Mama : มะมา...ท่าดีทีเหลว (สปอยส์)
by Icover • วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 22:24
ขอวิจารณ์แบบเป็นกันเอง มั่วๆ ห้วนๆตามสไตล์เรานะคะ

Mama - ผีหลวงลูก ต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่รอคอยอีกเรื่องของปี 2013 ที่สาบานกับตัวเองว่าต้องไม่พลาด เพราะหลังจากดูตัวอย่าง และคลิปหนังสั้นแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้สั่นประสาทได้ในระดับนึง แต่หลังจากที่ตัวเองได้ตีตั๋วเข้าไปดูเมื่อวานนี้ รู้สึกว่า"พลาด"เล็กๆในระดับนึง เพราะจริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ดูในรูปแบบแผ่นหรือรอเคเบิ้ลท้องถิ่นเอามาฉายก็ได้
...ตัวหนังไม่มีอะไรแปลกใหม่ และรู้สึกได้ว่าตัวหนังได้รับอิทธิพลจาก poltergeist ฉบับ Tobe Hooper มาพอสมควร
หนังทำได้ดีในช่วง 70 นาทีแรก ไม่ว่าจะเป็นบรรยายกาศ เพลงประกอบ บท การแสดง ปมลึกลับ มิติของตัวละคร แต่หลังจากที่ปมต่างๆเริ่มเฉลย มันคือความน่าเบื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การแสดงที่ยอดเยี่ยม ความสมเหตุสมผล ความหลอนที่สะสมมา ความน่าจะเป็นพังทะลายในพริบตา ราวกับเป็นผู้กำกับคนละๆคน นำไปสู่บทสรุปจบของหนังที่เรียกว่า "ง่อย" เลยหล่ะ ทุกอย่างที่ผ่านมากลายเป็นไม่มีเหตุผล ไม่น่าเชื่อถือ จากความสยองกลายมาเป็นความแฟนตาซีแทน ซึ่งในฐานะคอหนังสยองขวัญอย่างเรา บอกตรงๆว่าเปลี่ยนอารมณ์ไม่ถูก+ไม่ทัน จึงกลายเป็นรับไม่ได้อย่างแรง
ข้อดี
1.พล็อตเรื่องน่าสนใจ ลึกลับ ตัวอย่างตัดต่อดี หนังสั้นที่ปล่อยเรียกกระแสทำได้เจ๋ง
2.นางเอกและเด็ก 2 คนเล่นดี (น่ารักด้วย)
3.บรรยากาศหลอน โดยเฉพาะฉากในบ้าน
4.ดนตรีประกอบอลังการงานสร้าง
ข้อเสีย
1.ไม่น่ากลัวเลย มีตกใจประมาณ 3 ฉาก แต่อย่างที่บอกในข้อดี คือ ตัวบรรยากาศของหนังหลอนมากๆ ทำให้เราเตรียมตัวจะปิดต่า แต่เอาจริงก็ไม่มีอะไรมาก
2.นาทีที่ 71 ของหนังจนจบ (โดยประมาณ)
3.ผีซีจีทั้งเรื่อง
4.ปมเฉลยของหนังที่ไม่น่าเชื่อถือและมีน้ำหนักพอ ไม่อิน ไม่ซึ้งอะไรทั้งนั้น
5.ตอนจบที่เน้นเป็นความแฟนตาซี-ดราม่ามากกว่าความสยอง ก็แหงหล่ะหนังได้เรต พีจี-13 จึงได้ผลพลอยได้คือทำเงินอันดับ 1 box office ไป 2 อาทิตย์
**จุดบอด-จุดเปลี่ยนของหนัง - มีการสปอยส์ แนะนำให้เลื่อนหากไม่อยากรู้บางส่วนของหนัง***
-หนังเรื่องนี้เปิดเรื่องทำได้ดี เกริ่นนำและบิ้วบรรยากาศได้ขนลุกในระดับนึง ทำให้มีความน่าติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อไป โดยเฉพาะฉากในบ้านที่สามารถเล่าอะไรได้เยอะและสามารถออกออกแบบฉากผีหลอกได้หลากหลาย แต่ ผกก กลับไม่ทำ ดันไปเล่าเรื่องที่โรงพยาบาล, สถานที่บำบัด และป่าซะเยอะทั้งที่เสียเวลาเปล่าๆ หน้ำซ้ำยังไปแชร์บทกับตัวละครจิตแพทย์ ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่จำเป็นก็ได้
