บทความ : เมื่อปีเถาะ-กระต่ายน้อยกำลังจะผ่านไป และปีมะโรง-งูใหญ่ 2555 กำลังจะเข้ามาแทนที่

by samara17520 • วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 10:54
บทความ : เมื่อปีเถาะ-กระต่ายน้อยกำลังจะผ่านไป และปีมะโรง-งูใหญ่ 2555 กำลังจะเข้ามาแทนที่



เที่ยงของวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2554 ณ ห้วงเวลาที่ฉันกำลังเขียนบทความชุดนี้อยู่มวลน้ำขนาดมหึมาคงกำลังถาโถมไหลทะลักเข้าสู่กรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทยอย่างน่าหวาดหวั่น ตอนช่วงเช้านี้เองได้รับข่าวสารจากทางญาติพี่น้องที่ทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองกรุงส่งข่าวมาว่ากำลังจะอพยพไปพักที่ต่างจังหวัดชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย อาจนานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือนก็ยังหารู้ไม่ แต่ที่แน่ๆคืองานนี้ทุกคนเดือดร้อนอย่าสาหัส จนคำๆหนึ่งดังแว่วออกมาจากใจของใครอีกหลายคนว่า “ เพราะเราทำร้ายธรรมชาติ อยากเอาชนะธรรมชาติมากเกินไปหรือเปล่า ธรรมชาติจึงสำแดงฤทธิ์เดช แลกระซิบด้วยเสียงทะยานพวยพุ่งของเหล่าวารีขนาดมหาศาล……”

กล่าวกันว่าปีไหนแสดงด้วยสัญลักษณ์เป็นพญางูใหญ่-เทพนักษัตรประเภทพญางูด้วยแล้ว ปีนั้นอาจมากและอุดมชุ่มชื่นไปด้วยน้ำท่า ปีนี้ขนาดยังไม่ทันสิ้นปีแต่รู้สึกท่านมะโรงจะเอางานเอาการขยันเสียจนเกินตัว น้ำเลยมามากและอยู่นานอย่างผิดปกติ หากกล่าวกันถึงมะโรง หรือปีงูใหญ่นั้นตามหลักเทพนักษัตรศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าอยู่ต่อท้ายองค์เทพกระต่ายและก่อนหน้าเทพงูเล็ก คนไทยเชื่อเรื่องงูใหญ่ว่าศักดิ์สิทธิ์และเป็นดั่งเทพผู้คุ้มครองพระพุทธศาสนาดังมีเรื่องเล่า-ตำนานว่าครั้งหนึ่งเคยมีนาคมาขอบวชแต่พอถูกจับได้ว่ามิใช่มนุษย์ ต้องสึกไป ด้วยความอาลัยนาคจึงของฝากชื่อไว้ในพุทธศาสนาคือแฝงอยู่ในรูปของศิลปะตกแต่งประดับอาคารสถานที่ดังปรากฏในกาลปัจจุบัน

