วิจารณ์ของจริง PARANORMAL ACTIVITY
by AguileraAnimato • วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 21:24
เป็นเวลา 2 คืนมาแล้ว ที่ฉันยังไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ หลังจากถูกจับข่มขืนให้เป็นพยานร่วมรับรู้ชะตากรรมสุดสยองของเคธี่ และมิกะ
เป็นเวลา 5 คืนมาแล้ว ที่ฉันยังขนลุกขณะนั่งพิมพ์เล่าความรู้สึกของหนังเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังทาง msn เพราะทุกครั้งฉันจะรู้สึกถึงความชั่วร้ายในหนังกำลังเลื่อนลอยโอบล้อมอยู่รอบข้าง
ฉันยังจำได้ดี ตอนที่ภาพยนตร์จบลง และขึ้นข้อความเล่าถึงสถานะล่าสุดของสองตัวละครในภาพยนตร์ ฉันยังจำได้ดีตอนที่เดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ รีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์ และขึ้นรถกลับบ้าน สายลมหนาวตอนเช้าตรู่พัดเข้ามาปะทะกับใบหน้าที่ห่อหุ้มอารมณ์หดหู่เอาไว้ เหมือนลมหายใจของปีศาจร้ายที่รดต้นคอเคธี่ทุกคืน ตามที่เธอบอกเล่าในเรื่อง
และฉันดีใจที่มันเป็นเพียง “เรื่องสมมุติ”
ตอนกลับมาถึงบ้านฉันเปิดไฟทั้งชั้นล่าง แล้วนอนแผ่หน้าห้องรับแขก โชคดีที่พ่อตื่นแล้ว ไม่งั้นฉันคงทำใจให้หลับไม่ได้.... ฉันถามตัวเองว่าตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุรึเปล่า เพราะอะไรภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทำให้ฉันขวัญเสียได้ขนาดนี้ ฉันจึงลองมานั่งคิดดู
PA ตัดขาดจากการเป็นแฟนตาซีทั้งปวง จริงอยู่ว่าเรื่องผี-วิญญาณ เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เหนือจริง แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงมายาทางภาพยนตร์ และการประดิษฐ์เรื่องเล่าให้มีความสนุกเหลือเชื่อเพื่อปลุกเร้าให้คนดูกลัวจากสิ่งที่ถูกตบแต่งให้เกินจริง สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราได้กลับมาคือความกลัว ความสนุก จากสิ่งที่ไกลตัวจากฐานความเชื่อของตัวเองเหลือเกิน…
ซึ่งลักษณะภาพยนตร์ที่ไม่เน้นการปลุกเร้าเพื่อเข้าถึงอารมณ์คนดู เป็นแนวทางในแบบ realism ซึ่งพบในลักษณะของ หนังข่าว / หนังสารคดี / เทปบันทึกกล้องวงจรปิด
ตามที่ ทฤษฎีรูปทรงนิยม (Formalism Theory) กล่าวว่าภาพยนตร์ถูกแบ่งเป็นสามลักษณะใหญ่ๆ หากวัดกันด้วยรูปทรง; องค์ประกอบ-เทคนิคทางศิลปะที่ใช้แสดงผล
เป็นเวลา 5 คืนมาแล้ว ที่ฉันยังขนลุกขณะนั่งพิมพ์เล่าความรู้สึกของหนังเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังทาง msn เพราะทุกครั้งฉันจะรู้สึกถึงความชั่วร้ายในหนังกำลังเลื่อนลอยโอบล้อมอยู่รอบข้าง
ฉันยังจำได้ดี ตอนที่ภาพยนตร์จบลง และขึ้นข้อความเล่าถึงสถานะล่าสุดของสองตัวละครในภาพยนตร์ ฉันยังจำได้ดีตอนที่เดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ รีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์ และขึ้นรถกลับบ้าน สายลมหนาวตอนเช้าตรู่พัดเข้ามาปะทะกับใบหน้าที่ห่อหุ้มอารมณ์หดหู่เอาไว้ เหมือนลมหายใจของปีศาจร้ายที่รดต้นคอเคธี่ทุกคืน ตามที่เธอบอกเล่าในเรื่อง
และฉันดีใจที่มันเป็นเพียง “เรื่องสมมุติ”
ตอนกลับมาถึงบ้านฉันเปิดไฟทั้งชั้นล่าง แล้วนอนแผ่หน้าห้องรับแขก โชคดีที่พ่อตื่นแล้ว ไม่งั้นฉันคงทำใจให้หลับไม่ได้.... ฉันถามตัวเองว่าตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุรึเปล่า เพราะอะไรภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทำให้ฉันขวัญเสียได้ขนาดนี้ ฉันจึงลองมานั่งคิดดู
