บทความ : การสะกดจิต และการสะกดจิตที่ปรากฏในหนังสยองขวัญ
by samara17520 • วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 17:58
บทความ : การสะกดจิต และการสะกดจิตที่ปรากฏในหนังสยองขวัญ


Replies (6)
บทความ : การสะกดจิต และการสะกดจิตที่ปรากฏในหนังสยองขวัญ
ก่อนอื่นเราต้องมาตั้งคำถามและเรียนรู้ร่วมกันก่อนว่า การสะกดจิตหมายถึงอะไร สามารถทำได้อย่างไร มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ใครกันที่อาจเป็นผู้สะกดหรือผู้ถูกสะกด และเป้าหมายของการสะกดจิตในแต่ละครั้งนั้น มีเป้าประสงค์อันใด
ซึ่งในเรื่องนี้ ดร. ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ (ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและสะกดจิตรักษาโรค) ได้แสดงทรรศนะเอาไว้ในเรื่องเกี่ยวกับ “การสะกดจิต” เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ การสะกดจิต คือ ภาวะที่ผู้ถูกสะกดจิตตอบสนองต่อคำบอกกล่าว(suggestion) ผู้ถูกสะกดจิตจะอยู่ในภาวะยอมรับการบอกกล่าว(suggestion) โดยอัตโนมัติ ภายใต้สภาวะแวดล้อมและเงื่อนไขที่ผู้สะกดจิตทำขึ้น หากผู้ถูกสะกดจิตรู้ตัวว่าตนเองกำลังตอบสนองคำบอกกล่าว(suggestion) ผู้ถูกสะกดจิตจะได้ยิน ได้เห็น และรู้สึกไปตามที่ผู้สะกดจิตกำหนด นอกจากนี้ ความทรงจำและความตื่นตัวก็จะถูกควบคุมได้เช่นเดียวกัน และการตอบสนองเหล่านี้อาจยังคงอยู่แม้หลังผ่านการสะกดจิตผ่านไปแล้วก็ตาม ดูคล้ายกับว่าการถูกสะกดจิตสามารถแยกผู้ถูกสะกดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงในภาวะหนึ่งๆได้ทีเดียว ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการสะกดจิต ลักษณะและความทรงจำจะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ข้อมูลต่างๆที่ได้รับจะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงใดๆต่อลักษณะนิสัยและความทรงจำ เว้นแต่จะถูกส่งเข้าสู่จิตใต้สำนึกโดยตรง (ดร. ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์, หนังสือ Family’s Secret ประตูสู่ความสุข และความสำเร็จสำหรับครอบครัว)

ในเว็บไซต์ของศูนย์ค้นคว้าและฝึกอบรมพลังจิตใต้สำนึก / The Center of Research and Training Subconscious Power ซึ่งศูนย์แห่งนี้มีผู้ก่อตั้งคือ อ.ดร. บุญเลิศ สายสนิท (ผู้เชี่ยวชาญการสั่งจิตบำบัดทางการแพทย์และทันตกรรมนานาชาติ) ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับความหมายของการสะกดจิตเอาไว้ว่า การสะกดจิต (Hypnotism) คือ วิธีการทำให้บุคคลที่ถูกสะกดจิต มีสภาวะจิตและกายที่ผ่อนคลาย ไม่ใช่หลับ ดังที่ภาษากรีค Hypnos หมายความว่า “หลับ” แต่เมื่อสักเกตดู ผู้ถูกสะกดจิตมีสภาวะที่ผ่อนคลาย สงบสบายคล้ายหลับ ผู้สั่งจิตที่ได้รับการเรียนรู้และฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี และมีประสบการณ์ในการสะกดจิตหรือสั่งจิต(Hypnotize) อย่างถูกหลักการและวิธีการ สามารถทำให้ผู้ถูกสะกดจิตหรือถูกสั่งจิต สามารถ เปลี่ยนแปลงความคิด ความรู้สึก อารมณ์ และพฤติกรรมได้ นอกจากสิ่งดังกล่าวแล้ว การสะกดจิตยังสามารถ แก้ไขพฤติกรรม ชีวิตและความเป็นอยู่ ความดื้อด้าน ความเกียจคร้านการงาน การศึกษาเล่าเรียน จากนิสัยที่เสียที่เลว กลับมาเป็นนิสัยที่ดี คิดดี พูดดี ทำดี ทำการงานรับผิดชอบและให้ความร่วมมือแก่ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้ร่วมงานเป็นอย่างดี จากการมีชีวิตอยู่ปชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมาย มาดำเนินชีวิตที่มีความกระตือรือร้น มีความมุ่งหวัง มีความเพียรพยายาม ขยันอดทนต่อปัญหาและความยุ่งยากลำบากต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า ในทุกเรื่อง เช่น ต้องการที่จะมี สุขภาพจิตดี สุขภาพกายดี มีความเป็นอยู่ในครอบครัวดี มีความเป็นอยู่ในสังคมดี ได้รับความร่วมมือจากผู้ร่วมงานดี อยากจะได้สิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนายิ่งนัก นั่นคือ มีทรัพย์หสินเงินทอง ประสบความสำเร็จและมีความสุข สันติสุขในจิตใจ (ข้อมูลอ้างอิงจาก ศูนย์ค้นคว้าและฝึกอบรมพลังจิตใต้สำนึก / The Center of Research and Training Subconscious Power)
กิติกร มีทรัพย์ นักจิตวิทยาชื่อดังของไทย ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับการสะกดจิต / เน้นการสะกดจิตหมู่ เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ สะกดจิตหมู่ หรือ Mass Hypnosis เป็นกระบวนการชักจูงหรือโน้มนำกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันให้เข้าสู่ภาวะกึ่งสำนึก หรืออาการทรงเจ้า หรือทรานซ์ (Trance) คือผู้ถูกสะกดจะคล้อยตามสั่งที่ผู้ถูกสะกดสั่งเริ่มต้นทีละน้อยและมากขึ้นๆ อันไม่อาจขัดขืนได้ จนเรียกได้ว่าเข้าสู่ภาวะเปลี่ยนแปลง (Transference) จากตื่นเป็นหลับ จากหลับตื้นๆ เป็นหลับลึก เป็นต้น ผู้สะกดมักมีเทคนิคหลายอย่างในการชักจูงหรือโน้มนำผู้ถูกสะกดให้คล้อยตาม ตามปกติมักอาศัยอำนาจแบบพ่อแม่ ถ้าใช้อำนาจการชักจูงแบบพ่อ (Paternal Technique) ก็ใช้เสียงสั่งทรงอำนาจ ดุดัน กระด้าง รุนแรง กระแทกกระทั้น แต่ถ้าเป็นแบบแม่ ย่อมเป็นเสียงนุ่มนวล กิริยาลีลาช้าๆ เนิบนาบเป็นระดับ เสียงเดียว ชวนทำตามคำบอก เช่น ให้หลับก็จะหลับ ให้ร้องไห้ก็จะร้องไห้ เป็นต้น การสะกดจิตหมู่ ผู้สะกดมักใช้เทคนิคการชักจูงแบบพ่อเป็นสำคัญ (กิติกร มีทรัพย์, หนังสือ ซีโนโฟเบีย กลัวคนแปลกหน้า)
