วิจารณ์ของจริง PARANORMAL ACTIVITY

by AguileraAnimato • วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 21:24
เป็นเวลา 2 คืนมาแล้ว ที่ฉันยังไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ หลังจากถูกจับข่มขืนให้เป็นพยานร่วมรับรู้ชะตากรรมสุดสยองของเคธี่ และมิกะ

เป็นเวลา 5 คืนมาแล้ว ที่ฉันยังขนลุกขณะนั่งพิมพ์เล่าความรู้สึกของหนังเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังทาง msn เพราะทุกครั้งฉันจะรู้สึกถึงความชั่วร้ายในหนังกำลังเลื่อนลอยโอบล้อมอยู่รอบข้าง
ฉันยังจำได้ดี ตอนที่ภาพยนตร์จบลง และขึ้นข้อความเล่าถึงสถานะล่าสุดของสองตัวละครในภาพยนตร์ ฉันยังจำได้ดีตอนที่เดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ รีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์ และขึ้นรถกลับบ้าน สายลมหนาวตอนเช้าตรู่พัดเข้ามาปะทะกับใบหน้าที่ห่อหุ้มอารมณ์หดหู่เอาไว้ เหมือนลมหายใจของปีศาจร้ายที่รดต้นคอเคธี่ทุกคืน ตามที่เธอบอกเล่าในเรื่อง

และฉันดีใจที่มันเป็นเพียง “เรื่องสมมุติ”

ตอนกลับมาถึงบ้านฉันเปิดไฟทั้งชั้นล่าง แล้วนอนแผ่หน้าห้องรับแขก โชคดีที่พ่อตื่นแล้ว ไม่งั้นฉันคงทำใจให้หลับไม่ได้.... ฉันถามตัวเองว่าตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุรึเปล่า เพราะอะไรภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทำให้ฉันขวัญเสียได้ขนาดนี้ ฉันจึงลองมานั่งคิดดู

PA ตัดขาดจากการเป็นแฟนตาซีทั้งปวง จริงอยู่ว่าเรื่องผี-วิญญาณ เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เหนือจริง แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงมายาทางภาพยนตร์ และการประดิษฐ์เรื่องเล่าให้มีความสนุกเหลือเชื่อเพื่อปลุกเร้าให้คนดูกลัวจากสิ่งที่ถูกตบแต่งให้เกินจริง สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราได้กลับมาคือความกลัว ความสนุก จากสิ่งที่ไกลตัวจากฐานความเชื่อของตัวเองเหลือเกิน…
ซึ่งลักษณะภาพยนตร์ที่ไม่เน้นการปลุกเร้าเพื่อเข้าถึงอารมณ์คนดู เป็นแนวทางในแบบ realism ซึ่งพบในลักษณะของ หนังข่าว / หนังสารคดี / เทปบันทึกกล้องวงจรปิด

ตามที่ ทฤษฎีรูปทรงนิยม (Formalism Theory) กล่าวว่าภาพยนตร์ถูกแบ่งเป็นสามลักษณะใหญ่ๆ หากวัดกันด้วยรูปทรง; องค์ประกอบ-เทคนิคทางศิลปะที่ใช้แสดงผล


Replies (13)