PA ตัดขาดจากการเป็นแฟนตาซีทั้งปวง จริงอยู่ว่าเรื่องผี-วิญญาณ เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เหนือจริง แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงมายาทางภาพยนตร์ และการประดิษฐ์เรื่องเล่าให้มีความสนุกเหลือเชื่อเพื่อปลุกเร้าให้คนดูกลัวจากสิ่งที่ถูกตบแต่งให้เกินจริง สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราได้กลับมาคือความกลัว ความสนุก จากสิ่งที่ไกลตัวจากฐานความเชื่อของตัวเองเหลือเกิน…
ซึ่งลักษณะภาพยนตร์ที่ไม่เน้นการปลุกเร้าเพื่อเข้าถึงอารมณ์คนดู เป็นแนวทางในแบบ realism ซึ่งพบในลักษณะของ หนังข่าว / หนังสารคดี / เทปบันทึกกล้องวงจรปิด
ตามที่ ทฤษฎีรูปทรงนิยม (Formalism Theory) กล่าวว่าภาพยนตร์ถูกแบ่งเป็นสามลักษณะใหญ่ๆ หากวัดกันด้วยรูปทรง; องค์ประกอบ-เทคนิคทางศิลปะที่ใช้แสดงผล
Replies (13)
Formalist Theory
Classical (2) คือลักษณะที่เป็นกลาง อันเป็นรูปแบบส่วนใหญ่ของภาพยนตร์โลกปัจจุบัน มีการเล่าเรื่อง การใช้เทคนิคด้านภาพ ตัดต่อแบบทั่วไป โดยเน้นการกระตุ้นอารมณ์คนดูเป็นหลัก
หากเขยิบไปทางขวา ก็จะเป็น Surrealism(3) ฝั่งนี้ก็จะปล่อยของเต็มที่ เน้นการใช้เทคนิคเพื่อสร้างภาพเหนือจริง เส้น สี แสง เสียง การแสดง ความเหนือจริง โดยไม่เน้นการสื่อสารทางอารมณ์เพื่อให้เกิดการเข้าใจทางความหมาย ภาษา แต่ต้องการผลักดันให้ผู้ชมหลุดจากหลักตรรกะเหตุผลเพื่อสำรวจหาความหมายทางจิตด้วยตัวเอง
หากเขยิบไปทางซ้าย Realism(1) ฝั่งนี้จะนิยมความเป็นจริง ไม่ต้องการการตัดต่อเพื่อเสริมอารมณ์ ไม่ต้องการการถ่ายทำเพื่อให้หนังออกมาสวย ไม่ต้องการการแสดงที่ถูกปลุกแต่ง ทุกอย่างเป็นความจริง และผู้กำกับมีหน้าที่เพียงนำกล้องไปบันทึกความจริงเท่านั้น
และนี้แหละคือ Paranormal Activity
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองนั่งงอก่องอขิงชมความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ถึงจริงๆแล้ว มันจะเป็นแค่ “ความเสมือนจริง”ก็ตาม
ในขณะที่หนังอย่าง [*rec], Cloverfield นำหลักการ Realism มาใช้เพื่อสร้างสภาวะเสมือนจริงให้คนดูร่วมรู้สึก แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงหนัง Classical ทั่วไป นั้นคือ มีการตกแต่ง จัดวางองค์ประกอบทางภาพยนตร์ เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ เช่นการตัดต่อถูกจังหวะให้คนตกใจ ตื่นเต้น บทบาทการแสดงจากนักแสดง ทุกอย่างเป็นการsetขึ้นโดยมีการวางแผนมาแล้ว.... ฉะนั้น PA ปราศจากการset เช่นกันเหรอ
ไม่เลย ภาพยนตร์ยังไงก็คือภาพยนตร์ทุกอย่างมีการเตรียมการมาอย่างดี แต่ PA ละลายองค์ประกอบที่ใช้ในการตกแต่ง เร้าอารมณ์ออกให้กลืนหายไปในหนังอย่างแนบเนียน และแยบคาย เพื่อทำให้คนดูรู้สึกเสมือนจริงต่อเหตุการณ์และค่อยๆกลัว
เช่น หนังเปิดเรื่องมาด้วยการบอกคนดูแต่แรกเลยว่า นางเอก (เคธี่) มีประสบการณ์ทางวิญญาณ เธอรู้สึกว่าถูกวิญญาณตามรบกวนมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ... หากใครเคยอ่าน หรือเคยเรียนทฤษฎีสามองก์มาบ้าง ก็คงพอจะรู้คร่าวๆว่า บทภาพยนตร์เกือบทุกเรื่อง สามารถแบ่งออกได้เป็นสามองก์ คือ
1. Introduction เปิดเรื่อง แนะนำตัวละคร และปรากฏเหตุแห่งปัญหาที่ตัวละครต้องเผชิญ
2. Confrontation เป็นการเผชิญหน้าของตัวละครและอุปสรรค อันสืบเนื่องจากองก์แรก
3. Resolution วิธีการแก้ไขปัญหา และบทสรุปของเรื่อง