พญานาคที่มีชื่อเสียงในพระพุทธศาสนายกตัวอย่าง เช่น นาคแผ่พังพานใต้ร่มไม้จิก(ต้นมุจจลินทร์)เพื่อบังแดดบังลมบังฝนให้พระพุทธเจ้า นาคตนนี้มีชื่อว่า “มุจจลินทร์นาคราช ” นอกจากนี้ยังปรากฏพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ทรงกำเนิดเป็นพญานาคชื่อ “ภูริทัต ” ดังมีตำนานทางสายพุทธศาสนาเล่าไว้อย่างน่าสนใจตอนหนึ่งว่า ตำนานพระเจ้า 10 ชาติ ตอนพระภูริทัติ ครั้งพระพุทธเจ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพระภูริทัติมี เรื่องเล่าแต่นานมาว่าพระเจ้าพรหมทัต แห่งเมืองพาราณสีทรงมีพระธิดาทรงพระสิริโฉมงดงามนามว่าพระนางสมุททชา ได้อภิเษกสมรสกับพญานาคนามว่า ฐตรฐ กษัตริย์แห่งเมืองนาคมีโอรสด้วยกัน 4 พระองค์ โดยองค์ที่ 2 นามว่า “ทัตตกุมาร” มีปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลมกว่าพระองค์อื่น ฐตรฐมักจะพาออกงานพระราชพิธีสำคัญๆเป็นประจำทุกปี ครั้งหนึ่งฝ่ายฐตรฐพระบิดาพาทัตตกุมารไปเฝ้าท้าววิรูปักษ์ จ้าวแห่งนาคทั้งปวงอันนำพาเหล่านาคทั้งหลายขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้งพระอินทร์ทรงตั้งคำถามขึ้นมาข้อหนึ่งแต่เหล่าเทวาและนาคราชมิอาจตอบคำถามได้ด้วยความงวยงง ทัตตกุมารจึงแสดงความเฉลียวฉลาดออกมาในคราบัดนั้นตอบคำถามของพระอินทร์ได้อย่างแตกฉาน สร้างความพอพระทัยให้แก่พระองค์เป็นยิ่ง ประทานตั้งชื่อเพิ่มเติมให้แก่ทัตตกุมารว่า “ภูริทัตตกุมาร” อันแปลว่า “กุมารผู้ซึ่งมีสติปัญญากว้างใหญ่ประดุจดั่งผืนแผ่นดิน” อยู่มานานวันภูริทัตตกุมารนึกอยากที่จะไปเกิดเป็นเทวาบนสวรรค์ชั้นดังกล่าวบ้างจึงตั้งรักษาศีลอุโบสถ ณ จอมปลวกใต้ร่มไทรริมฝั่งแม่น้ำยมุนา จิตก็อธิษฐานว่า “เรานี้หน๋าจะขอรักษาศีลนี้ให้มั่น ผู้ใดจักต้องการเนื้อเรา หนังเรา ชีวิตเราก็จงเอาไปเสียเถิด” อยู่มาวันหนึ่งนายพราน 2 พ่อลูกได้มารู้ความลับของภูริทัตตกุมารเข้าว่ามิใช่มนุษย์แต่เป็นนาค และวอนขอให้ภูริทัตตกุมารพาไปเที่ยวเมืองนาคเป็นเวลา 1 ปีจนสุขสำราญดี ครั้งครบเวลา 1 ปีภูริทัตตกุมารก็พานายพรานทั้ง 2 มาส่งยังเมืองมนุษย์และขอให้เก็บความลับที่ตนเป็นนาคเอาไว้ให้มั่นเพราะไม่ต้องการให้ใครมารบกวนขณะรักษาศีลอุโบสถ