#1AguileraAnimato • 6/11/2552 21:34
Formalist Theory




Classical (2) คือลักษณะที่เป็นกลาง อันเป็นรูปแบบส่วนใหญ่ของภาพยนตร์โลกปัจจุบัน มีการเล่าเรื่อง การใช้เทคนิคด้านภาพ ตัดต่อแบบทั่วไป โดยเน้นการกระตุ้นอารมณ์คนดูเป็นหลัก
หากเขยิบไปทางขวา ก็จะเป็น Surrealism(3) ฝั่งนี้ก็จะปล่อยของเต็มที่ เน้นการใช้เทคนิคเพื่อสร้างภาพเหนือจริง เส้น สี แสง เสียง การแสดง ความเหนือจริง โดยไม่เน้นการสื่อสารทางอารมณ์เพื่อให้เกิดการเข้าใจทางความหมาย ภาษา แต่ต้องการผลักดันให้ผู้ชมหลุดจากหลักตรรกะเหตุผลเพื่อสำรวจหาความหมายทางจิตด้วยตัวเอง
หากเขยิบไปทางซ้าย Realism(1) ฝั่งนี้จะนิยมความเป็นจริง ไม่ต้องการการตัดต่อเพื่อเสริมอารมณ์ ไม่ต้องการการถ่ายทำเพื่อให้หนังออกมาสวย ไม่ต้องการการแสดงที่ถูกปลุกแต่ง ทุกอย่างเป็นความจริง และผู้กำกับมีหน้าที่เพียงนำกล้องไปบันทึกความจริงเท่านั้น
และนี้แหละคือ Paranormal Activity
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองนั่งงอก่องอขิงชมความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ถึงจริงๆแล้ว มันจะเป็นแค่ “ความเสมือนจริง”ก็ตาม

ในขณะที่หนังอย่าง [*rec], Cloverfield นำหลักการ Realism มาใช้เพื่อสร้างสภาวะเสมือนจริงให้คนดูร่วมรู้สึก แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงหนัง Classical ทั่วไป นั้นคือ มีการตกแต่ง จัดวางองค์ประกอบทางภาพยนตร์ เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ เช่นการตัดต่อถูกจังหวะให้คนตกใจ ตื่นเต้น บทบาทการแสดงจากนักแสดง ทุกอย่างเป็นการsetขึ้นโดยมีการวางแผนมาแล้ว.... ฉะนั้น PA ปราศจากการset เช่นกันเหรอ
ไม่เลย ภาพยนตร์ยังไงก็คือภาพยนตร์ทุกอย่างมีการเตรียมการมาอย่างดี แต่ PA ละลายองค์ประกอบที่ใช้ในการตกแต่ง เร้าอารมณ์ออกให้กลืนหายไปในหนังอย่างแนบเนียน และแยบคาย เพื่อทำให้คนดูรู้สึกเสมือนจริงต่อเหตุการณ์และค่อยๆกลัว

เช่น หนังเปิดเรื่องมาด้วยการบอกคนดูแต่แรกเลยว่า นางเอก (เคธี่) มีประสบการณ์ทางวิญญาณ เธอรู้สึกว่าถูกวิญญาณตามรบกวนมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ... หากใครเคยอ่าน หรือเคยเรียนทฤษฎีสามองก์มาบ้าง ก็คงพอจะรู้คร่าวๆว่า บทภาพยนตร์เกือบทุกเรื่อง สามารถแบ่งออกได้เป็นสามองก์ คือ
1. Introduction เปิดเรื่อง แนะนำตัวละคร และปรากฏเหตุแห่งปัญหาที่ตัวละครต้องเผชิญ
2. Confrontation เป็นการเผชิญหน้าของตัวละครและอุปสรรค อันสืบเนื่องจากองก์แรก
3. Resolution วิธีการแก้ไขปัญหา และบทสรุปของเรื่อง
แต่ใน PA หนังตัดองก์แรกทิ้งไป เพราะบทไม่มีการปูพื้นให้ผู้ชมทราบว่าตัวละครถูกวิญญาณรังควานจากอะไร เราแค่ทราบว่าตัวละครชื่ออะไร โดยไม่มีการเล่าถึงสาเหตุใดใด เพราะแม้แต่ตัวละครเองก็ไม่รู้ ซึ่งหากเป็นแนวทาง Classical องก์แรกก็จะแสดงให้เห็นข้อมูลตัวละคร เห็นการกระทำตัวละครที่ไปอยู่ในสถานที่ และเจอวัตถุต้นกำเนิดแห่งเรื่องราว เห็นการกระทำอันไม่ได้เจตนาของตัวละครที่อาจเผลอ ไปดูวิดีโอต้องคำสาป / เวบไซต์ผีสิง / อ่านตำราปลุกผี เป็นต้น.... แต่ PA บีบองก์แรกออกจนหมด และให้ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นมีเพียงแต่องก์ 2 คือการเผชิญหน้าของตัวละครและวิญญาณตลอดจนจบเรื่อง (อย่าง The Blair Witch Project ยังพออธิบายว่าเป็นการกระทำของสาวกแม่มด ทุกอย่างมีความสอดคล้อง ตัวละครมีเหตุผลที่จะเผชิญความน่าสะพรึงกลัว มีสถานที่ที่กำหนดไว้แล้วว่าอันตราย)
และแน่นอนว่า องก์สาม อันเป็นบทสรุปก็ถูกบีบให้เหลือแต่การขึ้นตัวอักษรทิ้งท้ายเท่านั้น
เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงบทสรุปการแก้ปัญหาของตัวละคร เนื่องจากตัวละครแทบไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย
ตัวละครในหนังจึงเปรียบเสมือนมนุษย์จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตัวละครในภาพยนตร์ที่โครงสร้างdrama ปลุกเร้าให้เจอปัญหา เผชิญปัญหา แก้ไขปัญหา ตามลำดับ