แต่ใน PA หนังตัดองก์แรกทิ้งไป เพราะบทไม่มีการปูพื้นให้ผู้ชมทราบว่าตัวละครถูกวิญญาณรังควานจากอะไร เราแค่ทราบว่าตัวละครชื่ออะไร โดยไม่มีการเล่าถึงสาเหตุใดใด เพราะแม้แต่ตัวละครเองก็ไม่รู้ ซึ่งหากเป็นแนวทาง Classical องก์แรกก็จะแสดงให้เห็นข้อมูลตัวละคร เห็นการกระทำตัวละครที่ไปอยู่ในสถานที่ และเจอวัตถุต้นกำเนิดแห่งเรื่องราว เห็นการกระทำอันไม่ได้เจตนาของตัวละครที่อาจเผลอ ไปดูวิดีโอต้องคำสาป / เวบไซต์ผีสิง / อ่านตำราปลุกผี เป็นต้น.... แต่ PA บีบองก์แรกออกจนหมด และให้ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นมีเพียงแต่องก์ 2 คือการเผชิญหน้าของตัวละครและวิญญาณตลอดจนจบเรื่อง (อย่าง The Blair Witch Project ยังพออธิบายว่าเป็นการกระทำของสาวกแม่มด ทุกอย่างมีความสอดคล้อง ตัวละครมีเหตุผลที่จะเผชิญความน่าสะพรึงกลัว มีสถานที่ที่กำหนดไว้แล้วว่าอันตราย)
และแน่นอนว่า องก์สาม อันเป็นบทสรุปก็ถูกบีบให้เหลือแต่การขึ้นตัวอักษรทิ้งท้ายเท่านั้น
เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงบทสรุปการแก้ปัญหาของตัวละคร เนื่องจากตัวละครแทบไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย
ตัวละครในหนังจึงเปรียบเสมือนมนุษย์จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตัวละครในภาพยนตร์ที่โครงสร้างdrama ปลุกเร้าให้เจอปัญหา เผชิญปัญหา แก้ไขปัญหา ตามลำดับ
ทีนี้ในตลอดทั้งเรื่อง บทหนังก็ไม่ได้พัฒนาลำดับการปลุกเร้าอารมณ์จนเป็น classical เพื่อความบันเทิงแก่ผู้ชม ในฐานะที่กล้องวิดีโอแทนดวงตาของผู้ชม เราทำได้แค่ทนดูโฮม วิดีโอ อันยืดยาว ซึ่งในความน่าเบื่อนั้นก็คือจุดประสงค์นึงที่ผกก. ต้องการผลักคนดูออกจากความเป็นหนังกระแสหลัก ที่มีการเขียนบทสนทนาให้ดูน่าสนใจ.... การปรากฏตัวของวิญญาณ ก็ไม่ได้ถูกใส่ลำดับมาตามสูตรทีละนิด ทีละนิด แต่หนังเรื่องนี้ให้วิญญาณปรากฏตัวในเฉพาะช่วงเวลา ตี2-ตี3 (อ้างอิงความเชื่อทางตะวันตก จากเรื่อง The Exorcism of Emily Rose ที่ว่าปีศาจร้ายมีอำนาจสูงสุดในเวลาช่วงนั้น) นอกจากจะสอดคล้องกับหลักความเชื่อของตะวันตกแล้ว เรื่องการสร้างลักษณะปรากฏซ้ำๆทางช่วงเวลา ยังมีประโยชน์ในการที่ผกก. ไม่ต้องการสร้างความประหลาดใจคนดู ในการคอยลุ้นการปรากฏตัวของวิญญาณแต่อย่างใด ว่าจะโผล่มาตอนไหน ให้เร้าอารมณ์ความผวาจนสูฐเสียแนวทางสัจจะนิยมของหนังไป
รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศความลึกลับ อันไร้ซึ่งคำตอบและการพิสูจน์ต่างๆ (หากเป็นหนัง classical ทุกอย่างจะเป็นหลักฐาน กุญแจที่ชี้นำให้ตัวละครผูกโยงเรื่องราว และไขที่มาของวิญญาณได้) แต่ในหนังเรื่องนี้ มีการทิ้งวัตถุ อันเป็นคีย์ (หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้) ไว้ตามที่ต่างๆ โดยที่ตัวละครเองก็ได้แต่สงสัยถึงที่มา แต่ก็ไม่สามารถไขปริศนาได้เลยว่ามันหมายถึงอะไร
เช่น รูปถ่ายที่เจอในห้องใต้หลังคา / เสียงประหลาดที่บันทึกได้ตอนตีสาม / ข้อมูลผู้หญิงคนนึงในเวบไซต์ / การละเมอ หรืออยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นของเคธี่ / รอยร้าวบนกรอบรูป / รอยไหม้บนกระดานผีถ้วยแก้ว
ทุกอย่างเป็นเพียงชิ้นส่วนปริศนาที่ไม่เชื่อมโยงถึงกัน ไม่สามารถหาคำตอบได้ ซึ่งมันให้ความรู้สึกสมจริงสำหรับเราเหลือเกิน ในความเป็นจริงไม่ใช่บทภาพยนตร์ที่ถูกจัดวางให้ประกอบชิ้นส่วนความลับได้อย่างง่ายดาย เหมือนการแกะรอย ชีวิตจริงมันคือปริศนาดำมืดของการดำรงอยู่....