- อีกอย่างตัวละครหลายๆตัวช่วงแรก ผกก. ทำให้ตัวละครเหล่านี้มีมิติขึ้นมา แต่กลับไม่ใช้งานอะไรเลย อย่างป้าของเด็กๆที่ดูร้ายๆแต่ตายง๊ายง่าย พระเอกที่รักหลานทั้ง 2 แต่กลับโดนผีหลอกตกบันไดขาหักตั้งแต่ต้นๆเรื่อง รวมทั้งนางเอกที่เหมือนลึกๆจะร้ายกาจ แต่กลับไม่มีอะไรทั้งนั้น
-และมาถึงช่วงหลังที่การกระทำตัวละครทำพฤติกรรมไม่น่าเป็นไปได้ เช่น พระเอกอยู่โรงบาลแล้วตัดสินใจเช่ารถออกไปหาความจริงคนเดียวในป่า (คือไม่ห่วงเมียกับหลานๆเลย?) แล้วหลังจากนางเอกและเด็กๆโดนผีหลอกในบ้าน ผีก็ลักพาตัวเด็กไปในป่า นางเอกสลบไปพอฟื้นก็ขับรถตามไป (นางรู้ได้ไงว่าเด็กหายไปอยู่ที่นั้น) แถมไม่พอมาเจอพระเอกกลางทางอีก (บังเอิญไปเปล่า) และอีกหลายๆอย่างที่ไม่ขอพิมพ์ดีกว่า เดี๋ยวอารมณ์จะเสียไปมากกว่านี้
สำหรับฉากนี้ คือ ฉากที่สยองที่สุดของหนังแล้ว
ภาพรวมทั้งหมดให้ 5/10 ค่ะ เสียดายชื่อกิลเดอโม เดลโทโร่ แม้ว่าจะเป็นแค่ producer ก็ตาม ก่อนหน้านี้เอาชื่อไปทิ้งกับ Don't Be Afraid of the Dark มารอบนึงแล้วแท้ๆ

Mama - ผีหลวงลูก ต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่รอคอยอีกเรื่องของปี 2013 ที่สาบานกับตัวเองว่าต้องไม่พลาด เพราะหลังจากดูตัวอย่าง และคลิปหนังสั้นแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้สั่นประสาทได้ในระดับนึง แต่หลังจากที่ตัวเองได้ตีตั๋วเข้าไปดูเมื่อวานนี้ รู้สึกว่า"พลาด"เล็กๆในระดับนึง เพราะจริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ดูในรูปแบบแผ่นหรือรอเคเบิ้ลท้องถิ่นเอามาฉายก็ได้
...ตัวหนังไม่มีอะไรแปลกใหม่ และรู้สึกได้ว่าตัวหนังได้รับอิทธิพลจาก poltergeist ฉบับ Tobe Hooper มาพอสมควร
หนังทำได้ดีในช่วง 70 นาทีแรก ไม่ว่าจะเป็นบรรยายกาศ เพลงประกอบ บท การแสดง ปมลึกลับ มิติของตัวละคร แต่หลังจากที่ปมต่างๆเริ่มเฉลย มันคือความน่าเบื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การแสดงที่ยอดเยี่ยม ความสมเหตุสมผล ความหลอนที่สะสมมา ความน่าจะเป็นพังทะลายในพริบตา ราวกับเป็นผู้กำกับคนละๆคน นำไปสู่บทสรุปจบของหนังที่เรียกว่า "ง่อย" เลยหล่ะ ทุกอย่างที่ผ่านมากลายเป็นไม่มีเหตุผล ไม่น่าเชื่อถือ จากความสยองกลายมาเป็นความแฟนตาซีแทน ซึ่งในฐานะคอหนังสยองขวัญอย่างเรา บอกตรงๆว่าเปลี่ยนอารมณ์ไม่ถูก+ไม่ทัน จึงกลายเป็นรับไม่ได้อย่างแรง
ข้อดี
1.พล็อตเรื่องน่าสนใจ ลึกลับ ตัวอย่างตัดต่อดี หนังสั้นที่ปล่อยเรียกกระแสทำได้เจ๋ง
2.นางเอกและเด็ก 2 คนเล่นดี (น่ารักด้วย)
3.บรรยากาศหลอน โดยเฉพาะฉากในบ้าน
