"คุณไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวในโลก" ครับ นึกออกยัง

ผมก็งงมั่กครับ ขอสปอยด้วยคน

เอาตามที่เข้าใจนะคะ

ชายหนุ่มจับได้ว่าแฟนนอกใจ พยายามจะยื้อแฟนสาวเอาไว้ แต่แฟนสาวก็หนีไปหาหนุ่มอีกคนจนได้ ชายหนุ่มตามไปจนไปถึงจุดที่แฟนกับหนุ่มอีกคนนัดพบกัน ชายหนุ่มจึงบันดาลโทสะฆ่าหญิงสาวตาย

แต่ในจังหวะนั้น หนุ่มที่นัดไว้ดันมาเห็นพอดี ชายหนุ่มจึงเอาศพหญิงสาวไปซ่อน และเพื่อให้แน่ใจว่าหนุ่มอีกคนหาศพไม่เจอแน่จึงไปถ่ายรูปศพทุกวันเพื่อเป็นการยืนยันว่าไม่มีใครเจอศพ พร้อมกับเริ่มหลอกตัวเองว่าแม้หญิงสาวจะตายแล้ว ก็ยังเหมือนมีชีวิตอยู่

แต่พอนานวันเข้า ชายหนุ่มก็เริ่มรับสภาพนี้ไม่ได้ ตัดสินใจจะทิ้งทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ ความคิดที่สับสนปนเปทำให้ชายหนุ่มเริ่มหลอน และพอจะไปหาศพ กลับพบว่าศพหายไป หาก็ไม่เจอ ชายหนุ่มเลยเกิดกังวลว่าใครมาเอาศพไป จนหลอนหนัก และในระหว่างนั้นเอง กลับมีคนส่งรูปศพมาให้ ชายหนุ่มถึงได้รู้ว่าคนที่มาเอาศพไปคือหนุ่มอีกคน

ให้เข้าใจก่อนว่า ธีมของเรื่องนี้คือ ภาพในความคิดของชายหนุ่มที่ฆ่าคนรักของตัวเอง ไม่ใช่การแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์จริงของชายหนุ่มคนหนึ่งฆ่าคนรัก เพราะฉะนั้นภาพที่หนังถ่ายทอดให้เราเห็นในเรื่องนี้ จึงเป็นการฉายภาพตามมุมมองของชายหนุ่มที่ได้ฆ่าคนรักลงไป

ดังนั้นภาพที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน อาจจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง รวมทั้งอาจเป็นภาพและเสียงที่บิดเบือนก็ได้ ดูได้จากภาพถ่ายหญิงสาวกับกรงม้าลาย ที่ตอนแรกเห็นเพียงหญิงสาวกับกรงร้าง แต่ในตอนท้ายๆ กลับกลายเป็นว่ามีม้าลายอยู่ในกรงนั้น หรือตอนบีบคอก็จะพบว่าสถานที่ที่ทั้งสองคนอยู่ไม่ต่อเนื่องกันระหว่างขณะกำลังจะบีบ กับบีบ

เรื่องนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์กันทั้งเรื่องแม้แต่ประโยคคำพูดและบทสนทนา ดังนั้น จะเข้าใจสิ่งที่หนังต้องการสื่อได้ ก็ต้องถอดสัญลักษณ์ที่หนังทิ้งไว้เสียก่อน

สวนสัตว์เป็นสัญลักษณ์แทนการถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว ไม่มีอิสระ และวังวน

สำหรับหญิงสาว การยึดติดในตัวหญิงสาวของตาแว่น ไม่ยอมปล่อยหล่อนไปหาหนุ่มที่รัก ทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนถูกกักขังอยู่ในสวนสัตว์ สวยงาม สะดวกสบายแต่ไม่มีความสุข

และการถวิลหาแต่หนุ่มอีกคน ก็เหมือนกับหล่อนหลงอยู่ในวังวนความรู้สึกเดิมๆ (ตีจากประโยคที่หญิงสาวพูดถึงม้าลาย)