ทีนี้ในตลอดทั้งเรื่อง บทหนังก็ไม่ได้พัฒนาลำดับการปลุกเร้าอารมณ์จนเป็น classical เพื่อความบันเทิงแก่ผู้ชม ในฐานะที่กล้องวิดีโอแทนดวงตาของผู้ชม เราทำได้แค่ทนดูโฮม วิดีโอ อันยืดยาว ซึ่งในความน่าเบื่อนั้นก็คือจุดประสงค์นึงที่ผกก. ต้องการผลักคนดูออกจากความเป็นหนังกระแสหลัก ที่มีการเขียนบทสนทนาให้ดูน่าสนใจ.... การปรากฏตัวของวิญญาณ ก็ไม่ได้ถูกใส่ลำดับมาตามสูตรทีละนิด ทีละนิด แต่หนังเรื่องนี้ให้วิญญาณปรากฏตัวในเฉพาะช่วงเวลา ตี2-ตี3 (อ้างอิงความเชื่อทางตะวันตก จากเรื่อง The Exorcism of Emily Rose ที่ว่าปีศาจร้ายมีอำนาจสูงสุดในเวลาช่วงนั้น) นอกจากจะสอดคล้องกับหลักความเชื่อของตะวันตกแล้ว เรื่องการสร้างลักษณะปรากฏซ้ำๆทางช่วงเวลา ยังมีประโยชน์ในการที่ผกก. ไม่ต้องการสร้างความประหลาดใจคนดู ในการคอยลุ้นการปรากฏตัวของวิญญาณแต่อย่างใด ว่าจะโผล่มาตอนไหน ให้เร้าอารมณ์ความผวาจนสูฐเสียแนวทางสัจจะนิยมของหนังไป

รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศความลึกลับ อันไร้ซึ่งคำตอบและการพิสูจน์ต่างๆ (หากเป็นหนัง classical ทุกอย่างจะเป็นหลักฐาน กุญแจที่ชี้นำให้ตัวละครผูกโยงเรื่องราว และไขที่มาของวิญญาณได้) แต่ในหนังเรื่องนี้ มีการทิ้งวัตถุ อันเป็นคีย์ (หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้) ไว้ตามที่ต่างๆ โดยที่ตัวละครเองก็ได้แต่สงสัยถึงที่มา แต่ก็ไม่สามารถไขปริศนาได้เลยว่ามันหมายถึงอะไร
เช่น รูปถ่ายที่เจอในห้องใต้หลังคา / เสียงประหลาดที่บันทึกได้ตอนตีสาม / ข้อมูลผู้หญิงคนนึงในเวบไซต์ / การละเมอ หรืออยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นของเคธี่ / รอยร้าวบนกรอบรูป / รอยไหม้บนกระดานผีถ้วยแก้ว
ทุกอย่างเป็นเพียงชิ้นส่วนปริศนาที่ไม่เชื่อมโยงถึงกัน ไม่สามารถหาคำตอบได้ ซึ่งมันให้ความรู้สึกสมจริงสำหรับเราเหลือเกิน ในความเป็นจริงไม่ใช่บทภาพยนตร์ที่ถูกจัดวางให้ประกอบชิ้นส่วนความลับได้อย่างง่ายดาย เหมือนการแกะรอย ชีวิตจริงมันคือปริศนาดำมืดของการดำรงอยู่....
ซึ่งเมื่อทุกอย่างไม่มีคำอธิบาย จิตของคนดูก็จะเริ่มสร้างคำตอบให้แก่ตัวเองทีละเล็ก ทีละน้อย อย่างเรา เราคิดว่าอาจเป็นวิญญาณคนรักจากชาติภพที่แล้วของมิกะที่อาฆาต จองเวรตัวเคธี่ที่มาแย่งคนรักตัวเองไป อันนี้ก็สืบเนื่องมาจาก ที่มีตัวละครผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณพูดประมาณว่า “พวกคุณสองคนต้องเข้าใจกัน ประคับประตองให้สภาพจิตคงตัว ไม่งั้นอำนาจมืดจะเข้ามามีอำนาจได้”