จากทรรศนะของนักวิชาการดังกล่าวมาข้างต้นจึงพอสรุปได้ว่า การสะกดจิต คือ ภาวะที่ผู้ถูกสะกดจิตตอบสนองต่อคำบอกกล่าว(suggestion) ผู้ถูกสะกดจิตจะอยู่ในภาวะยอมรับการบอกกล่าว(suggestion) โดยอัตโนมัติ ภายใต้สภาวะแวดล้อมและเงื่อนไขที่ผู้สะกดจิตทำขึ้น เป็นวิธีการทำให้บุคคลที่ถูกสะกดจิต มีสภาวะจิตและกายที่ผ่อนคลาย ไม่ใช่หลับ ดังที่ภาษากรีค Hypnos หมายความว่า “หลับ” การถูกสะกดจิตสามารถแยกผู้ถูกสะกดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงในภาวะหนึ่งๆได้ทีเดียว ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการสะกดจิต ลักษณะและความทรงจำจะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก นอกจากนี้ยังมีวิธีการสะกดจิตหมู่ หรือที่เรียกกันว่า Mass Hypnosis ซึ่งถือเป็นกระบวนการชักจูงหรือโน้มนำกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันให้เข้าสู่ภาวะกึ่งสำนึก หรืออาการทรงเจ้า หรือทรานซ์ (Trance) คือผู้ถูกสะกดจะคล้อยตามสั่งที่ผู้ถูกสะกดสั่งเริ่มต้นทีละน้อยและมากขึ้นๆ อันไม่อาจขัดขืนได้

การสะกดจิตหมู่ หลายครั้งก็เน้นในเรื่องหลักความเชื่อ และพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในการจูงใจเพื่อสะกด เป็นดังที่กิติกร มีทรัพย์ ได้อธิบายเอาไว้ว่า ปรากฏการณ์สะกดจิตหมู่นี้มีมานานแล้วตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ริเริ่มโดยแพทย์ชาวออสเตรียผู้หนึ่งชื่อฟรานซ์ แอนตัน เมสเมอร์ (France Anton Mesmer) ในบ้านเราภาพของการสะกดจิตหมู่นี้มีมานานพอสมควร ประมาณว่าเริ่มต้นมาแต่สมัยรัชกาลที่ 4 (หรืออาจมีมาแต่สมัยอยุธยาแล้วก็ได้) ที่รู้จักกันดีคือ พิธีสวดภาณยักษ์ ซึ่งมักจะเริ่มงานกันช่วงเดือนต้นๆปีใหม่ไทย ก่อนหรือหลังวันสงกรานต์ ความเชื่อหลักของพิธีสวดภาณยักษ์อยู่ที่ความเชื่อว่ามีสิ่งอัปมงคล(ผีหรือความชั่วร้าย)แฝงอยู่ในร่างกายของตน การได้ฟังพระสวดพระสูตรต่างๆ เป็นมนต์ที่เป็นมงคล มนต์นั้นจะขับไล่สิ่งอัปมงคล ผี และ / ความชั่วร้ายออกจากร่างไป และคงความเป็นมงคลไว้ภายในร่างกายตลอดไป ในรอบปีหนึ่งๆความเป็นมงคลที่มีอยู่ก็ทรุดเสื่อมไปบ้าง ขณะเดียวกันเจ้าตัวอาจกระทำสิ่งอัปมงคลด้วย ความเป็นมงคลย่อมเหลือน้อยเป็นธรรมดา ความอัปมงคลจะมากขึ้น อันจำเป็นต้องขจัดออกไปโดยไปฟังสวดภาณยักษ์ (กิติกร มีทรัพย์, หนังสือ ซีโนโฟเบีย กลัวคนแปลกหน้า)
ในเรื่องการสะกดจิตโดยอาศัยหลักการทางความเชื่อเข้ามาช่วยผลักดันนี้ ดูเข้าเค้ากับที่ รศ.ดร.ชัยณรงค์ วงศ์ธีรทรัพย์ ได้อธิบายเอาไว้ในประเด็น “เชื่อในสิ่งที่ยังมองไม่เห็นคือศรัทธา” ดังนี้ ศรัทธา เป็นภาวะหนึ่งของความเชื่อในจิตใจ มีจุดมุงหมาย ความต้องการ มีแผนงาน และได้สร้างจินตนาการในตนเอง เห็นตัวเองประสบความสำเร็จ หรือได้เป็นเจ้าของสิ่งนั้น ประหนึ่งว่าได้มันมาเป็นรูปธรรมแล้ว ถึงแม้สิ่งๆนั้นยังมองไม่เห็นด้วยสายตา ยังไม่ปรากฏมาก่อนเลย แต่สิ่งๆนั้น “มันได้เริ่มขึ้นในจิตใจ และมองเห็นได้ในสายตาของจิตใจ” เชื่อในสิ่งที่ยังมองไม่เห็นคือศรัทธา : คุณเชื่อไหมว่า ทีวี 20 นิ้วที่คุณกำลังนั่งดูอยู่สามารถลอยได้ เพราะสองพี่น้องตระกูลไรต์ที่เชื่อว่ามนุษย์สามารถบินได้ ผลของความเชื่อในสิ่งที่ยังไม่เคยมีปรากฏมาก่อนคือ วัตถุหนักร่วมพันตันสามารถลอยอยู่กลางอากาศ และทำให้ผู้คนสามารถเดินทางข้ามทวีปไปมาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ความเชื่อของสองพี่น้องตระกูลไรต์คือ “ความศรัทธา” และผลของความศรัทธาคือ สองพี่น้องตระกูลไรต์ได้เห็นในสิ่งที่เขาเชื่อ (รศ.ดร.ชัยณรงค์ วงศ์ธีรทรัพย์, หนังสือ ถอดรหัสความคิด เพื่อชีวิตที่มีคุณค่า)
วกกลับมาที่การสวดภาณยักษ์กันต่อ(อีกนิด) กล่าวกันว่าขณะที่ฟังเสียงสวดภาณยักษ์อันแสนกังวานก้องด้วยแอมปริไฟร์หลายสิบวัตต์เร้าอารมณ์ไล่ความอัปมงคลนั้น ผีและความชั่วร้ายที่อยู่ในร่างก็ไม่อยากจะออกไป จึงต่อสู้ขัดขืนต่างๆ บางคนเพียงแต่นั่งน้ำตาไหลพรากเงียบๆ เศร้าๆ ตามลำพัง แต่บางคนจะเอะอะตึงตัง หวีดร้องร่ำไห้ ออกท่าทางรุนแรงต่างๆ และบางคนก็จะมีอาการดูดีไม่มีอะไร ในกรณีที่ผู้ถูกสะกดทั้งหลายออกอาการต่างๆ ตั้งแต่น้ำตาไหลรินเงียบๆ จนถึงออกท่าทางต่างๆ ท่านอาจารย์ในแต่ละสำนักจะบอกว่า “เทพลงมา” หรือ “ท่านลง” นั่นคือสาลิกาลิ้นทอง แม่ธรณีปราบมาร นางฟ้าร่ำอวยพร เจ้าแม่กวนอิมพันมือ สมเด็จโต นางกวัก เจ้ากรรมนายเวร และฯลฯ แท้จริงท่าทางเหล่านั้นล้วนมาจากจิตใต้สำนึกของความทุกข์ที่มันระบายออกมา ลีลาบินหรือฟ้อนรำย่อมสัมพันธ์กับเสียงปี่พาทย์ หรือปรารถนาจะบินหนีทุกข์ (โปรดสังเกตดูใบหน้าเจ็บปวดเศร้าหมอง) ลีลาของเจ้าแม่กวนอิมหรือสมเด็จโตเป็นเพียงปรารถนาที่อยู่ในใจ เมื่ออยู่ในภาวะกึ่งสำนึก การควบคุมอ่อนลง ปรารถนานั้นก็โผล่ออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีท่านหรือเทพใดๆมาลง มีแต่ความทุกข์ใจที่เอ่อล้นออกมาเพราะอำนาจการสะกดจิตหมู่แท้ๆทีเดียว (กิติกร มีทรัพย์, หนังสือ ซีโนโฟเบีย กลัวคนแปลกหน้า)