สำหรับตาแว่น การยึดติดอยู่แต่กับหญิงสาว ทำให้ตัวเองเหมือนถูกกักขังอยู่ในสวนสัตว์ที่ตัวเองสร้างขึ้น หลงอยู่ในวังวนของความหลง หลงในตัวหญิงสาว และต้องการครอบครองด้วยการใช้ทุกวิถีทางแบบไม่ลืมหูลืมตา (ตรงนี้ตีจากที่หญิงสาวพูดว่า แล้วคุณที่เข้าไปในกรงของตัวเองน่ะ สามารถไขกรงออกมาได้รึเปล่าล่ะ? และดูได้จากชายหนุ่มใส่ชุดเดิมตลอดทั้งเรื่องแสดงถึงความรักที่มีต่อหญิงสาวที่ไม่เปลี่ยนแปลง ตอนก่อนจะฆ่าใส่เสื้อตัวไหน ฆ่าแล้วก็ยังใส่ตัวเดิม)

ม้าลายเป็นสัญลักษณ์แทนผู้ชายอีกคนของหญิงสาว ซึ่งจะเป็นแฟนเก่าที่เลิกรากันไป หรืออาจจะเป็นกิ๊กหรือคนที่แอบรักข้างเดียวก็ได้ (ตีจากประโยคที่หญิงสาวพูดถึงม้าลายว่าอดีตเคยหลงม้าลาย ขนาดคนอื่นไปที่อื่นแล้วก็ยังไม่รู้ตัว)

เสียงโทรศัพท์เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงการรู้ตัว การยอมรับความจริง ให้สังเกตว่าในเรื่องนี้ ตาแว่นตื่นจากความฝันทุกครั้งที่มีเสียงโทรศัพท์ดัง แต่ตาแว่นไม่เคยรับเลยจนกระทั่งตอนสุดท้าย เพราะการรับโทรศัพท์สำหรับตาแว่น จะเท่ากับยอมรับว่าแฟนมีคนอื่น และคนคนนั้นเอาศพของหล่อนไปแล้ว

ดังนั้นประโยคสุดท้ายที่หญิงสาวพูดและจขกท.สงสัยว่าพูดทำไมจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง (หรือก็คือผู้หญิงไม่ได้โทรมาหาในความเป็นจริง) แต่สื่อถึงความจริงที่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการที่หญิงสาวมีผู้ชายอีกคนนอกจากตาแว่น ผ่านทางประโยคที่พูดทิ้งท้ายว่า "ยังไม่รู้อีกเหรอ คุณไม่ใช่ผู้ชายเพียงคนเดียวหรอกนะ" (ตรงนี้อาจตีความได้เช่นกันว่า แม้จนนาทีสุดท้าย ตาแว่นก็ยังไม่ยอมรับความจริงด้วยตัวเอง ต้องหลอกตัวเองว่าหญิงสาวโทรศัพท์มาบอก)

ทำไมถึงตีว่าเสียงผู้หญิงพูดประโยคนี้ไม่เกิดขึ้นในความเป็นจริง เพราะเสียงสัญญาณหลังจากพูดจบ เป็นเสียงสัญญาณดังตู๊ดยาวเหมือนเวลาเรายกหูขึ้นมาก่อนกดโทรออก ไม่ใช่เสียงตู๊ด ตู๊ด แบบเวลากดวางสายไปแล้ว

และเสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ตลอดทั้งเรื่องก็เป็นเสียงที่ตาแว่นหลอนไปเอง สังเกตจากสัญญาณที่ดังหลังจากเสียงหญิงสาวพูดจบ และเวลามีเสียงกริ่งดัง ปุ่มไฟบนเครื่องโทรศัพท์ที่แสดงว่ามีคนโทรเข้า กลับไม่สว่าง

หากสงสัยจุดไหนก็ลองถามมาดูก็ได้นะคะ แต่ถ้าจะให้ถอดทั้งเรื่องมันยาววววว