ซึ่งเมื่อทุกอย่างไม่มีคำอธิบาย จิตของคนดูก็จะเริ่มสร้างคำตอบให้แก่ตัวเองทีละเล็ก ทีละน้อย อย่างเรา เราคิดว่าอาจเป็นวิญญาณคนรักจากชาติภพที่แล้วของมิกะที่อาฆาต จองเวรตัวเคธี่ที่มาแย่งคนรักตัวเองไป อันนี้ก็สืบเนื่องมาจาก ที่มีตัวละครผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณพูดประมาณว่า “พวกคุณสองคนต้องเข้าใจกัน ประคับประตองให้สภาพจิตคงตัว ไม่งั้นอำนาจมืดจะเข้ามามีอำนาจได้”
ในส่วนของการปรากฏตัวของวิญญาณนั้น ไม่มีฉากใดเลยที่ออกมาเป็นรุปเป็นร่างในสภาพน่าเกลียดน่ากลัว แต่มาในสภาพไร้รูปร่าง เป็นเพียงแค่เสียง เงา หรือรอยยับบนผ้าห่ม ซึ่งเป็นการเข้าเสริมจินตนาการในก้นบึ้งจิตใจคนดูให้วาดภาพปีศาจร้ายได้เต็มที่ เราไม่อาจมองเห็นมัน แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณร้ายตลอดเวลา
และสุดท้ายที่ทำให้หนังเรื่องน่ากลัวสุดๆในความรู้สึกเรา มีอยู่สองอย่างคือหนึ่ง การปรากฎตัวของวิญญาณในช่วงเวลาที่เรานอนหลับ มันทำให้เราเชื่อว่า
ขณะที่เราหลับอยู่นั้น บางอย่างไม่เคยหลับ และมันรอคอยโอกาสแวะเข้ามาหาเราถึงตัว!!! (แบบเดียวกับที่ a nightmare on elm st. ทำสำเร็จมาแล้ว/ แต่นั้นเป็นแฟนซีในการสร้างสถานการณ์ปิดล้อม)
นอกจากนั้น อีกหนึ่งความพิเศษคือ ปกติของหนังระทึก-สยองขวัญที่ใช้กล้องวิดีโอ ตัวของกล้องจะเคลื่อนที่ไปพร้อมกับตัวละครเสมอๆ เพื่อให้คนดูรู้สึกเป็นส่วนนึงของตัวละคร เป็นผู้สำรวจและพบเห็นเหตุการณ์ไปพร้อมๆกับตัวละคร
แต่ในหนังเรื่องนี้ 80%ของฉากน่ากลัว กล้องถูกตั้งอยู่กับที่ตลอดเวลา... ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ กล้องทำหน้าที่เป็นผู้สำรวจไปพร้อมๆกับตัวละครที่ตื่นตัว เดินทางเผชิญอันตราย
แต่กล้องในเรื่องนี้ แทนสายตาคนดูในฐานะ ผู้นั่งสังเกตการณ์ นั่งเฉยๆ แล้วรอดูอันตรายปรากฏตัวต่อหน้าตัวละครในขณะที่หลับใหลแทน
หากกล้องแทนสายตาของคนดู หนังเรื่องนี้ก็จับคนดูให้อยู่ในฐานะเดียวกับตัวละคร ในยามตื่น แล้วจากนั้นตอนดึก ในขณะที่ตัวละครหลับลง สายตาคนดูก็เป็นเอกเทศจากตัวละครที่หลับ เป็นเพียงยามสังเกตการณ์ที่ตั้งนิ่ง static แต่เพียงลำพัง รอดูผู้มาเยือนยามวิกาล ณ เวลา ตี2-ตี3 อย่างนิ่งงัน ลำพังไม่อาจขยับ (ยกเว้นจะปิด / หลับตา)
เพราะฉะนั้นในฉากการปรากฎตัวครั้งสุดท้าย จึงกลายเป็นความน่ากลัวอย่างแท้จริง เมื่อความคาดหมายปะทะเข้ากับกล้องอย่างรุนแรง จนกล้องกระเทือนและสูญเสียที่มั่นในการตั้ง มันไม่ใช่เป็นเพียงมุกอำลาสิ้นคิดที่อยากจะถล่มกล้องให้คนดูขวัญหายอย่างไร้เหตุผล แต่การถล่มใส่กล้องอย่างรุนแรงย่อมหมายถึงคนดูเองก็ได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบไปพร้อมๆกับชะตาชีวิตของตัวละครแล้วเช่นกัน
Classical (2) คือลักษณะที่เป็นกลาง อันเป็นรูปแบบส่วนใหญ่ของภาพยนตร์โลกปัจจุบัน มีการเล่าเรื่อง การใช้เทคนิคด้านภาพ ตัดต่อแบบทั่วไป โดยเน้นการกระตุ้นอารมณ์คนดูเป็นหลัก