นอกจากนี้ ดร. ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ (ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและสะกดจิตรักษาโรค) ได้กล่าวเสริมในประเด็นเกี่ยวกับ “ทำไมต้องสะกดจิต-ตัวอย่างฝึกหัดการสะกดจิต-ประโยชน์ และอันตรายของการสะกดจิต” เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
ทำไมต้องสะกดจิต : จิตเป็นแหล่งควบคุมลักษณะนิสัย ความรู้สึกนึกคิด กระบวนการทำงานของระบบประสาทของร่างกายสภาวะทางจิตของมนุษย์อาจแปรปรวน หรือเสื่อมสมรรถภาพ หรือสูญเสียการควบคุม ลักษณะนิสัยความรู้สึกนึกคิด รวมถึงกระบวนการทำงานของระบบประสาทของร่างกาย จิตในสภาพดังกล่าวต้องได้รับความรู้สึกนึกคิด ต้องได้รับการบำบัดและแก้ไขให้คืนสภาวะปกติโดยเร็วที่สุด การเปิดจิตใต้สำนึกเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆย่อมทำได้ดีกว่าการบำบัดด้วยวิธีอื่นๆ ทดสอบการสะกดจิตด้วยวิธีต่างๆ
ตัวอย่างฝึกหัดการสะกดจิต : อาทิ 1.การใช้ลูกดิ่ง (Pendulum) หลักการจิตใต้สำนึกจะสั่งการให้อวัยวะเคลื่อนไหวตามปรารถนา โดยจิตใต้สำนึกหรือการรับรู้ขณะนั้นไม่รู้สึกตัวหรือไม่ได้เป็นผู้ควบคุมอวัยวะ และ 2.การผ่ามะนาว (Lemon Cut) หลักการเมื่อเราใส่ใจหรือตั้งใจทำอะไรบางอย่าง จิตใต้สำนึกจะเปิดและสั่งงานตามสภาพแวดล้อม
ประโยชน์ที่ได้จากการสะกดจิต : อาทิ นักมายากลใช้การสะกดจิตประกอบการแสดง แพทย์ใช้การสะกดจิตเพื่อคลายเครียด และการสะกดจิตเพื่อควบคุมอาการเจ็บปวด นอกจากนี้ยังมีการสะกดจิตเพื่อชี้นำและครอบงำจิตใจ เช่น รัสปูตินในรัสเซีย และกรณีสุดท้ายคือ การสะกดจิตในทางกฎหมายหรือต่อต้านอาชญากรรม เช่น การสะกดจิตเพื่อดึงความทรงจำจากพยานในเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งจำรายละเอียดไม่ได้แต่จิตใต้สำนึกจะบันทึกข้อมูลเป็นภาพซึ่งสามารถดึงรายละเอียดได้
อันตรายของการสะกดจิต : อาทิ อาจเกิดการแจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดีในความผิดพลาด(จากการสะกดจิต) อาจเกิดเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ / อาจทำให้ผู้ถูกสะกดหวั่นเกรงว่าได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และอาจเป็นไปได้ที่ผู้ทำการสะกดและผู้ถูกสะกดอาจรู้สึกเหนื่อยอ่อน มึนงงทันทีทันใด (ดร. ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์, หนังสือ Family’s Secret ประตูสู่ความสุข และความสำเร็จสำหรับครอบครัว)
อนึ่ง ผู้สนใจในเรื่องของการสะกดจิตอาจศึกษาเพิ่มเติมจากวิทยานิพนธ์การสะกดจิตที่มีในประเทศไทยได้ เช่น วิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยบูรพา บัณฑิตวิทยาลับ วิทยานิพนธ์ ระดับมหาบัณฑิต หรือปริญญาโท โดย ฉลอม ลี้จินดา จัดทำเมื่อ พ.ศ. 2542 จำนวน 154 หน้า เป็นวิทยานิพนธ์สาขาการศึกษา (จิตวิทยาการให้คำปรึกษา) วิทยานิพนธ์นี้มีชื่อว่า การเปรียบเทียบผลของการออกกำลังกายแบบเต้นแอโรบิกกับการฝึกผ่อนคลายด้วยการสะกดจิตตัวเอง ต่อความเครียดของพยาบาล ประจำการโรงพยาบาลบางจาก อำเภอพระประแดง (อาจารย์ที่ปรึกษาประกอบด้วย อ.สมคิด บุญเรือง ดร.สุรินทร์ สุทธิธาทิพย์ และอ.บุญมา ไทยก้าว)

การสะกดจิตที่ปรากฏในหนังสยองขวัญ
มีหนังสยองขวัญมากมายหลายต่อหลายเรื่องที่จับและนำประเด็น “การสะกดจิต” เข้ามาสร้างให้ตัวหนังเรื่องนั้นๆเกิดความโดดเด่น หลอน น่ากลัว และเป็นที่จดจำของนักดูหนังตราบปัจจุบัน ในกรณีนี้ขอกล่าว และยกตัวอย่างเพียงสามถึงสี่เรื่องเพื่อให้สอดคล้องกับหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ในตอนแรก การสะกดจิตที่ปรากฏในหนังสยองขวัญ อาทิ ในปี 1957 ในหนังเรื่อง I Was a Teenage Werewolf ผลงานการกำกับของ Gene Fowler Jr. หนังเล่าถึงกรณีศึกษาในเด็กหนุ่มอารมณ์ร้อนชื่อ โทนี่ ริเวอร์ส ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงในด้านเป็นอันธพาลเลือดร้อน เปิดเรื่องมาก็ชกต่อยกับเพื่อนนักเรียนทันที จนอาจารย์ต้องเเนะนำ(เเกมบังคับ)ให้เขาไปเข้าคอร์สปรับพฤติกรรม ลดความก้าวร้าวลง โดยการส่งโทนี่ ริเวอร์ส ไปเข้ารับการบำบัดกับ ดร.อัลเฟรด แบรนดอน แต่แทนที่ ดร.อัลเฟรด จะทำการรักษาเขาตามปกติ กลับใช้เขาเป็นหนูทดลองในโครงการเเทน โดนใช้เทคนิคการสะกดจิตดึงสัญชาตญาณดิบในตัวโทนี่ออกมา จนเขากลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าสุดโหด เเละโฉดอย่าบอกใคร โทนี่ ริเวอร์ส ที่กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่านั้นพร้อมที่จะออกทำร้ายผู้คนทุกคนโดยที่เขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยเพราะผลพวงจากการสะกดจิต

เรื่องที่สอง คือ Cure หนังสยองขวัญจากแดนปลาดิบในปี 1997 ผลงานการกำกับและเขียนบทโดย Kiyoshi Kurosawa เกี่ยวกับเหตุการณ์ฆาตกรรมลึกลับในประเทศญี่ปุ่น ที่การฆาตกรรมในทุกครั้งจะเป็นคนในครอบครัว-เพื่อนร่วมงาน และคนใกล้ชิดกับผู้ตายเป็นผู้ลงมือกระทำลงไปทั้งๆที่มิได้มีความแค้นต่อผู้ตายแม้แต่น้อย หนังเรื่องนี้นำเสนอศาสตร์ทางด้านมืด ศาสตร์ชั้นสูงในสายของการสะกดจิตเพื่อบังคับจิตใจให้ใครก็ตามแต่ รับคำสั่ง และลงมือสังหารเหยื่อตามที่ผู้สะกดสั่งอย่างสุดอำมหิต หนังดำเนินเรื่องได้อย่างสุดจะเชื่องช้า แต่ก็สามารถสร้างบรรยากาศสุดสะพรึง-ขนหัวลุกให้คนดูได้หวาดผวากันเป็นระยะๆ หนังเรื่องที่สามที่จะแนะนำต่อมาก็คือ H / 2002 (ใช้ชื่อภาคภาษาไทยว่า H หั่น-เหี้ยม-โหด) หนังเกาหลี ผลงานการกำกับเเละเขียนบทโดย Jong-hyuk Lee หนังนำเสนอคดีฆาตกรรมที่สุดแปลกประหลาด โดยเชื่อกันว่าเป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดการลอกเลียนแบบมาจากคดีของ ชินยุน ฆาตกรโรคจิตฆ่า 6 ศพที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ คังเตยุน ตำรวจหนุ่มแผนกฆาตกรรมที่มารับหน้าที่ในการสางคดีนี้ต้องปวดหัวอย่างหนักจนฉากสุดท้ายของหนัง ซึ่งในหนังเรื่องนี้เองได้มีแนวทางการนำเสนอรูปแบบการฆาตกรรมคล้ายๆกับในหนังเรื่อง Cure ในปี 1997 โดยเป็นการสะกดจิตเพื่อให้ผู้ถูกสะกดออกไปฆาตกรรมตามคำสั่งผู้สะกดอย่างมิอาจขัดขืน (หนังเรื่องนี้จึงอาจได้รับอิทธิพลจากหนังสองเรื่องแรกที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นได้) โดยในฉากจบ ท้ายเรื่อง หนังได้ทำการเฉลยที่มาของชื่อหนังที่ว่า “ H ” อย่างสมบูรณ์ ( H = Hypnotism / การสะกดจิต)


หนังเรื่องที่สี่ที่ขอแนะนำในประเด็นการสะกดจิต คงเป็น Old Boy ปี 2003 หนังเกาหลีผลงานการกำกับของ Chan-wook Park หนังนำเสนอเกี่ยวกับชายชื่อ โอแดซู ชายขี้เมาซึ่งครอบครัวถูกสังหารโหด และเขายังถูกขังในคุกลับอย่างไร้เหตุผลจากบุคคลลึกลับถึง 15 ปี ในที่สุด เขาถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีเสียงประหลาด-ชายนิรนามโทรมาบอกกับเขาว่า “ภารกิจของเขานับแต่บัดนี้คือ การล้างทวงบัญชีจากชายผู้กักขัง ทำลายครอบครัวและชีวิตของเขา” เหตุการเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวนางหนึ่งชื่อ มิโด ปรากฏตัวขึ้น หนังนำเสนอการไล่ล่า ออกค้นหาความจริงในกรณีที่เขาถูกจับมาคุมขังอย่างไร้เหตุผลถึง 15 ปีเต็ม สุดท้าย หนังเฉลยฉากจบได้อย่างสุดขนหัวลุก เมื่อมีการใช้เทคนิคสะกดจิตให้ โอแดซู ลืมเรื่องบางอย่างไป และปฏิบัติตามคำสั่งทุกครั้งที่ได้รับสัญญาณบางอย่าง สุดท้าย ปีกนางฟ้า และกล่องของขวัญสีม่วงสุดสวย จึงกลายเป็นนรกบนดินของ โอแดซู ชายผู้ถูกสะกดจิตให้มีเพศสัมพันธ์กับลูกสาวแท้ๆของตนโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว สมแค้นชายปริศนาในเงามือ สมแค้นกับการล้างแค้นที่รอคอยมายาวนาน หนังเรื่องสุดท้าย เพิ่งได้ดูไปเมื่อคืนนี้เองครับ คือเรื่อง คน-โลก-จิต / 2012 ผลงานการกำกับของ นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับชาวไทยผู้ปลุกให้ตำนานนางนากกลายเป็นผีไทยเรื่องแรกที่โกยเงินบาทเกินร้อยล้าน หนังนำเสนอเกี่ยวกับการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสะเทือนขวัญ โดยฆาตกรมักใช้ค้อนในการทุบเหยื่อให้ถึงเเก่ความตายโดยทุกข์ทรมานเป็นที่สุด คดีนี้เองที่ได้นำพานักจิตวิทยาหนุ่ม สาวนักนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อนหนุ่มไฮโซ และนักศึกษาสาว(สวย)ผู้มีอดีตอันขืนขม เข้ามาพัวพันและเกิดเหตุการณ์วิปริตต่างๆตามมามากมาย เรื่องนี้นำเสนอการสะกดจิตในแนวทางเพื่อดึงความทรงจำจากเหยื่อในวัยเด็กกลับคืนมา ซึ่งนำพาไปสู่ฉากจบของเรื่องน่าหวาดหวั่น
การสะกดจิต และการสะกดจิตที่ปรากฏในหนังสยองขวัญ อาจสร้างความหวาดหวั่นให้ผู้รับข้อมูลได้ไม่มากก็น้อย เราสามารถสะกดจิตเพื่อคลายความเครียด และสะกดจิตเพื่อควบคุมอาการเจ็บปวด(ในทางการแพทย์) แต่ในขณะดียวกัน ด้านมืดของการสะกดจิตในชีวิตจริงก็น่ากลัวไม่แพ้ประโยชน์ของมัน เช่น การสะกดจิตเพื่อตกทรัพย์ และการสะกดจิตเพื่อครอบงำความคิด เป็นต้น ในหนังสยองขวัญ การสะกดจิตมีหลากหลาย ทั้งการสะกดเพื่อให้ไปฆ่าคนตามที่ใจผู้สะกดมุ่งหวัง สะกดเพื่อการทดลองทฤษฏีใหม่(เช่นใน Cure / 1997) สะกดเพื่อให้ตนเองรู้สึกเป็นผู้ชนะ สะกดเพื่อการล้างแค้น และสะกดจิตเพื่อรื้อพื้นอดีต เป็นอาทิ การสะกดจิตจึงเป็นได้ทั้งด้านดีและด้านมืดของผู้สะกด โดยผู้ถูกสะกดส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวล่วงหน้า การสะกดจิตที่เป็นที่แพร่หลายมากที่สุดในยุคปัจจุบัน อาจมาจากจอทีวีรูปทรงสี่เหลี่ยมก็เป็นได้ ว่าแต่…คุณๆทั้งหลาย จะรู้ตัวกันรึเปล่านะ? (นั่นสิ)…………..