ต่อมานายพรานผู้พ่อเกิดอยากได้แก้วมณีอันล้ำค่าจากพราหมณ์ผู้มีเวทมนต์กล้าแข็งท่านหนึ่ง จึงเกิดการตกลงกันว่านายพรานจะบอกที่อยู่ของภูริทัตตกุมารให้ แต่ต้องแลกกันคาถามนต์จับงูชื่อ “อาลัมพายน์” ฝ่ายพรานผู้ลูกไม่เห็นด้วยกับการกระทำของบิดาจึงแยกตัวออกห่างไปบวชเป็นฤาษีในป่าลึก ปรากฏว่าหลังจากพราหมณ์ได้ตัวภูริทัตตกุมารไว้ในครอบครองแล้วก็มอบแก้วมณีให้แก่นายพรานผู้พ่อไป แต่ขณะที่นายพรานจะรับแก้วมณีนั้นเอง ด้วยความประมาณแก้วมณีหลุดจากมือตกน้ำจมหายไปยังดินแดนแห่งนาคแทน นายพรานผู้พ่อร่ำไห้ด้วยความเสียดายเพราะความโลภนั่นเองตนจึงสูญเสียของรักทั้ง 3 จนสูญสิ้น(เสียไมตรีกับภูริทัตตกุมาร เสียบุตรชาย และเสียแก้วมณี) ต่อมาพราหมณ์จอมขมังเวทผู้ชั่วช้าได้นำพาภูริทัตตกุมารในร่างของนาคออกไปตระเวนแสดงตามหมู่บ้านต่างๆได้เงินเป็นกอบเป็นกำมากมายแต่ก็ไม่ยอมปล่อยภูริทัตตกุมารให้เป็นอิสระแต่ประการใด ครั้งกาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปได้ราวสัก 1 เดือนเต็มปรากฏไม่มีผู้ใดพบเห็นภูริทัตตกุมาร ณ สถานที่รักษาอุโบสถศีลแต่ประการใด ทำให้พี่น้องอีก 4 ตนอันประกอบไปด้วย พี่ชายและน้องชายทั้ง 3 รวมทั้งน้องสาวต่างมารดาอีก 1 นางเป็นห่วงยิ่ง ทั้ง 4 พี่น้องจึงช่วยกันออกตามหาภูริทัตตกุมารด้วยความยากยิ่งดังนี้ อริฏฐนาคไปตามหาที่บนสรวงสวรรค์ สุโภคนาคไปตามหาที่ป่าหิมพานต์ ส่วนสุทัสสนนาคและน้องสาวต่างมารดาไปตามหายังโลกมนุษย์(สุทัสสนนาค แปลงเป็นพระฤาษี ส่วนน้องสาวต่างมารดา แปลงเป็นเขียดซ่อนอยู่ที่มวยผมของพระฤาษีแปลง) ครั้งสุทัสสนนาคทราบข่าวจากชาวเมืองว่ามีพราหมณ์แก่กล้าอำนาจได้จับนาคตนหนึ่งมาแสดงเพื่อเก็บทรัพย์เข้าสู่ส่วนตนอย่างละโมบ ฤาษีแปลงผู้เป็นพี่ชายของภูริทัตตกุมารจึงเดินทางไปร่วมชมการแสดงดังกล่าวและกล่าววาจาท้าทายพราหมณ์ชั่วให้นำนาคตนดังกล่าวมาสู้กับเขียดน้อยของตน เขียดน้อยได้คายพิษออกมาเพียง 3 หยดทำให้พราหมณ์ชั่วซึ่งถูกไอพิษดังกล่าวกลายเป็นโรคเรื้อนขึ้นมาในทันทีและจำต้องปล่อยให้ภูริทัตตกุมารเป็นอิสระและมีการฉลองการกลับมาของภูริทัตตกุมารอยู่ยาวนานในเมืองนาค และนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาทั้งเมืองนาคและเมืองมนุษย์ต่างก็อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขตราบนานเท่านาน

รูปประกอบ 1 : พญามุจจลินทร์นาคราช วัดคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา


พูดถึงงูใหญ่-พญานาคพ่นน้ำในจินตนาการแล้วพาลให้นึกถึงเศียรพญานาคยักษ์ที่สวนสองทะเลจังหวัดสงขลาขึ้นมายังไงชอบกล จึงขอเล่าไว้เป็นความรู้เสียหน่อย สวนสองทะเลนั้นตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครสงขลาจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากแห่งหนึ่งของชาวจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง โดยเมื่อไม่นานมานี้สวนสองทะเลเพิ่งได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่จากทางเทศบาลนครสงขลาจนเมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวแล้วสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างว่า ดีกว่าเดิมมาก นอกจากจุดเด่นของสวนสองทะเลจะอยู่ที่อนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ที่มีผู้มาบนบานสักการบูชากันอย่างไม่ขาดสายแล้ว ยังปรากฏว่ามีการสร้างงานประติมากรรมขึ้นมาอย่างมากมาย(ประมาณว่าเพื่อเป็นจุดถ่ายรูปคู่กับนักท่องเที่ยว) ที่ดูว่าน่าจะโดดเด่นมากกว่าใครเพื่อนในบริเวณนี้คงจะหนีไม่พ้นประติมากรรมรูปเศียรพญานาค(ขนาดยักษ์)ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในบริเวณดังกล่าว โดยวันดีคืนดีเศียรพญานาคนี้สามารถที่จะพ่นน้ำได้เองด้วย(เพราะมีสายยางซ่อนอยู่ในช่องปาก) พูดถึงเรื่องพญานาคแล้วผู้เขียนจึงขอเล่าตำนานทางความเชื่อเกี่ยวกับรูปประติมากรรมที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่สวนสองทะเลนี่เสียหน่อย กล่าวคือ คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า พญานาค เป็นราชาแห่งงู เป็นสัตว์น้ำที่มีฤทธิ์อำนาจมาก อยู่อาศัยในบาดาล คือ ใต้พิภพ พญานาคจัดเป็นงูใหญ่มีหงอนอย่างสวยงาม ถือเป็นสัตว์ในนิยาย โดยเชื่อว่านาค มีอยู่ด้วยกัน 4 พวก คือ
1.นาคสวรรค์ มีหน้าที่เฝ้าวิมานเทวดา
2.นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน
3.นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำ ลำธาร และทะเล
4.นาครักษาขุมทรัพย์ มีหน้าที่รักษาขุมทรัพย์ เป็นต้น

