[REVIEW] The Grey
by AguileraAnimato • วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 16:10

The Grey เป็นเรื่องราวของนักขุดเจาะน้ำมัน ที่ระว่างไปปฏิบัติภารกิจที่อลาสก้า เครื่องบินโดยสารของพวกเค้าเกิดตกลงกลางภูเขาที่หนาวเหน็บและปกคลุมไปด้วยพายุหิมะ... มีเพียง 7 คนเท่านั้นที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ พวกเค้าพยายามประคับประคองร่างกายที่บาดเจ็บท่ามกลางสภาพอากาศอันทารุณ แต่ทว่ายังมีอีกสิ่งที่ทารุณยิ่งกว่าม่านหมอกของหิมะ นั้นคือฝูงหมาป่าหิวโหยนับสิบตัวที่ออกลาดตระเวน และพวกมันก็จ้องบรรดาผู้รอดชีวิตทั้ง 7 ไว้เป็นอาหารอันโอชะแล้ว
ถึงแม้พล๊อตหนังจะฟังดูเป็นหนังสัตว์กินคนทั่วไป แต่เอาจริงๆเราคิดว่าหนังลดทอนความโหดของตัวสัตว์ร้ายในเรื่องออก นั้นคือไม่ทำให้มันโดดเด่นจนกลายเป็นดารานำ แต่ทำให้หมาป่าในเรื่องกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติที่โหดร้าย หรือพูดให้ง่ายก็คือ สิ่งที่ตัวเอกในเรื่องต้องต่อสู้จริงๆคือ ความเลวร้ายของสภาพสิ่งแวดล้อมต่างหาก
ในหนังสัตว์ร้ายทั่วไป พวกสัตว์เหล่านี้หากไม่เกิดเพราะมนุษย์แส่ไปทดลองทางวิทยาศาสตร์จนกลายเป็นสัตว์ประหลาดไล่ฆ่าคน ก็เพราะพวกมันยุ่มย่ามเข้ามายังเขตแดนของพวกมนุษย์เอง นั้นคือภาวะอันผิดปกติที่สิ่งมีชีวิตผิดแผกถิ่นเข้ามาในพื้นที่ของมนุษย์ จึงทำให้มันคือ"สิ่งประหลาด" ในแดนดินของพวกเรา
แต่ในหนังเรื่องนี้ เราจึงไม่อาจไปบ่งชี้ได้ว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด จำพวกหนังสัตว์กินคน (แม้ว่ามันจะกินก็ตาม) เพราะเป็นมนุษย์เองต่างหากที่เข้าไปในพื้นที่ของมัน และมันก็อยู่กันตามธรรมชาติ ออกล่าเหยื่อเป็นเรื่องปกติ
ซึ่งที่จะพูดมาข้างต้นก็เพื่อจะบอกว่า หากคุณคาดหวังความอล่างฉ่าง หวาดผวาแบบหนังสัตว์ดุทั่วไป คุณอาจจะไม่รู้สึกสนุกสนานตื่นเต้นกับเรื่องนี้ เพราะหนังจะไม่พยายามบิลด์อารมณ์ระทึกขวัญพวกนั้นเลย ทุกอย่างจะค่อยเป็นค่อยไป เรื่อยๆนิ่งๆ ให้เราได้คอยดูสภาพจิตใจ สภาพการดำรงชีวิตของมนุษย์ มากกว่าจะมุ่งเน้นไปที่ภาพการต่อสู้กับสัตว์ร้าย
ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องบอกว่าหนังสร้างจากทุนเพียงแค่ 25 ล้านเหรียญเอง!!!! น้อยมากใช่ไหม
หมาป่าในเรื่องจึงไม่ค่อยโผล่มาจะจะ แต่หนังก็ใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่ขุ่นมัว ในการสร้างภาพเคลื่อนไหวของเงาสลัวให้เรารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของมันในทุกๆที่ หรือแม้แต่การใช้เสียงโหยหวนที่แผ่ล้อมทั่วอาณาบริเวณ เพื่อสร้างความรู้สึกมีอยู่อันชวนไม่ปลอดภัยตลอดเวลา - - การที่หนังทุนต่ำนี้เอง จึงทำให้เราได้ดูฉากเครื่องบินตกในแบบที่ไม่อลังการ แต่หนังก็ฉลาดอีกนั้นแหละที่ทำฉากนี้ให้น่ากลัวสมจริงภายใต้เงินทุนแบบนี้ ด้วยการถ่าย close up เยอะๆ (จะได้ไม่ต้องเห็นภาพมุมกว้าง) หรือการตัดต่อแบบสลับสับเร็วเพื่อปั่นป่วนความรู้สึกคนดูถึงสถานการณ์อันเลวร้าย หรือแม้แต่การถ่ายให้เห็นปีกเครื่องบินหักผ่านกระจกที่มัว ก็ช่วยกลบความสมจริงให้ดูสลัวได้พอควร
และก็เพราะทุนที่น้อยนี้เอง ที่อาจจะส่งผลให้การถ่ายภาพในหนังดูดิบมากๆ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าทางผกก. อาจต้องการให้หนังดูหยาบเช่นนั้น เพราะหนังไม่ได้นำเสนอธรรมชาติในแบบสวยงาม หิมะขาวพร่างพราว ต้นไม้ใบหญ้าแบบวินเทอร์ซีซั่นที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่หน้าหนาวในหนังเป็นความหนาวในแบบทารุณ ทุกอย่างดูแห้ง หยาบ กร้าน ปราศจากสุนทรียะแบบที่เราคุ้นเคยเมื่อนึกถึงอากาศหนาว จนแม้แต่ตัวนักแสดงเองก็ดูเหมือนรากไม้พันปีที่มีชีวิตอยู่ เพราะทุกคนดูโทรม เต็มไปด้วยริ้วรอย วงปี ดูแล้วโหดสัสพอๆกับฉากที่พวกเค้ายืนอยู่.... แต่ก็นี้แหละความเป็นจริงของธรรมชาติ มันไม่ได้สวยงาม แต่มันคือสภาพของการเอาตัวรอด การล่าเหยื่อ และเราอาจกล่าวได้ว่าในความทุรกันดาร มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้