หากเขยิบไปทางขวา ก็จะเป็น Surrealism(3) ฝั่งนี้ก็จะปล่อยของเต็มที่ เน้นการใช้เทคนิคเพื่อสร้างภาพเหนือจริง เส้น สี แสง เสียง การแสดง ความเหนือจริง โดยไม่เน้นการสื่อสารทางอารมณ์เพื่อให้เกิดการเข้าใจทางความหมาย ภาษา แต่ต้องการผลักดันให้ผู้ชมหลุดจากหลักตรรกะเหตุผลเพื่อสำรวจหาความหมายทางจิตด้วยตัวเอง
หากเขยิบไปทางซ้าย Realism(1) ฝั่งนี้จะนิยมความเป็นจริง ไม่ต้องการการตัดต่อเพื่อเสริมอารมณ์ ไม่ต้องการการถ่ายทำเพื่อให้หนังออกมาสวย ไม่ต้องการการแสดงที่ถูกปลุกแต่ง ทุกอย่างเป็นความจริง และผู้กำกับมีหน้าที่เพียงนำกล้องไปบันทึกความจริงเท่านั้น
และนี้แหละคือ Paranormal Activity
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองนั่งงอก่องอขิงชมความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ถึงจริงๆแล้ว มันจะเป็นแค่ “ความเสมือนจริง”ก็ตาม
ในขณะที่หนังอย่าง [*rec], Cloverfield นำหลักการ Realism มาใช้เพื่อสร้างสภาวะเสมือนจริงให้คนดูร่วมรู้สึก แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงหนัง Classical ทั่วไป นั้นคือ มีการตกแต่ง จัดวางองค์ประกอบทางภาพยนตร์ เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ เช่นการตัดต่อถูกจังหวะให้คนตกใจ ตื่นเต้น บทบาทการแสดงจากนักแสดง ทุกอย่างเป็นการsetขึ้นโดยมีการวางแผนมาแล้ว.... ฉะนั้น PA ปราศจากการset เช่นกันเหรอ
ไม่เลย ภาพยนตร์ยังไงก็คือภาพยนตร์ทุกอย่างมีการเตรียมการมาอย่างดี แต่ PA ละลายองค์ประกอบที่ใช้ในการตกแต่ง เร้าอารมณ์ออกให้กลืนหายไปในหนังอย่างแนบเนียน และแยบคาย เพื่อทำให้คนดูรู้สึกเสมือนจริงต่อเหตุการณ์และค่อยๆกลัว
เช่น หนังเปิดเรื่องมาด้วยการบอกคนดูแต่แรกเลยว่า นางเอก (เคธี่) มีประสบการณ์ทางวิญญาณ เธอรู้สึกว่าถูกวิญญาณตามรบกวนมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ... หากใครเคยอ่าน หรือเคยเรียนทฤษฎีสามองก์มาบ้าง ก็คงพอจะรู้คร่าวๆว่า บทภาพยนตร์เกือบทุกเรื่อง สามารถแบ่งออกได้เป็นสามองก์ คือ
1. Introduction เปิดเรื่อง แนะนำตัวละคร และปรากฏเหตุแห่งปัญหาที่ตัวละครต้องเผชิญ
2. Confrontation เป็นการเผชิญหน้าของตัวละครและอุปสรรค อันสืบเนื่องจากองก์แรก
3. Resolution วิธีการแก้ไขปัญหา และบทสรุปของเรื่อง
แต่ใน PA หนังตัดองก์แรกทิ้งไป เพราะบทไม่มีการปูพื้นให้ผู้ชมทราบว่าตัวละครถูกวิญญาณรังควานจากอะไร เราแค่ทราบว่าตัวละครชื่ออะไร โดยไม่มีการเล่าถึงสาเหตุใดใด เพราะแม้แต่ตัวละครเองก็ไม่รู้ ซึ่งหากเป็นแนวทาง Classical องก์แรกก็จะแสดงให้เห็นข้อมูลตัวละคร เห็นการกระทำตัวละครที่ไปอยู่ในสถานที่ และเจอวัตถุต้นกำเนิดแห่งเรื่องราว เห็นการกระทำอันไม่ได้เจตนาของตัวละครที่อาจเผลอ ไปดูวิดีโอต้องคำสาป / เวบไซต์ผีสิง / อ่านตำราปลุกผี เป็นต้น.... แต่ PA บีบองก์แรกออกจนหมด และให้ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นมีเพียงแต่องก์ 2 คือการเผชิญหน้าของตัวละครและวิญญาณตลอดจนจบเรื่อง (อย่าง The Blair Witch Project ยังพออธิบายว่าเป็นการกระทำของสาวกแม่มด ทุกอย่างมีความสอดคล้อง ตัวละครมีเหตุผลที่จะเผชิญความน่าสะพรึงกลัว มีสถานที่ที่กำหนดไว้แล้วว่าอันตราย)