พญานาค ถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งงูซึ่งล้วนเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามาอย่างยาวนานถึงขนาดเคยมีนาคแอบแฝงเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา แต่เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติกิจของสงฆ์ได้ครบถ้วนจึงขอเพียงฝากชื่อเอาไว้ให้ได้ระลึกถึง โดยเวลาบวชให้เรียกว่า การบวชนาค นอกจากนี้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา นาคจึงมักแฝงตัวอยู่ตามสถาปัตยกรรมภายในวัดเพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา ดังปรากฏเป็น ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หรือแม้แต่คันทวย ก็ถือว่าเป็นนาคด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนทางอินเดียเรียกนาคว่า นากา (naga) และถือกันว่านาคชื่อ วาสุกิ (vasuki) เป็นเจ้าแห่งนาคทั้งปวง ซึ่งตามตำนานทางฝ่ายอินเดียมีความเชื่อในเรื่องอันเกี่ยวข้องกับพญานาค ดังนี้ กล่าวคือ นาค คืองูอันมีหงอนอย่างสวยงาม จัดเป็นกึ่งเทพกึ่งสัตว์ในหิมพานต์ ระดับธรรมดาให้เรียกว่า นาค แต่หากเป็นระดับหัวหน้าให้เรียกว่า พญานาค นาคที่มีฤทธิ์สูงสุดชื่อ พญาอนันตนาคราช ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า วาสุกิ นาคไม่ถูกกับครุฑแม้นจะเป็นพี่น้องกันซึ่งในเรื่องนี้มีตำนานเล่าว่า ครุฑ กับ นาค เป็นพี่น้องมีบิดาองค์เดียวกัน คือ พระกัศยปเทพ ครุฑเป็นลูก นางวินตา (เมียหลวง) นาคเป็นลูก นางกัทรุ (เมียน้อย) อยู่มาวันหนึ่งนางกัทรุเกิดท้าพนันนางวินตาว่า แม้นผู้ใดทายสีของพระอาทิตย์ไม่ถูกจะต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่ง นางวินตารับคำท้าแล้วว่าดวงพระสุริยาทิตย์นี้มีสีแดง ส่วนนางกัทรุทายว่ามีสีดำ จริงแล้วดวงอาทิตย์นี้มีสีแดงแต่ว่านางกัทรุใช้ให้ลูกของนางที่เป็นนาคไปพ่นพิษใส่ จึงปรากฏเป็นดวงตะวันสีดำ นางวินตาและครุฑผู้เป็นลูกจึงแพ้พนันจำต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่ายจนได้รับความทุกข์ทรมานมาก ต่อมาปรากฏว่าเรื่องที่นาคไปพ่นพิษใส่ดวงอาทิตย์แตก ทำให้ครุฑและนาคเป็นศัตรูกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ดังปรากฏเป็นรูปงานพุทธศิลป์ให้ได้เห็นอยู่อย่างมากมาย พญานาคที่ปรากฏอยู่ที่สวนสองทะเลนี่จึงน่าที่จะเป็นพญานาคประเภทนาคโลกบาล อันมีหน้าที่ในการรักษาแม่น้ำ ลำธาร และทะเล

