
ปู่โรเมโรจึงประทับใจมากและได้ชวนไรท์และเพกก์ ไปแสดงในหนังLand of the dead ปี 2005 ในตอนแรกปู่โรเมโรเสนอบทนำในหนังให้ทั้งคู่ แต่ก็ปฏิเสธขอรับบทไม่เด่นแทน (ไม่รู้จะจำกันได้ไหม)
ซอมบี้ในบูทถ่ายรูปนั่นแหล่ะ
เรื่องแรก คือ shaun of the dead รุ่งอรุณแห่งความวาย(ป่วง) เป็นเรื่องของ ฌอน หนุ่มเซลล์แมนที่ชีวิตไร้ทิศทาง และมีเพื่อนสนิทอย่างเอ็ดที่ชีวิตยิ่งไร้ทิศทางยิ่งกว่า จนแฟนสาวของฌอนไม่พอใจกับพฤติกรรมของเขาและในที่สุดก็ขอเลิก
ในขณะที่ฌอนกำลังเศร้า ชีวิตก็ซวยยิ่งกว่ามีเกิดเหตุซอมบี้ระบาด แต่ก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่อาจจะทำให้เขาได้แก้ตัว และคืนดีกับแฟนสาวได้อีกครั้ง
ในหนังเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการอ้างอิงถึงหนังตระกูลDeadยุคต้นๆของปรมาจารย์ด้านซอมบี้อย่างปู่จอร์จ เอ โรเมโร (มีเรื่องNight of the Living Dead, Dawn of the Dead และ Day of the Dead) ตัวชื่อเรื่องเองShaun of the Dead ก็เป็นการแสดงความเคารพต่อตัวหนังDawn of the Dead
ปู่โรเมโรจึงประทับใจมากและได้ชวนไรท์และเพกก์ ไปแสดงในหนังLand of the dead ปี 2005 ในตอนแรกปู่โรเมโรเสนอบทนำในหนังให้ทั้งคู่ แต่ก็ปฏิเสธขอรับบทไม่เด่นแทน (ไม่รู้จะจำกันได้ไหม)
ซอมบี้ในบูทถ่ายรูปนั่นแหล่ะ
ฉากกินคอร์เนตโตรสสตอเบอร์รี่ เป็นสีแดง ธีมในหนังก็สีแดง หมายถึง เลือด

ส่วนHot Fuzz โปลิศ โคตรแมน ปี 2007
เป็นเรื่องเกี่ยวกับนิโคลัส แองเจิล นายตำรวจผู้ที่อุทิศตนทำงานอย่างหนักจนเพื่อนตำรวจไม่ชอบขี้หน้า ลงท้ายถูกย้ายไปที่เมืองแซนด์ฟอร์ด ที่เป็นเมืองชนบทที่ไร้อาชญากรรม แต่พอวันแรกที่ไปถึงก็จับวัยรุ่นอายุไม่ถึงกำหนดดื่มเหล้า และจับคนเมาแล้วขับซึ่งก็คือตำรวจคู่หูคนใหม่ของเขา และต่อมาก็เกิดฆาตกรรมหฤโหดขึ้นในเมืองเล็กๆนี้ ทำให้แองเจิลและคู่หูไปสืบจนทราบเบื้องหลังของเมืองที่ดูเหมือนจะปลอดอาชญากรรม
มีฉากกินคอร์นเนตโตรสคลาสสิคสีฟ้า เป็นสีแทนตำรวจ เนื่องจากธีมเรื่องนี้เกี่ยวกับตำรวจ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับนิโคลัส แองเจิล นายตำรวจผู้ที่อุทิศตนทำงานอย่างหนักจนเพื่อนตำรวจไม่ชอบขี้หน้า ลงท้ายถูกย้ายไปที่เมืองแซนด์ฟอร์ด ที่เป็นเมืองชนบทที่ไร้อาชญากรรม แต่พอวันแรกที่ไปถึงก็จับวัยรุ่นอายุไม่ถึงกำหนดดื่มเหล้า และจับคนเมาแล้วขับซึ่งก็คือตำรวจคู่หูคนใหม่ของเขา และต่อมาก็เกิดฆาตกรรมหฤโหดขึ้นในเมืองเล็กๆนี้ ทำให้แองเจิลและคู่หูไปสืบจนทราบเบื้องหลังของเมืองที่ดูเหมือนจะปลอดอาชญากรรม
มีฉากกินคอร์นเนตโตรสคลาสสิคสีฟ้า เป็นสีแทนตำรวจ เนื่องจากธีมเรื่องนี้เกี่ยวกับตำรวจ