และแน่นอนว่า องก์สาม อันเป็นบทสรุปก็ถูกบีบให้เหลือแต่การขึ้นตัวอักษรทิ้งท้ายเท่านั้น
เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงบทสรุปการแก้ปัญหาของตัวละคร เนื่องจากตัวละครแทบไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย
ตัวละครในหนังจึงเปรียบเสมือนมนุษย์จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตัวละครในภาพยนตร์ที่โครงสร้างdrama ปลุกเร้าให้เจอปัญหา เผชิญปัญหา แก้ไขปัญหา ตามลำดับ
ทีนี้ในตลอดทั้งเรื่อง บทหนังก็ไม่ได้พัฒนาลำดับการปลุกเร้าอารมณ์จนเป็น classical เพื่อความบันเทิงแก่ผู้ชม ในฐานะที่กล้องวิดีโอแทนดวงตาของผู้ชม เราทำได้แค่ทนดูโฮม วิดีโอ อันยืดยาว ซึ่งในความน่าเบื่อนั้นก็คือจุดประสงค์นึงที่ผกก. ต้องการผลักคนดูออกจากความเป็นหนังกระแสหลัก ที่มีการเขียนบทสนทนาให้ดูน่าสนใจ.... การปรากฏตัวของวิญญาณ ก็ไม่ได้ถูกใส่ลำดับมาตามสูตรทีละนิด ทีละนิด แต่หนังเรื่องนี้ให้วิญญาณปรากฏตัวในเฉพาะช่วงเวลา ตี2-ตี3 (อ้างอิงความเชื่อทางตะวันตก จากเรื่อง The Exorcism of Emily Rose ที่ว่าปีศาจร้ายมีอำนาจสูงสุดในเวลาช่วงนั้น) นอกจากจะสอดคล้องกับหลักความเชื่อของตะวันตกแล้ว เรื่องการสร้างลักษณะปรากฏซ้ำๆทางช่วงเวลา ยังมีประโยชน์ในการที่ผกก. ไม่ต้องการสร้างความประหลาดใจคนดู ในการคอยลุ้นการปรากฏตัวของวิญญาณแต่อย่างใด ว่าจะโผล่มาตอนไหน ให้เร้าอารมณ์ความผวาจนสูฐเสียแนวทางสัจจะนิยมของหนังไป
รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศความลึกลับ อันไร้ซึ่งคำตอบและการพิสูจน์ต่างๆ (หากเป็นหนัง classical ทุกอย่างจะเป็นหลักฐาน กุญแจที่ชี้นำให้ตัวละครผูกโยงเรื่องราว และไขที่มาของวิญญาณได้) แต่ในหนังเรื่องนี้ มีการทิ้งวัตถุ อันเป็นคีย์ (หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้) ไว้ตามที่ต่างๆ โดยที่ตัวละครเองก็ได้แต่สงสัยถึงที่มา แต่ก็ไม่สามารถไขปริศนาได้เลยว่ามันหมายถึงอะไร
เช่น รูปถ่ายที่เจอในห้องใต้หลังคา / เสียงประหลาดที่บันทึกได้ตอนตีสาม / ข้อมูลผู้หญิงคนนึงในเวบไซต์ / การละเมอ หรืออยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นของเคธี่ / รอยร้าวบนกรอบรูป / รอยไหม้บนกระดานผีถ้วยแก้ว
ทุกอย่างเป็นเพียงชิ้นส่วนปริศนาที่ไม่เชื่อมโยงถึงกัน ไม่สามารถหาคำตอบได้ ซึ่งมันให้ความรู้สึกสมจริงสำหรับเราเหลือเกิน ในความเป็นจริงไม่ใช่บทภาพยนตร์ที่ถูกจัดวางให้ประกอบชิ้นส่วนความลับได้อย่างง่ายดาย เหมือนการแกะรอย ชีวิตจริงมันคือปริศนาดำมืดของการดำรงอยู่....