4.ดนตรีประกอบอลังการงานสร้าง
ข้อเสีย
1.ไม่น่ากลัวเลย มีตกใจประมาณ 3 ฉาก แต่อย่างที่บอกในข้อดี คือ ตัวบรรยากาศของหนังหลอนมากๆ ทำให้เราเตรียมตัวจะปิดต่า แต่เอาจริงก็ไม่มีอะไรมาก
2.นาทีที่ 71 ของหนังจนจบ (โดยประมาณ)
3.ผีซีจีทั้งเรื่อง
4.ปมเฉลยของหนังที่ไม่น่าเชื่อถือและมีน้ำหนักพอ ไม่อิน ไม่ซึ้งอะไรทั้งนั้น
5.ตอนจบที่เน้นเป็นความแฟนตาซี-ดราม่ามากกว่าความสยอง ก็แหงหล่ะหนังได้เรต พีจี-13 จึงได้ผลพลอยได้คือทำเงินอันดับ 1 box office ไป 2 อาทิตย์
**จุดบอด-จุดเปลี่ยนของหนัง - มีการสปอยส์ แนะนำให้เลื่อนหากไม่อยากรู้บางส่วนของหนัง***
-หนังเรื่องนี้เปิดเรื่องทำได้ดี เกริ่นนำและบิ้วบรรยากาศได้ขนลุกในระดับนึง ทำให้มีความน่าติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อไป โดยเฉพาะฉากในบ้านที่สามารถเล่าอะไรได้เยอะและสามารถออกออกแบบฉากผีหลอกได้หลากหลาย แต่ ผกก กลับไม่ทำ ดันไปเล่าเรื่องที่โรงพยาบาล, สถานที่บำบัด และป่าซะเยอะทั้งที่เสียเวลาเปล่าๆ หน้ำซ้ำยังไปแชร์บทกับตัวละครจิตแพทย์ ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่จำเป็นก็ได้
- อีกอย่างตัวละครหลายๆตัวช่วงแรก ผกก. ทำให้ตัวละครเหล่านี้มีมิติขึ้นมา แต่กลับไม่ใช้งานอะไรเลย อย่างป้าของเด็กๆที่ดูร้ายๆแต่ตายง๊ายง่าย พระเอกที่รักหลานทั้ง 2 แต่กลับโดนผีหลอกตกบันไดขาหักตั้งแต่ต้นๆเรื่อง รวมทั้งนางเอกที่เหมือนลึกๆจะร้ายกาจ แต่กลับไม่มีอะไรทั้งนั้น
-และมาถึงช่วงหลังที่การกระทำตัวละครทำพฤติกรรมไม่น่าเป็นไปได้ เช่น พระเอกอยู่โรงบาลแล้วตัดสินใจเช่ารถออกไปหาความจริงคนเดียวในป่า (คือไม่ห่วงเมียกับหลานๆเลย?) แล้วหลังจากนางเอกและเด็กๆโดนผีหลอกในบ้าน ผีก็ลักพาตัวเด็กไปในป่า นางเอกสลบไปพอฟื้นก็ขับรถตามไป (นางรู้ได้ไงว่าเด็กหายไปอยู่ที่นั้น) แถมไม่พอมาเจอพระเอกกลางทางอีก (บังเอิญไปเปล่า) และอีกหลายๆอย่างที่ไม่ขอพิมพ์ดีกว่า เดี๋ยวอารมณ์จะเสียไปมากกว่านี้
สำหรับฉากนี้ คือ ฉากที่สยองที่สุดของหนังแล้ว
ภาพรวมทั้งหมดให้ 5/10 ค่ะ เสียดายชื่อกิลเดอโม เดลโทโร่ แม้ว่าจะเป็นแค่ producer ก็ตาม ก่อนหน้านี้เอาชื่อไปทิ้งกับ Don't Be Afraid of the Dark มารอบนึงแล้วแท้ๆ
Replies (5)
ถ้าคุณ Icover เฟริม เราก็เลิกดูละ :P
ความเห็นเรา
เราว่าตัวเรื่องเอาจริงๆมันเป็นอะไรที่พอจะเดาได้ และค่อนข้างน่าเบื่อนะ คือเป็นสามองก์หนังสยองที่คลาสสิคไปจนค่อนนอนแน่แช่แป้ง แล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรจะชวนเซอร์ไพร์ส คือด้วยความที่เส้นเรื่องมันธรรมดาๆ หนังเลยพยายามเอนเตอร์เทนคนดูด้วยมุกผีหลอกที่สอดแทรกมาเป็นระยะ ซึ่งก็เอิ่มมม ไม่ค่อยผ่านอ่ะจ้ะ ยังไม่ดีพอ...