บทความโดย : samara17520
(วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2555)
ก่อนอื่นเราต้องมาตั้งคำถามและเรียนรู้ร่วมกันก่อนว่า การสะกดจิตหมายถึงอะไร สามารถทำได้อย่างไร มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ใครกันที่อาจเป็นผู้สะกดหรือผู้ถูกสะกด และเป้าหมายของการสะกดจิตในแต่ละครั้งนั้น มีเป้าประสงค์อันใด
ซึ่งในเรื่องนี้ ดร. ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ (ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและสะกดจิตรักษาโรค) ได้แสดงทรรศนะเอาไว้ในเรื่องเกี่ยวกับ “การสะกดจิต” เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ การสะกดจิต คือ ภาวะที่ผู้ถูกสะกดจิตตอบสนองต่อคำบอกกล่าว(suggestion) ผู้ถูกสะกดจิตจะอยู่ในภาวะยอมรับการบอกกล่าว(suggestion) โดยอัตโนมัติ ภายใต้สภาวะแวดล้อมและเงื่อนไขที่ผู้สะกดจิตทำขึ้น หากผู้ถูกสะกดจิตรู้ตัวว่าตนเองกำลังตอบสนองคำบอกกล่าว(suggestion) ผู้ถูกสะกดจิตจะได้ยิน ได้เห็น และรู้สึกไปตามที่ผู้สะกดจิตกำหนด นอกจากนี้ ความทรงจำและความตื่นตัวก็จะถูกควบคุมได้เช่นเดียวกัน และการตอบสนองเหล่านี้อาจยังคงอยู่แม้หลังผ่านการสะกดจิตผ่านไปแล้วก็ตาม ดูคล้ายกับว่าการถูกสะกดจิตสามารถแยกผู้ถูกสะกดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงในภาวะหนึ่งๆได้ทีเดียว ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการสะกดจิต ลักษณะและความทรงจำจะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ข้อมูลต่างๆที่ได้รับจะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงใดๆต่อลักษณะนิสัยและความทรงจำ เว้นแต่จะถูกส่งเข้าสู่จิตใต้สำนึกโดยตรง (ดร. ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์, หนังสือ Family’s Secret ประตูสู่ความสุข และความสำเร็จสำหรับครอบครัว)

ในเว็บไซต์ของศูนย์ค้นคว้าและฝึกอบรมพลังจิตใต้สำนึก / The Center of Research and Training Subconscious Power ซึ่งศูนย์แห่งนี้มีผู้ก่อตั้งคือ อ.ดร. บุญเลิศ สายสนิท (ผู้เชี่ยวชาญการสั่งจิตบำบัดทางการแพทย์และทันตกรรมนานาชาติ) ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับความหมายของการสะกดจิตเอาไว้ว่า การสะกดจิต (Hypnotism) คือ วิธีการทำให้บุคคลที่ถูกสะกดจิต มีสภาวะจิตและกายที่ผ่อนคลาย ไม่ใช่หลับ ดังที่ภาษากรีค Hypnos หมายความว่า “หลับ” แต่เมื่อสักเกตดู ผู้ถูกสะกดจิตมีสภาวะที่ผ่อนคลาย สงบสบายคล้ายหลับ ผู้สั่งจิตที่ได้รับการเรียนรู้และฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี และมีประสบการณ์ในการสะกดจิตหรือสั่งจิต(Hypnotize) อย่างถูกหลักการและวิธีการ สามารถทำให้ผู้ถูกสะกดจิตหรือถูกสั่งจิต สามารถ เปลี่ยนแปลงความคิด ความรู้สึก อารมณ์ และพฤติกรรมได้ นอกจากสิ่งดังกล่าวแล้ว การสะกดจิตยังสามารถ แก้ไขพฤติกรรม ชีวิตและความเป็นอยู่ ความดื้อด้าน ความเกียจคร้านการงาน การศึกษาเล่าเรียน จากนิสัยที่เสียที่เลว กลับมาเป็นนิสัยที่ดี คิดดี พูดดี ทำดี ทำการงานรับผิดชอบและให้ความร่วมมือแก่ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้ร่วมงานเป็นอย่างดี จากการมีชีวิตอยู่ปชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมาย มาดำเนินชีวิตที่มีความกระตือรือร้น มีความมุ่งหวัง มีความเพียรพยายาม ขยันอดทนต่อปัญหาและความยุ่งยากลำบากต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า ในทุกเรื่อง เช่น ต้องการที่จะมี สุขภาพจิตดี สุขภาพกายดี มีความเป็นอยู่ในครอบครัวดี มีความเป็นอยู่ในสังคมดี ได้รับความร่วมมือจากผู้ร่วมงานดี อยากจะได้สิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนายิ่งนัก นั่นคือ มีทรัพย์หสินเงินทอง ประสบความสำเร็จและมีความสุข สันติสุขในจิตใจ (ข้อมูลอ้างอิงจาก ศูนย์ค้นคว้าและฝึกอบรมพลังจิตใต้สำนึก / The Center of Research and Training Subconscious Power)
กิติกร มีทรัพย์ นักจิตวิทยาชื่อดังของไทย ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับการสะกดจิต / เน้นการสะกดจิตหมู่ เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ สะกดจิตหมู่ หรือ Mass Hypnosis เป็นกระบวนการชักจูงหรือโน้มนำกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันให้เข้าสู่ภาวะกึ่งสำนึก หรืออาการทรงเจ้า หรือทรานซ์ (Trance) คือผู้ถูกสะกดจะคล้อยตามสั่งที่ผู้ถูกสะกดสั่งเริ่มต้นทีละน้อยและมากขึ้นๆ อันไม่อาจขัดขืนได้ จนเรียกได้ว่าเข้าสู่ภาวะเปลี่ยนแปลง (Transference) จากตื่นเป็นหลับ จากหลับตื้นๆ เป็นหลับลึก เป็นต้น ผู้สะกดมักมีเทคนิคหลายอย่างในการชักจูงหรือโน้มนำผู้ถูกสะกดให้คล้อยตาม ตามปกติมักอาศัยอำนาจแบบพ่อแม่ ถ้าใช้อำนาจการชักจูงแบบพ่อ (Paternal Technique) ก็ใช้เสียงสั่งทรงอำนาจ ดุดัน กระด้าง รุนแรง กระแทกกระทั้น แต่ถ้าเป็นแบบแม่ ย่อมเป็นเสียงนุ่มนวล กิริยาลีลาช้าๆ เนิบนาบเป็นระดับ เสียงเดียว ชวนทำตามคำบอก เช่น ให้หลับก็จะหลับ ให้ร้องไห้ก็จะร้องไห้ เป็นต้น การสะกดจิตหมู่ ผู้สะกดมักใช้เทคนิคการชักจูงแบบพ่อเป็นสำคัญ (กิติกร มีทรัพย์, หนังสือ ซีโนโฟเบีย กลัวคนแปลกหน้า)