ซึ่งเมื่อทุกอย่างไม่มีคำอธิบาย จิตของคนดูก็จะเริ่มสร้างคำตอบให้แก่ตัวเองทีละเล็ก ทีละน้อย อย่างเรา เราคิดว่าอาจเป็นวิญญาณคนรักจากชาติภพที่แล้วของมิกะที่อาฆาต จองเวรตัวเคธี่ที่มาแย่งคนรักตัวเองไป อันนี้ก็สืบเนื่องมาจาก ที่มีตัวละครผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณพูดประมาณว่า “พวกคุณสองคนต้องเข้าใจกัน ประคับประตองให้สภาพจิตคงตัว ไม่งั้นอำนาจมืดจะเข้ามามีอำนาจได้”
ในส่วนของการปรากฏตัวของวิญญาณนั้น ไม่มีฉากใดเลยที่ออกมาเป็นรุปเป็นร่างในสภาพน่าเกลียดน่ากลัว แต่มาในสภาพไร้รูปร่าง เป็นเพียงแค่เสียง เงา หรือรอยยับบนผ้าห่ม ซึ่งเป็นการเข้าเสริมจินตนาการในก้นบึ้งจิตใจคนดูให้วาดภาพปีศาจร้ายได้เต็มที่ เราไม่อาจมองเห็นมัน แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณร้ายตลอดเวลา
และสุดท้ายที่ทำให้หนังเรื่องน่ากลัวสุดๆในความรู้สึกเรา มีอยู่สองอย่างคือหนึ่ง การปรากฎตัวของวิญญาณในช่วงเวลาที่เรานอนหลับ มันทำให้เราเชื่อว่า
ขณะที่เราหลับอยู่นั้น บางอย่างไม่เคยหลับ และมันรอคอยโอกาสแวะเข้ามาหาเราถึงตัว!!! (แบบเดียวกับที่ a nightmare on elm st. ทำสำเร็จมาแล้ว/ แต่นั้นเป็นแฟนซีในการสร้างสถานการณ์ปิดล้อม)
นอกจากนั้น อีกหนึ่งความพิเศษคือ ปกติของหนังระทึก-สยองขวัญที่ใช้กล้องวิดีโอ ตัวของกล้องจะเคลื่อนที่ไปพร้อมกับตัวละครเสมอๆ เพื่อให้คนดูรู้สึกเป็นส่วนนึงของตัวละคร เป็นผู้สำรวจและพบเห็นเหตุการณ์ไปพร้อมๆกับตัวละคร
แต่ในหนังเรื่องนี้ 80%ของฉากน่ากลัว กล้องถูกตั้งอยู่กับที่ตลอดเวลา... ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ กล้องทำหน้าที่เป็นผู้สำรวจไปพร้อมๆกับตัวละครที่ตื่นตัว เดินทางเผชิญอันตราย
แต่กล้องในเรื่องนี้ แทนสายตาคนดูในฐานะ ผู้นั่งสังเกตการณ์ นั่งเฉยๆ แล้วรอดูอันตรายปรากฏตัวต่อหน้าตัวละครในขณะที่หลับใหลแทน
หากกล้องแทนสายตาของคนดู หนังเรื่องนี้ก็จับคนดูให้อยู่ในฐานะเดียวกับตัวละคร ในยามตื่น แล้วจากนั้นตอนดึก ในขณะที่ตัวละครหลับลง สายตาคนดูก็เป็นเอกเทศจากตัวละครที่หลับ เป็นเพียงยามสังเกตการณ์ที่ตั้งนิ่ง static แต่เพียงลำพัง รอดูผู้มาเยือนยามวิกาล ณ เวลา ตี2-ตี3 อย่างนิ่งงัน ลำพังไม่อาจขยับ (ยกเว้นจะปิด / หลับตา)