ในส่วนของการปรากฏตัวของวิญญาณนั้น ไม่มีฉากใดเลยที่ออกมาเป็นรุปเป็นร่างในสภาพน่าเกลียดน่ากลัว แต่มาในสภาพไร้รูปร่าง เป็นเพียงแค่เสียง เงา หรือรอยยับบนผ้าห่ม ซึ่งเป็นการเข้าเสริมจินตนาการในก้นบึ้งจิตใจคนดูให้วาดภาพปีศาจร้ายได้เต็มที่ เราไม่อาจมองเห็นมัน แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณร้ายตลอดเวลา

และสุดท้ายที่ทำให้หนังเรื่องน่ากลัวสุดๆในความรู้สึกเรา มีอยู่สองอย่างคือหนึ่ง การปรากฎตัวของวิญญาณในช่วงเวลาที่เรานอนหลับ มันทำให้เราเชื่อว่า
ขณะที่เราหลับอยู่นั้น บางอย่างไม่เคยหลับ และมันรอคอยโอกาสแวะเข้ามาหาเราถึงตัว!!! (แบบเดียวกับที่ a nightmare on elm st. ทำสำเร็จมาแล้ว/ แต่นั้นเป็นแฟนซีในการสร้างสถานการณ์ปิดล้อม)
นอกจากนั้น อีกหนึ่งความพิเศษคือ ปกติของหนังระทึก-สยองขวัญที่ใช้กล้องวิดีโอ ตัวของกล้องจะเคลื่อนที่ไปพร้อมกับตัวละครเสมอๆ เพื่อให้คนดูรู้สึกเป็นส่วนนึงของตัวละคร เป็นผู้สำรวจและพบเห็นเหตุการณ์ไปพร้อมๆกับตัวละคร
แต่ในหนังเรื่องนี้ 80%ของฉากน่ากลัว กล้องถูกตั้งอยู่กับที่ตลอดเวลา... ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ กล้องทำหน้าที่เป็นผู้สำรวจไปพร้อมๆกับตัวละครที่ตื่นตัว เดินทางเผชิญอันตราย
แต่กล้องในเรื่องนี้ แทนสายตาคนดูในฐานะ ผู้นั่งสังเกตการณ์ นั่งเฉยๆ แล้วรอดูอันตรายปรากฏตัวต่อหน้าตัวละครในขณะที่หลับใหลแทน

หากกล้องแทนสายตาของคนดู หนังเรื่องนี้ก็จับคนดูให้อยู่ในฐานะเดียวกับตัวละคร ในยามตื่น แล้วจากนั้นตอนดึก ในขณะที่ตัวละครหลับลง สายตาคนดูก็เป็นเอกเทศจากตัวละครที่หลับ เป็นเพียงยามสังเกตการณ์ที่ตั้งนิ่ง static แต่เพียงลำพัง รอดูผู้มาเยือนยามวิกาล ณ เวลา ตี2-ตี3 อย่างนิ่งงัน ลำพังไม่อาจขยับ (ยกเว้นจะปิด / หลับตา)