จากทรรศนะของนักวิชาการดังกล่าวมาข้างต้นจึงพอสรุปได้ว่า การสะกดจิต คือ ภาวะที่ผู้ถูกสะกดจิตตอบสนองต่อคำบอกกล่าว(suggestion) ผู้ถูกสะกดจิตจะอยู่ในภาวะยอมรับการบอกกล่าว(suggestion) โดยอัตโนมัติ ภายใต้สภาวะแวดล้อมและเงื่อนไขที่ผู้สะกดจิตทำขึ้น เป็นวิธีการทำให้บุคคลที่ถูกสะกดจิต มีสภาวะจิตและกายที่ผ่อนคลาย ไม่ใช่หลับ ดังที่ภาษากรีค Hypnos หมายความว่า “หลับ” การถูกสะกดจิตสามารถแยกผู้ถูกสะกดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงในภาวะหนึ่งๆได้ทีเดียว ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการสะกดจิต ลักษณะและความทรงจำจะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก นอกจากนี้ยังมีวิธีการสะกดจิตหมู่ หรือที่เรียกกันว่า Mass Hypnosis ซึ่งถือเป็นกระบวนการชักจูงหรือโน้มนำกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันให้เข้าสู่ภาวะกึ่งสำนึก หรืออาการทรงเจ้า หรือทรานซ์ (Trance) คือผู้ถูกสะกดจะคล้อยตามสั่งที่ผู้ถูกสะกดสั่งเริ่มต้นทีละน้อยและมากขึ้นๆ อันไม่อาจขัดขืนได้

การสะกดจิตหมู่ หลายครั้งก็เน้นในเรื่องหลักความเชื่อ และพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในการจูงใจเพื่อสะกด เป็นดังที่กิติกร มีทรัพย์ ได้อธิบายเอาไว้ว่า ปรากฏการณ์สะกดจิตหมู่นี้มีมานานแล้วตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ริเริ่มโดยแพทย์ชาวออสเตรียผู้หนึ่งชื่อฟรานซ์ แอนตัน เมสเมอร์ (France Anton Mesmer) ในบ้านเราภาพของการสะกดจิตหมู่นี้มีมานานพอสมควร ประมาณว่าเริ่มต้นมาแต่สมัยรัชกาลที่ 4 (หรืออาจมีมาแต่สมัยอยุธยาแล้วก็ได้) ที่รู้จักกันดีคือ พิธีสวดภาณยักษ์ ซึ่งมักจะเริ่มงานกันช่วงเดือนต้นๆปีใหม่ไทย ก่อนหรือหลังวันสงกรานต์ ความเชื่อหลักของพิธีสวดภาณยักษ์อยู่ที่ความเชื่อว่ามีสิ่งอัปมงคล(ผีหรือความชั่วร้าย)แฝงอยู่ในร่างกายของตน การได้ฟังพระสวดพระสูตรต่างๆ เป็นมนต์ที่เป็นมงคล มนต์นั้นจะขับไล่สิ่งอัปมงคล ผี และ / ความชั่วร้ายออกจากร่างไป และคงความเป็นมงคลไว้ภายในร่างกายตลอดไป ในรอบปีหนึ่งๆความเป็นมงคลที่มีอยู่ก็ทรุดเสื่อมไปบ้าง ขณะเดียวกันเจ้าตัวอาจกระทำสิ่งอัปมงคลด้วย ความเป็นมงคลย่อมเหลือน้อยเป็นธรรมดา ความอัปมงคลจะมากขึ้น อันจำเป็นต้องขจัดออกไปโดยไปฟังสวดภาณยักษ์ (กิติกร มีทรัพย์, หนังสือ ซีโนโฟเบีย กลัวคนแปลกหน้า)
ในเรื่องการสะกดจิตโดยอาศัยหลักการทางความเชื่อเข้ามาช่วยผลักดันนี้ ดูเข้าเค้ากับที่ รศ.ดร.ชัยณรงค์ วงศ์ธีรทรัพย์ ได้อธิบายเอาไว้ในประเด็น “เชื่อในสิ่งที่ยังมองไม่เห็นคือศรัทธา” ดังนี้ ศรัทธา เป็นภาวะหนึ่งของความเชื่อในจิตใจ มีจุดมุงหมาย ความต้องการ มีแผนงาน และได้สร้างจินตนาการในตนเอง เห็นตัวเองประสบความสำเร็จ หรือได้เป็นเจ้าของสิ่งนั้น ประหนึ่งว่าได้มันมาเป็นรูปธรรมแล้ว ถึงแม้สิ่งๆนั้นยังมองไม่เห็นด้วยสายตา ยังไม่ปรากฏมาก่อนเลย แต่สิ่งๆนั้น “มันได้เริ่มขึ้นในจิตใจ และมองเห็นได้ในสายตาของจิตใจ” เชื่อในสิ่งที่ยังมองไม่เห็นคือศรัทธา : คุณเชื่อไหมว่า ทีวี 20 นิ้วที่คุณกำลังนั่งดูอยู่สามารถลอยได้ เพราะสองพี่น้องตระกูลไรต์ที่เชื่อว่ามนุษย์สามารถบินได้ ผลของความเชื่อในสิ่งที่ยังไม่เคยมีปรากฏมาก่อนคือ วัตถุหนักร่วมพันตันสามารถลอยอยู่กลางอากาศ และทำให้ผู้คนสามารถเดินทางข้ามทวีปไปมาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ความเชื่อของสองพี่น้องตระกูลไรต์คือ “ความศรัทธา” และผลของความศรัทธาคือ สองพี่น้องตระกูลไรต์ได้เห็นในสิ่งที่เขาเชื่อ (รศ.ดร.ชัยณรงค์ วงศ์ธีรทรัพย์, หนังสือ ถอดรหัสความคิด เพื่อชีวิตที่มีคุณค่า)
วกกลับมาที่การสวดภาณยักษ์กันต่อ(อีกนิด) กล่าวกันว่าขณะที่ฟังเสียงสวดภาณยักษ์อันแสนกังวานก้องด้วยแอมปริไฟร์หลายสิบวัตต์เร้าอารมณ์ไล่ความอัปมงคลนั้น ผีและความชั่วร้ายที่อยู่ในร่างก็ไม่อยากจะออกไป จึงต่อสู้ขัดขืนต่างๆ บางคนเพียงแต่นั่งน้ำตาไหลพรากเงียบๆ เศร้าๆ ตามลำพัง แต่บางคนจะเอะอะตึงตัง หวีดร้องร่ำไห้ ออกท่าทางรุนแรงต่างๆ และบางคนก็จะมีอาการดูดีไม่มีอะไร ในกรณีที่ผู้ถูกสะกดทั้งหลายออกอาการต่างๆ ตั้งแต่น้ำตาไหลรินเงียบๆ จนถึงออกท่าทางต่างๆ ท่านอาจารย์ในแต่ละสำนักจะบอกว่า “เทพลงมา” หรือ “ท่านลง” นั่นคือสาลิกาลิ้นทอง แม่ธรณีปราบมาร นางฟ้าร่ำอวยพร เจ้าแม่กวนอิมพันมือ สมเด็จโต นางกวัก เจ้ากรรมนายเวร และฯลฯ แท้จริงท่าทางเหล่านั้นล้วนมาจากจิตใต้สำนึกของความทุกข์ที่มันระบายออกมา ลีลาบินหรือฟ้อนรำย่อมสัมพันธ์กับเสียงปี่พาทย์ หรือปรารถนาจะบินหนีทุกข์ (โปรดสังเกตดูใบหน้าเจ็บปวดเศร้าหมอง) ลีลาของเจ้าแม่กวนอิมหรือสมเด็จโตเป็นเพียงปรารถนาที่อยู่ในใจ เมื่ออยู่ในภาวะกึ่งสำนึก การควบคุมอ่อนลง ปรารถนานั้นก็โผล่ออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีท่านหรือเทพใดๆมาลง มีแต่ความทุกข์ใจที่เอ่อล้นออกมาเพราะอำนาจการสะกดจิตหมู่แท้ๆทีเดียว (กิติกร มีทรัพย์, หนังสือ ซีโนโฟเบีย กลัวคนแปลกหน้า)