กลายเป็นว่ากุมารีสองศรีพี่น้องเป็นตัวอุ้มชูหนังที่ธรรมดา ให้ดูไม่ธรรมดาขึ้นมา แคสติ้งดีมีชัยไปกว่าครึ่ง สองนางเล่นดีจริงๆ creepy มากๆ
ส่วนตัวผี ตอนแรกเราก็แอนตี้นะที่ทำผี CG (คือดูบอดี้ ศพ 19 มากไปป่ะ) แต่พอมานึกถึงบรรยากาศของหนังที่มีเดลโทโร่คุมบังเหียน หรือหนังสยองที่มาจากสเปน หรือมีพวกสเปนมาคุม มันจะติดกลิ่นหวานๆแบบเทพนิยายนิดๆ เป็นบรรยากาศที่ไม่ใช่แบบหนังสยองแบบโคตรผีดุ หรือผีตลกแดก มันจะมีอารมณ์แฟนซีๆคลุกเคล้าไปกับเรื่องราวหรือโครงสร้างแบบแฟรี่เทลว์ พอคิดแบบนี้เราก็เลยค่อนข้างรับไหวกับผีซีจีในหนัง(อืมม จะว่าไปมันก็เหมือนผู้คุมวิญญาณนะ)
สำหรับตอนจบ เราชอบจัง เราว่ามันเป็นการเลือกบทสรุปที่กล้าหาญดี เราว่าหนังมันจบแบบแฮปปี้ เอนดิ้งนะ การที่คนบอกว่ามันเศร้า เพราะคุณยืนข้างมนุษย์ไง แต่ถ้าคุณมองว่าสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งมีชีวิต และไร้ชีวิต มีศักดิ์ศรีเท่ากัน การจบแบบนี้ก็แฟร์แล้ว และกรุณาอย่าคิดแทนเด็ก เพราะเด็กย่อมรู้ดีว่าบ้านหลังไหนที่เค้าอยากไป หนังทำให้เรานึกถึง The Tall Man นิดๆ เอ๊ะแต่จะว่าไป มันก็เหมือน Kramer vs. Kramer ด้วยรึเป่า
ป.ล. อีกนิดนึงงงงง คือสังเกตไหมว่าในเรื่องเล่า ตำนาน หรือหนังที่มีผีมาเกี่ยวข้องกับ พ่อ แม่ ลูก ทำไมพ่อ หรือตัวผู้ชายมักไม่ค่อยมีบทบาท เช่น ทำไมทำแท้ง ผีถึงไปหลอกแต่แม่ ไม่มาหลอกพ่อบ้าง หรือเอาง่ายๆเลย เรื่องนี้อ่ะ
ตัวมาม่า มันก็คือผีผู้หญิงที่ไปเอาลูกของผู้ชายคนนึงที่ตายไปแล้ว มาเลี้ยงเป็นลูกตัวเอง
คำถามคือ ทำไมผีผู้ชายถึงไม่ออกมาต่อสู้แย่งลูกของตัวเอง อย่าลืมว่ามึงก็เป็นผีเหมือนกัน มึงอยู่ในเลเวลเดียวกัน ทำไมจึงมีแต่ผีผู้หญิงที่มีอิทธิฤทธิ์ในการสำแดงอำนาจแต่ฝ่ายเดียว
เราว่าตัวเรื่องเอาจริงๆมันเป็นอะไรที่พอจะเดาได้ และค่อนข้างน่าเบื่อนะ คือเป็นสามองก์หนังสยองที่คลาสสิคไปจนค่อนนอนแน่แช่แป้ง แล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรจะชวนเซอร์ไพร์ส คือด้วยความที่เส้นเรื่องมันธรรมดาๆ หนังเลยพยายามเอนเตอร์เทนคนดูด้วยมุกผีหลอกที่สอดแทรกมาเป็นระยะ ซึ่งก็เอิ่มมม ไม่ค่อยผ่านอ่ะจ้ะ ยังไม่ดีพอ...