เพราะฉะนั้นในฉากการปรากฎตัวครั้งสุดท้าย จึงกลายเป็นความน่ากลัวอย่างแท้จริง เมื่อความคาดหมายปะทะเข้ากับกล้องอย่างรุนแรง จนกล้องกระเทือนและสูญเสียที่มั่นในการตั้ง มันไม่ใช่เป็นเพียงมุกอำลาสิ้นคิดที่อยากจะถล่มกล้องให้คนดูขวัญหายอย่างไร้เหตุผล แต่การถล่มใส่กล้องอย่างรุนแรงย่อมหมายถึงคนดูเองก็ได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบไปพร้อมๆกับชะตาชีวิตของตัวละครแล้วเช่นกัน
แก้ไขล่าสุด: 6/11/2552 21:36 โดย AguileraAnimato
มันต้องไปดูในโรงเท่านั้นใช่มั๊ยถึงจะได้อารมณ์
จริงๆ อยากดูแบบ DVD เพราะเห็นใน Starpic บอกว่า
อิตา ผู้กำกับ จะเอาฉากจบทั้งหมดที่มี ใส่ลงไปใน DVD
อยากดูฉากจบ ของตัวแรกมากๆ
ที่เป็นรอบทดลองฉายอะ
จริงๆ อยากดูแบบ DVD เพราะเห็นใน Starpic บอกว่า
อิตา ผู้กำกับ จะเอาฉากจบทั้งหมดที่มี ใส่ลงไปใน DVD
อยากดูฉากจบ ของตัวแรกมากๆ
ที่เป็นรอบทดลองฉายอะ
ทฟษฎี เยอะมากค่ะ ณ จุดๆเน้ เอาไว้ไปดูในโรงเอาเลยดีกั่ว ได้ข่าวว่าป้าออยจะเลี้ยงงงง อิอิ
อยากดูมั่ก ๆๆๆๆๆๆ
ชอบฉากจบแบบโหดร้ายมากกว่านะ เห็นว่าที่ฉายในเมกา เป็นฉากจบแบบแฮปปี้
ชอบฉากจบแบบโหดร้ายมากกว่านะ เห็นว่าที่ฉายในเมกา เป็นฉากจบแบบแฮปปี้
อืมๆเข้ามาอ่าน
ชอบรีวิวของหนึ่งแฮะ สังเกตุมาหลายอันละ
มีรายละเอียดยิบย่อยไม่เหมือนใครดี ชอบๆ
ชอบรีวิวของหนึ่งแฮะ สังเกตุมาหลายอันละ
มีรายละเอียดยิบย่อยไม่เหมือนใครดี ชอบๆ
ตอบพี่ปานชะนี
ตอนจบทั้งสามแบบ ก็ไม่ได้มีอันไหนดีซักแบบนะ...
ตอนจบทั้งสามแบบ ก็ไม่ได้มีอันไหนดีซักแบบนะ...
นี่ดูหนังหรือทำวิทยานิพนธ์เนี่ย ทำไมทฤษฎีมันยาวจัง
ได้ความรู้ทฤษฎีเรื่องหนังด้วย ชอบอ่านแฮะรีวิวแบบนี้
ว่าแต่ตกลง เริ่มทำ Thesis แล้วเหรอ
สรุปเรื่องนี้ ต้องใช้สมาธิในการดูอย่างแรงใช่มั๊ย จะได้ รอซับ หรือ ว่า ไปดูในโรงดีหว่า
น่าดูอะ
หาดูได้ที่ไหน หนังใหม่เ้หรอ- - เราตกข่าว
หาดูได้ที่ไหน หนังใหม่เ้หรอ- - เราตกข่าว
อ่อรู้ละ
แงๆเสียดาย เมเจอร์เชียงใหม่ เรื่องนี้ไม่เข้า -*-
อด
แงๆเสียดาย เมเจอร์เชียงใหม่ เรื่องนี้ไม่เข้า -*-
อด
หนังใหม่จ้ะ เข้า 26 พ.ย.
เรื่องนี้พลาดไม่ได้ หุหุ *_*
26นี้ ไม่มีพลาด
แค่อ่านวิจารณ์ก็เสียวแปล้บแล้ว 555+
ขอบคุณสำหรับข้อวิจารณ์และเกร็ดความรู้จ้า
แค่อ่านวิจารณ์ก็เสียวแปล้บแล้ว 555+
ขอบคุณสำหรับข้อวิจารณ์และเกร็ดความรู้จ้า
Function Used time : 0:00:00:00.034