แต่ที่นี้อะไรล่ะคือความแข็งแกร่ง ความทานทนของร่างกาย หรือทักษะในการโจมตี สำหรับพวกหมาป่าก็คงเป็นเช่นนั้น แต่มนุษย์ที่อยู่ผิดที่ผิดทางล่ะ ความแข็งแกร่งคือสิ่งเหล่านั้นจริงๆรึเปล่า ถ้าไม่ มันคืออะไรที่ทำใหเราแตกต่างจากสัตว์เหล่านั้น
คำว่า The Grey อาจหมายถึงสีเทาของขนหมาป่า หรือสภาพของอากาศที่หนาวโพลน แต่คำๆนี้ก็แสลงที่หมายถึงคนแก่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าสิ่งที่หนังโฟกัสจริงๆก็คือ ตัวละครเอก สิ่งที่เค้าทำ สิ่งที่เค้าคิด นั้นเอง ในตอนแรกผกก. Joe Carnahan ตัดสินใจเลือก Bradley Cooper มารับบทนำ (หลังจากร่วมงานกันมาแล้วใน The A-Team) แต่ในตอนหลังก็เปลี่ยนเป็นเลียม นีสัน แทน (ก็ก๊กเดิมจากเรื่องเก่าอีกแหละ) โดยให้เหตุผลว่า แบรดลี่ย์หนุ่มเกินไปที่จะรับบทตัวละครที่ต้องแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้การให้ตัวละครนี้ดูแก่ จึงอาจจะสร้างเหตุผลที่ดี 1. เราสัมพันธ์ได้ถึงความเชื่อมโยงในความโรยราของวัย กับสภาพภูมิประเทศที่แห้งเหือด 2. เราสัมผัสได้ถึงความแก่ ความเกรย์ จึงเหมือนสถานะทางวัย และอายุที่บ่งบอกถึงการแบกรับประสบการณ์ในชีวิต นั้นเพราะตัวละครนี้ต้องแบกรับความทุกข์ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยาไป และหนังก็ได้แสดงให้เห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่าเค้าไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่.... แต่ก็ตามสูตรหนังดราม่าที่ดี นั้นคือเค้าก็ได้เผชิญกับแบบทดสอบที่ทำให้เค้ามีมุมมองที่เปลี่ยนไปกับชีวิต ก็อย่างที่เรารู้กันว่าในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เราจึงจะได้เรียนรู้ถึงสิ่งมีค่า สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ซึ่งตรงนี้เองก็เป็นการใช้ประโยชน์จากความสูงวัยของตัวละคร การที่ผ่านโลกมามาก ย่อมหมายถึงความคิดความอ่านที่สุขุม ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทั้งจากการสูญเสียภรรยา และความทรงจำที่มีต่อพ่อ ความสัมพันธ์แบบผู้ชายของพ่อกับลูกชาย การถ่ายทอดพันธุกรรมแบบคนไอริชเลือดนักสู้ สิ่งต่างๆเหล่านี้เองที่เป็นความแตกต่างของสัตว์กับมนุษย์ เพราะมนุษย์มีความทรงจำ จึงมีทั้งความสุข และความเจ็บปวดและมันก็ผลักดันให้คนที่หมดหวังลุกขึ้นยืนหยัดในนาทีสุดท้าย ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่หนังต้องการจะบอกว่า สิ่งที่แข็งแกร่งของมนุษย์คือจิตใจที่มุ่งมั่นที่ต้องการเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง เพราะมีแต่เราเองนี้แหละที่จะเป็นผู้กำหนดสิ่งต่างๆว่าจะอยู่หรือจะไป (ในหนังเองก็มีฉากนึงที่ตัวละครหมดหวังจนก่นด่าพระเจ้าว่าทำไมไม่สร้างปาฏิหารย์อะไรเลย) และนั้นก็นำมาซึ่งฉากจบที่พระเอกเลือกจะหันหน้าต่อสู้ ยืนหยัดเอาชนะหมาป่า ตัวแทนของธรรมชาติอันโหดร้ายแต่เพียงลำพัง
ในกระแสสำนึกสุดท้ายของเค้า คงมีเพียงบทกลอนที่พ่อเขียนไว้
Once more into the fray
Into the last good fight I’ll ever know
Live and die on this day ...
สรุปแล้วถ้าอยากดูหนังมันส์ๆโหดๆ เรื่องนี้ไม่อาจตอบสนองคุณได้ แต่ถ้าอยากดูหนังแมนๆจริงใจ และมอบพลังในการมีชีวิตอยู่ต่อ ก็มาดูเถอะ มันเป็นหนังให้กำลังใจที่ดีเรื่องนึง
Replies (3)
ขอบคุณบทความเน่อ รอดูๆ ชอบลุงเลียม
อดดูจร้า อยู่บ้านนอก โรงหนังคัดเเต่หนังใหญ่ๆเอาเเต่กำไร ประชาชนอย่างเราเลยไม่ได้ดู
รอดูเเผ่นเเล้วกัน
รอดูเเผ่นเเล้วกัน
เยี่ยมครับ ... เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดอีกเรื่อง
Function Used time : 0:00:00:00.014