และเรื่องปิดท้ายไตรภาค The World's End
ที่ผู้กำกับบอกแล้วว่าเรื่องสุดท้ายของไตรภาคแน่นอน ก่อนจะมีผลงานกำกับเรื่อง Antman
ที่ผู้กำกับบอกแล้วว่าเรื่องสุดท้ายของไตรภาคแน่นอน ก่อนจะมีผลงานกำกับเรื่อง Antman

The World's End เล่าถึง ห้าหนุ่มวัยกลางคนที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่วัยเด็ก พวกเขาตัดสินใจหวนคืนถิ่นเกิดอีกครั้งเพื่อทำตำนานเมื่อสมัยวัยรุ่นให้สำเร็จ หลังจากที่เคยตระเวนดื่มทุกผับในเมืองเพื่อให้ไปถึงผับในตำนานนามว่า "The World's End" แต่กลับไม่สำเร็จ วันเวลาผ่านไปแกรี่ คิงก็เป็นตัวตั้งตัวตีเกลี้ยกล่อมเพื่อนให้กลับมาทำความฝันวัยเยาว์ให้สำเร็จให้ได้ โดยต้องตระเวนดื่มทุกผับในบ้านเกิดให้ครบภายในหนึ่งคืน แต่ในระหว่างที่ตระเวนดื่มไปเรื่อยๆ พวกเขาก็ค่อยๆสังเกตว่าคนในเมืองมีท่าทีแปลกๆกับพวกเขา จนเมื่อรู้ความจริงว่าเมืองถูกควบคุมโดยหุ่นยนต์ จึงทำให้เป้าหมายดื่มจนครบทุกผับกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ และช่วยมนุษยชาติให้รอดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ยังไม่มีฉากที่เกี่ยวกับคอร์เนตโตรสมินต์ช็อก-ชิปออกมา แต่ต้องมีฉากที่กินไอติมแน่นอน ดูตัวอย่างกันไปก่อน
ยังไม่มีฉากที่เกี่ยวกับคอร์เนตโตรสมินต์ช็อก-ชิปออกมา แต่ต้องมีฉากที่กินไอติมแน่นอน ดูตัวอย่างกันไปก่อน
จบแล้ว ไม่แน่ใจว่าThe World's End จะเข้าฉายหรือไม่
ถึงแม้จะมี มาร์ติน ฟรีแมน หรือ บิลโบ ร่วมแสดงก็ตามที เอาเป็นว่าไปย้อนดูShaun of the dead กับ Hot Fuzz ก่อน ถ้า The World's End ไม่เข้าก็เจอกันตามบิทนะจ๊ะ
ขอไปหาคอร์นเนตโตกินก่อน
สวัสดี
ถึงแม้จะมี มาร์ติน ฟรีแมน หรือ บิลโบ ร่วมแสดงก็ตามที เอาเป็นว่าไปย้อนดูShaun of the dead กับ Hot Fuzz ก่อน ถ้า The World's End ไม่เข้าก็เจอกันตามบิทนะจ๊ะ
ขอไปหาคอร์นเนตโตกินก่อน
สวัสดี


ไม่เคยดู ฌอน อ๊อฟ เดอะ เดด หรือ ฮ๊อท ฟัจด์ นะ
ส่วนตัวคือไม่รู้สึกดึงดูดจากหนัง
ฉะนั้นเลยเฉยๆกับ เดอะ เวิน ซฺ เอ็นด์ ไปด้วย
ส่วนไตรภาคสามสีของกีแยลอฟสกี เคยดูแต่ บลู ตอนเดียว ตอนดูยังไม่แก่กล้าวิชาหนังอาร์ทมาก เลยไม่สามารถเข้าถึงได้
ส่วนตัวคือไม่รู้สึกดึงดูดจากหนัง
ฉะนั้นเลยเฉยๆกับ เดอะ เวิน ซฺ เอ็นด์ ไปด้วย
ส่วนไตรภาคสามสีของกีแยลอฟสกี เคยดูแต่ บลู ตอนเดียว ตอนดูยังไม่แก่กล้าวิชาหนังอาร์ทมาก เลยไม่สามารถเข้าถึงได้
โอว ลึกซึ้งๆ
ต้องกลับไปควานหาแผ่น Hotfuzz ดูอีกรอบ
ต้องกลับไปควานหาแผ่น Hotfuzz ดูอีกรอบ
Shaun of the Dead ชอบจนถึงขั้นหลงเลย จนบังเอิญได้ดู The World's End แนวมากๆ ชอบได้อีก Hot Fuzz พลาดไป เดี๋ยวคงต้องหามาดู ถ้าไม่อ่านบทความนี้คงไม่รู้ว่าพลาดเรื่องไอติมไปนะเนี๋ยะ
Function Used time : 0:00:00:00.017