นอกจากนี้ ดร. ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ (ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและสะกดจิตรักษาโรค) ได้กล่าวเสริมในประเด็นเกี่ยวกับ “ทำไมต้องสะกดจิต-ตัวอย่างฝึกหัดการสะกดจิต-ประโยชน์ และอันตรายของการสะกดจิต” เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
ทำไมต้องสะกดจิต : จิตเป็นแหล่งควบคุมลักษณะนิสัย ความรู้สึกนึกคิด กระบวนการทำงานของระบบประสาทของร่างกายสภาวะทางจิตของมนุษย์อาจแปรปรวน หรือเสื่อมสมรรถภาพ หรือสูญเสียการควบคุม ลักษณะนิสัยความรู้สึกนึกคิด รวมถึงกระบวนการทำงานของระบบประสาทของร่างกาย จิตในสภาพดังกล่าวต้องได้รับความรู้สึกนึกคิด ต้องได้รับการบำบัดและแก้ไขให้คืนสภาวะปกติโดยเร็วที่สุด การเปิดจิตใต้สำนึกเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆย่อมทำได้ดีกว่าการบำบัดด้วยวิธีอื่นๆ ทดสอบการสะกดจิตด้วยวิธีต่างๆ
ตัวอย่างฝึกหัดการสะกดจิต : อาทิ 1.การใช้ลูกดิ่ง (Pendulum) หลักการจิตใต้สำนึกจะสั่งการให้อวัยวะเคลื่อนไหวตามปรารถนา โดยจิตใต้สำนึกหรือการรับรู้ขณะนั้นไม่รู้สึกตัวหรือไม่ได้เป็นผู้ควบคุมอวัยวะ และ 2.การผ่ามะนาว (Lemon Cut) หลักการเมื่อเราใส่ใจหรือตั้งใจทำอะไรบางอย่าง จิตใต้สำนึกจะเปิดและสั่งงานตามสภาพแวดล้อม
ประโยชน์ที่ได้จากการสะกดจิต : อาทิ นักมายากลใช้การสะกดจิตประกอบการแสดง แพทย์ใช้การสะกดจิตเพื่อคลายเครียด และการสะกดจิตเพื่อควบคุมอาการเจ็บปวด นอกจากนี้ยังมีการสะกดจิตเพื่อชี้นำและครอบงำจิตใจ เช่น รัสปูตินในรัสเซีย และกรณีสุดท้ายคือ การสะกดจิตในทางกฎหมายหรือต่อต้านอาชญากรรม เช่น การสะกดจิตเพื่อดึงความทรงจำจากพยานในเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งจำรายละเอียดไม่ได้แต่จิตใต้สำนึกจะบันทึกข้อมูลเป็นภาพซึ่งสามารถดึงรายละเอียดได้
อันตรายของการสะกดจิต : อาทิ อาจเกิดการแจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดีในความผิดพลาด(จากการสะกดจิต) อาจเกิดเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ / อาจทำให้ผู้ถูกสะกดหวั่นเกรงว่าได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และอาจเป็นไปได้ที่ผู้ทำการสะกดและผู้ถูกสะกดอาจรู้สึกเหนื่อยอ่อน มึนงงทันทีทันใด (ดร. ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์, หนังสือ Family’s Secret ประตูสู่ความสุข และความสำเร็จสำหรับครอบครัว)
อนึ่ง ผู้สนใจในเรื่องของการสะกดจิตอาจศึกษาเพิ่มเติมจากวิทยานิพนธ์การสะกดจิตที่มีในประเทศไทยได้ เช่น วิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยบูรพา บัณฑิตวิทยาลับ วิทยานิพนธ์ ระดับมหาบัณฑิต หรือปริญญาโท โดย ฉลอม ลี้จินดา จัดทำเมื่อ พ.ศ. 2542 จำนวน 154 หน้า เป็นวิทยานิพนธ์สาขาการศึกษา (จิตวิทยาการให้คำปรึกษา) วิทยานิพนธ์นี้มีชื่อว่า การเปรียบเทียบผลของการออกกำลังกายแบบเต้นแอโรบิกกับการฝึกผ่อนคลายด้วยการสะกดจิตตัวเอง ต่อความเครียดของพยาบาล ประจำการโรงพยาบาลบางจาก อำเภอพระประแดง (อาจารย์ที่ปรึกษาประกอบด้วย อ.สมคิด บุญเรือง ดร.สุรินทร์ สุทธิธาทิพย์ และอ.บุญมา ไทยก้าว)

การสะกดจิตที่ปรากฏในหนังสยองขวัญ
มีหนังสยองขวัญมากมายหลายต่อหลายเรื่องที่จับและนำประเด็น “การสะกดจิต” เข้ามาสร้างให้ตัวหนังเรื่องนั้นๆเกิดความโดดเด่น หลอน น่ากลัว และเป็นที่จดจำของนักดูหนังตราบปัจจุบัน ในกรณีนี้ขอกล่าว และยกตัวอย่างเพียงสามถึงสี่เรื่องเพื่อให้สอดคล้องกับหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ในตอนแรก การสะกดจิตที่ปรากฏในหนังสยองขวัญ อาทิ ในปี 1957 ในหนังเรื่อง I Was a Teenage Werewolf ผลงานการกำกับของ Gene Fowler Jr. หนังเล่าถึงกรณีศึกษาในเด็กหนุ่มอารมณ์ร้อนชื่อ โทนี่ ริเวอร์ส ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงในด้านเป็นอันธพาลเลือดร้อน เปิดเรื่องมาก็ชกต่อยกับเพื่อนนักเรียนทันที จนอาจารย์ต้องเเนะนำ(เเกมบังคับ)ให้เขาไปเข้าคอร์สปรับพฤติกรรม ลดความก้าวร้าวลง โดยการส่งโทนี่ ริเวอร์ส ไปเข้ารับการบำบัดกับ ดร.อัลเฟรด แบรนดอน แต่แทนที่ ดร.อัลเฟรด จะทำการรักษาเขาตามปกติ กลับใช้เขาเป็นหนูทดลองในโครงการเเทน โดนใช้เทคนิคการสะกดจิตดึงสัญชาตญาณดิบในตัวโทนี่ออกมา จนเขากลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าสุดโหด เเละโฉดอย่าบอกใคร โทนี่ ริเวอร์ส ที่กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่านั้นพร้อมที่จะออกทำร้ายผู้คนทุกคนโดยที่เขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยเพราะผลพวงจากการสะกดจิต

เรื่องที่สอง คือ Cure หนังสยองขวัญจากแดนปลาดิบในปี 1997 ผลงานการกำกับและเขียนบทโดย Kiyoshi Kurosawa เกี่ยวกับเหตุการณ์ฆาตกรรมลึกลับในประเทศญี่ปุ่น ที่การฆาตกรรมในทุกครั้งจะเป็นคนในครอบครัว-เพื่อนร่วมงาน และคนใกล้ชิดกับผู้ตายเป็นผู้ลงมือกระทำลงไปทั้งๆที่มิได้มีความแค้นต่อผู้ตายแม้แต่น้อย หนังเรื่องนี้นำเสนอศาสตร์ทางด้านมืด ศาสตร์ชั้นสูงในสายของการสะกดจิตเพื่อบังคับจิตใจให้ใครก็ตามแต่ รับคำสั่ง และลงมือสังหารเหยื่อตามที่ผู้สะกดสั่งอย่างสุดอำมหิต หนังดำเนินเรื่องได้อย่างสุดจะเชื่องช้า แต่ก็สามารถสร้างบรรยากาศสุดสะพรึง-ขนหัวลุกให้คนดูได้หวาดผวากันเป็นระยะๆ หนังเรื่องที่สามที่จะแนะนำต่อมาก็คือ H / 2002 (ใช้ชื่อภาคภาษาไทยว่า H หั่น-เหี้ยม-โหด) หนังเกาหลี ผลงานการกำกับเเละเขียนบทโดย Jong-hyuk Lee หนังนำเสนอคดีฆาตกรรมที่สุดแปลกประหลาด โดยเชื่อกันว่าเป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดการลอกเลียนแบบมาจากคดีของ ชินยุน ฆาตกรโรคจิตฆ่า 6 ศพที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ คังเตยุน ตำรวจหนุ่มแผนกฆาตกรรมที่มารับหน้าที่ในการสางคดีนี้ต้องปวดหัวอย่างหนักจนฉากสุดท้ายของหนัง ซึ่งในหนังเรื่องนี้เองได้มีแนวทางการนำเสนอรูปแบบการฆาตกรรมคล้ายๆกับในหนังเรื่อง Cure ในปี 1997 โดยเป็นการสะกดจิตเพื่อให้ผู้ถูกสะกดออกไปฆาตกรรมตามคำสั่งผู้สะกดอย่างมิอาจขัดขืน (หนังเรื่องนี้จึงอาจได้รับอิทธิพลจากหนังสองเรื่องแรกที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นได้) โดยในฉากจบ ท้ายเรื่อง หนังได้ทำการเฉลยที่มาของชื่อหนังที่ว่า “ H ” อย่างสมบูรณ์ ( H = Hypnotism / การสะกดจิต)


หนังเรื่องที่สี่ที่ขอแนะนำในประเด็นการสะกดจิต คงเป็น Old Boy ปี 2003 หนังเกาหลีผลงานการกำกับของ Chan-wook Park หนังนำเสนอเกี่ยวกับชายชื่อ โอแดซู ชายขี้เมาซึ่งครอบครัวถูกสังหารโหด และเขายังถูกขังในคุกลับอย่างไร้เหตุผลจากบุคคลลึกลับถึง 15 ปี ในที่สุด เขาถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีเสียงประหลาด-ชายนิรนามโทรมาบอกกับเขาว่า “ภารกิจของเขานับแต่บัดนี้คือ การล้างทวงบัญชีจากชายผู้กักขัง ทำลายครอบครัวและชีวิตของเขา” เหตุการเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวนางหนึ่งชื่อ มิโด ปรากฏตัวขึ้น หนังนำเสนอการไล่ล่า ออกค้นหาความจริงในกรณีที่เขาถูกจับมาคุมขังอย่างไร้เหตุผลถึง 15 ปีเต็ม สุดท้าย หนังเฉลยฉากจบได้อย่างสุดขนหัวลุก เมื่อมีการใช้เทคนิคสะกดจิตให้ โอแดซู ลืมเรื่องบางอย่างไป และปฏิบัติตามคำสั่งทุกครั้งที่ได้รับสัญญาณบางอย่าง สุดท้าย ปีกนางฟ้า และกล่องของขวัญสีม่วงสุดสวย จึงกลายเป็นนรกบนดินของ โอแดซู ชายผู้ถูกสะกดจิตให้มีเพศสัมพันธ์กับลูกสาวแท้ๆของตนโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว สมแค้นชายปริศนาในเงามือ สมแค้นกับการล้างแค้นที่รอคอยมายาวนาน หนังเรื่องสุดท้าย เพิ่งได้ดูไปเมื่อคืนนี้เองครับ คือเรื่อง คน-โลก-จิต / 2012 ผลงานการกำกับของ นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับชาวไทยผู้ปลุกให้ตำนานนางนากกลายเป็นผีไทยเรื่องแรกที่โกยเงินบาทเกินร้อยล้าน หนังนำเสนอเกี่ยวกับการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดสะเทือนขวัญ โดยฆาตกรมักใช้ค้อนในการทุบเหยื่อให้ถึงเเก่ความตายโดยทุกข์ทรมานเป็นที่สุด คดีนี้เองที่ได้นำพานักจิตวิทยาหนุ่ม สาวนักนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อนหนุ่มไฮโซ และนักศึกษาสาว(สวย)ผู้มีอดีตอันขืนขม เข้ามาพัวพันและเกิดเหตุการณ์วิปริตต่างๆตามมามากมาย เรื่องนี้นำเสนอการสะกดจิตในแนวทางเพื่อดึงความทรงจำจากเหยื่อในวัยเด็กกลับคืนมา ซึ่งนำพาไปสู่ฉากจบของเรื่องน่าหวาดหวั่น
การสะกดจิต และการสะกดจิตที่ปรากฏในหนังสยองขวัญ อาจสร้างความหวาดหวั่นให้ผู้รับข้อมูลได้ไม่มากก็น้อย เราสามารถสะกดจิตเพื่อคลายความเครียด และสะกดจิตเพื่อควบคุมอาการเจ็บปวด(ในทางการแพทย์) แต่ในขณะดียวกัน ด้านมืดของการสะกดจิตในชีวิตจริงก็น่ากลัวไม่แพ้ประโยชน์ของมัน เช่น การสะกดจิตเพื่อตกทรัพย์ และการสะกดจิตเพื่อครอบงำความคิด เป็นต้น ในหนังสยองขวัญ การสะกดจิตมีหลากหลาย ทั้งการสะกดเพื่อให้ไปฆ่าคนตามที่ใจผู้สะกดมุ่งหวัง สะกดเพื่อการทดลองทฤษฏีใหม่(เช่นใน Cure / 1997) สะกดเพื่อให้ตนเองรู้สึกเป็นผู้ชนะ สะกดเพื่อการล้างแค้น และสะกดจิตเพื่อรื้อพื้นอดีต เป็นอาทิ การสะกดจิตจึงเป็นได้ทั้งด้านดีและด้านมืดของผู้สะกด โดยผู้ถูกสะกดส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวล่วงหน้า การสะกดจิตที่เป็นที่แพร่หลายมากที่สุดในยุคปัจจุบัน อาจมาจากจอทีวีรูปทรงสี่เหลี่ยมก็เป็นได้ ว่าแต่…คุณๆทั้งหลาย จะรู้ตัวกันรึเปล่านะ? (นั่นสิ)…………..
บทความโดย : samara17520
(วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2555)
อันนี้มันสะกดจิตเพื่อหวังผลในอีกแง่ น่าหวั่นจริงๆ
นึกถึง body ศพ 19 ของไทยเราอยู่เหมือนกันนะ
ไอ้การสะกดจิตเนี่ย
ไอ้การสะกดจิตเนี่ย
เคยเปิดไปช่องธรรมะช่องหนึ่งในดาวเทียมไทยคม C_ ใช่เลย สะกดจิต (ภาพที่สีฟ้าๆ ไล่จากเล็กมาใหญ่ จากใหญ่ไปเล็ก / พร้อมคำพูดเบาๆช้าๆ)
ปอลิง. เอ้อ T T"
ปอลิง. เอ้อ T T"
หนังน่าสนใจดีนะครับ
นี่แหละค่ะ ที่กำลังตามหา^^
Function Used time : 0:00:00:00.015