กลายเป็นว่ากุมารีสองศรีพี่น้องเป็นตัวอุ้มชูหนังที่ธรรมดา ให้ดูไม่ธรรมดาขึ้นมา แคสติ้งดีมีชัยไปกว่าครึ่ง สองนางเล่นดีจริงๆ creepy มากๆ
ส่วนตัวผี ตอนแรกเราก็แอนตี้นะที่ทำผี CG (คือดูบอดี้ ศพ 19 มากไปป่ะ) แต่พอมานึกถึงบรรยากาศของหนังที่มีเดลโทโร่คุมบังเหียน หรือหนังสยองที่มาจากสเปน หรือมีพวกสเปนมาคุม มันจะติดกลิ่นหวานๆแบบเทพนิยายนิดๆ เป็นบรรยากาศที่ไม่ใช่แบบหนังสยองแบบโคตรผีดุ หรือผีตลกแดก มันจะมีอารมณ์แฟนซีๆคลุกเคล้าไปกับเรื่องราวหรือโครงสร้างแบบแฟรี่เทลว์ พอคิดแบบนี้เราก็เลยค่อนข้างรับไหวกับผีซีจีในหนัง(อืมม จะว่าไปมันก็เหมือนผู้คุมวิญญาณนะ)
สำหรับตอนจบ เราชอบจัง เราว่ามันเป็นการเลือกบทสรุปที่กล้าหาญดี เราว่าหนังมันจบแบบแฮปปี้ เอนดิ้งนะ การที่คนบอกว่ามันเศร้า เพราะคุณยืนข้างมนุษย์ไง แต่ถ้าคุณมองว่าสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งมีชีวิต และไร้ชีวิต มีศักดิ์ศรีเท่ากัน การจบแบบนี้ก็แฟร์แล้ว และกรุณาอย่าคิดแทนเด็ก เพราะเด็กย่อมรู้ดีว่าบ้านหลังไหนที่เค้าอยากไป หนังทำให้เรานึกถึง The Tall Man นิดๆ เอ๊ะแต่จะว่าไป มันก็เหมือน Kramer vs. Kramer ด้วยรึเป่า
ป.ล. อีกนิดนึงงงงง คือสังเกตไหมว่าในเรื่องเล่า ตำนาน หรือหนังที่มีผีมาเกี่ยวข้องกับ พ่อ แม่ ลูก ทำไมพ่อ หรือตัวผู้ชายมักไม่ค่อยมีบทบาท เช่น ทำไมทำแท้ง ผีถึงไปหลอกแต่แม่ ไม่มาหลอกพ่อบ้าง หรือเอาง่ายๆเลย เรื่องนี้อ่ะ
ตัวมาม่า มันก็คือผีผู้หญิงที่ไปเอาลูกของผู้ชายคนนึงที่ตายไปแล้ว มาเลี้ยงเป็นลูกตัวเอง
คำถามคือ ทำไมผีผู้ชายถึงไม่ออกมาต่อสู้แย่งลูกของตัวเอง อย่าลืมว่ามึงก็เป็นผีเหมือนกัน มึงอยู่ในเลเวลเดียวกัน ทำไมจึงมีแต่ผีผู้หญิงที่มีอิทธิฤทธิ์ในการสำแดงอำนาจแต่ฝ่ายเดียว
ดูแล้ว เฉยสนิทเลยครับ ไร้ซึ่งความน่ากลัว
พอเห็นหน้าผี MAMA ผมดันนึกถึง ตัวนางแบบ ของจุนจิ อิโต้ 5555
พอเห็นหน้าผี MAMA ผมดันนึกถึง ตัวนางแบบ ของจุนจิ อิโต้ 5555
ได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าในฉากท้ายๆกันบ้างไหม?
^_______________^
^_______________^
ค่ะ พยายามนึกถึงข้อดีและสิ่งที่หนังสอน/สื่อออกมา
คือ...
"เราควรเลือกอยู่กับคนที่เรารักและรักเรา"
คือ...
"เราควรเลือกอยู่กับคนที่เรารักและรักเรา"
Function Used time : 0:00:00:00.014