เพราะฉะนั้นในฉากการปรากฎตัวครั้งสุดท้าย จึงกลายเป็นความน่ากลัวอย่างแท้จริง เมื่อความคาดหมายปะทะเข้ากับกล้องอย่างรุนแรง จนกล้องกระเทือนและสูญเสียที่มั่นในการตั้ง มันไม่ใช่เป็นเพียงมุกอำลาสิ้นคิดที่อยากจะถล่มกล้องให้คนดูขวัญหายอย่างไร้เหตุผล แต่การถล่มใส่กล้องอย่างรุนแรงย่อมหมายถึงคนดูเองก็ได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบไปพร้อมๆกับชะตาชีวิตของตัวละครแล้วเช่นกัน
แก้ไขล่าสุด: 6/11/2552 21:36 โดย AguileraAnimato
#2labelle ~ * • 6/11/2552 22:08
มันต้องไปดูในโรงเท่านั้นใช่มั๊ยถึงจะได้อารมณ์

จริงๆ อยากดูแบบ DVD เพราะเห็นใน Starpic บอกว่า
อิตา ผู้กำกับ จะเอาฉากจบทั้งหมดที่มี ใส่ลงไปใน DVD

อยากดูฉากจบ ของตัวแรกมากๆ
ที่เป็นรอบทดลองฉายอะ
#3knompang • 6/11/2552 22:11
ทฟษฎี เยอะมากค่ะ ณ จุดๆเน้ เอาไว้ไปดูในโรงเอาเลยดีกั่ว ได้ข่าวว่าป้าออยจะเลี้ยงงงง อิอิ
#4ป่านฉะนี้เธออยู่ดีไฉน • 6/11/2552 22:54
อยากดูมั่ก ๆๆๆๆๆๆ
ชอบฉากจบแบบโหดร้ายมากกว่านะ เห็นว่าที่ฉายในเมกา เป็นฉากจบแบบแฮปปี้
#5Grandfailure • 7/11/2552 01:14
อืมๆเข้ามาอ่าน

ชอบรีวิวของหนึ่งแฮะ สังเกตุมาหลายอันละ
มีรายละเอียดยิบย่อยไม่เหมือนใครดี ชอบๆ
#6AguileraAnimato • 7/11/2552 09:53
ตอบพี่ปานชะนี

ตอนจบทั้งสามแบบ ก็ไม่ได้มีอันไหนดีซักแบบนะ...
#7overseer • 7/11/2552 09:58
นี่ดูหนังหรือทำวิทยานิพนธ์เนี่ย ทำไมทฤษฎีมันยาวจัง
#8แคปซูลสีฟ้า • 7/11/2552 10:09

ได้ความรู้ทฤษฎีเรื่องหนังด้วย ชอบอ่านแฮะรีวิวแบบนี้

ว่าแต่ตกลง เริ่มทำ Thesis แล้วเหรอ

สรุปเรื่องนี้ ต้องใช้สมาธิในการดูอย่างแรงใช่มั๊ย จะได้ รอซับ หรือ ว่า ไปดูในโรงดีหว่า

#9narokkii • 7/11/2552 11:09
น่าดูอะ

หาดูได้ที่ไหน หนังใหม่เ้หรอ- - เราตกข่าว
#10narokkii • 7/11/2552 11:20
อ่อรู้ละ

แงๆเสียดาย เมเจอร์เชียงใหม่ เรื่องนี้ไม่เข้า -*-

อด
#11AguileraAnimato • 7/11/2552 11:20
หนังใหม่จ้ะ เข้า 26 พ.ย.
#12SWEET ADGE • 7/11/2552 12:26
เรื่องนี้พลาดไม่ได้ หุหุ *_*
#13Poiily • 18/11/2552 09:56
26นี้ ไม่มีพลาด
แค่อ่านวิจารณ์ก็เสียวแปล้บแล้ว 555+

ขอบคุณสำหรับข้อวิจารณ์และเกร็ดความรู้จ้า
Login
Function Used time : 0:00:00:00.034
Go Last