รูปประกอบ 2 : นารายณ์บรรทมสินธุ์บนบัลลังก์พญาอนันตนาคราช

นอกจากนี้พญานาคยังมีบทบาทในตำนานฝ่ายพราหมณ์-ฮินดูอย่างสำคัญยิ่งดังมีเรื่องเล่าในบท กวนเกษียรสมุทร อย่างน่าสนใจว่า ผู้ที่นับถือในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ต่างมีความเชื่อกันว่ายุคต่างๆที่ปรากฏในโลกมนุษย์นั้นมี 4 ยุคด้วยกันคือ
1.กฤดายุค คือยุคที่มนุษย์มีความดีอยู่มาก........พระนารายณ์ท่านจึงมีกายเป็นสีขาว
2.ไตรดายุค คือยุคถัดมาที่มนุษย์เกิดความเสื่อมทางความดีลง.......พระนารายณ์ท่านจึงมีกายเป็นสีแดง
3.ทวาบรยุค คือยุคที่คุณงามความดีของมนุษย์เริ่มเสื่อมลงไปกว่าไตรดายุค........พระนารายณ์ท่านจึงมีกายเป็นสีเหลือง
4.กลียุค หรือยุคปัจจุบัน เชื่อกันว่ามนุษย์มีความเสื่อมทางคุณงามความดีมากที่สุด..........พระนารายณ์ท่านจึงมีกายเป็นสีดำ หรือสีดอกอัญชัน กลียุคจึงถือเป็นยุคแห่งมืดบอดของคุณงามความดีอย่างแท้จริง

เนื่องด้วยพระนารายณ์ท่านอวตารลงมาในยุคที่เรียกกันว่า กฤดายุค ตามตำนานนั้นจึงเชื่อกันว่า ท่าน นั้นมีสีของผิวกายเป็นสีขาว แต่พอมองดูในภาพที่ส่งมาให้นี่กลับกลายเป็นว่าเห็นรูปสีกายของพระนารายณ์เป็นสีม่วงซึ่งตรงกับยุคที่ 4 มากกว่า จากข้อนี้ผมจึงขอสัญนิษฐานเอาเองว่าอาจจะเกิดมาจากความเชื่ออย่างฝังรากลึกของช่างศิลป์ หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างรูปงานดังกล่าวก็ได้ ที่มุ่งเน้นแสดงภาพลักษณ์ในความเชื่อปัจจุบันก็เป็นได้ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับว่า ทำไมจึงต้องเกิดพิธีกวนเกษียรสมุทร ขึ้น ตามตำนานทางความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นี่ล้วนเชื่อสอดคล้องสัมพันธ์กันว่า ในยุคกฤดายุคนี้เอง ในช่วงที่เรียกกันว่า กูรมาวตาร หรือพระนารายณ์อวตารปางที่ 2 มีฤษีท่านหนึ่งมีชื่อว่า ทุรวาส หรือพระศิวะจำแลง ได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปในพื้นพิภพโดยทั่ว ครั้งเดินทางไปได้นานพอควรก็ไปเจอเข้ากับพระอินทร์ซึ่งประทับอยู่บนพญาช้างเอราวัณ ฤษีทุรวาสเห็นเป็นดังนั้นจึงคิดเข้าไปชื่นชมบารมีของพระอินทร์บ้าง จึงเดินย่ากรายเข้าไปพร้อมมอบถวายพวงมาลัยดอกไม้สดให้พวงหนึ่ง

พระอินทร์ท่านทรงพอพระทัยเป็นยิ่งจึงนำพวงมาลัยดอกไม้สดมาวางเอาไว้บนกระพองของพญาช้างเอราวัณ แต่เนื่องด้วยกลิ่นของพวงมาลัยดอกไม้สดนั้นทำให้พญาช้างเกิดอาการมึนเมาจึงใช้งวงจับพวงมาลัยได้ก็โยนลงพื้นดินแล้วใช้เท้ากระทืบจนแหลกละเอียด ฤษีทุรวาสเกิดบันดารโทษะในเหตุการณ์ดังกล่าวจึงสาปแช่งขอให้พระอินทร์และเหล่าเทพยดาทั้งหลายบนสวรรค์รบแพ้เหล่าอสูรท่ามกลางความตกใจของพระอินทร์ กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาไม่นานปรากฏว่าเทวดาเริ่มรบแพ้อสูรมากครั้งขึ้นเรื่อยๆ พระนารายณ์จึงแนะนำพระอินทร์ว่าให้แก้คำสาปของฤษีทุรวาส(พระศิวะแปลง)ด้วยพิธี กวนเกษียรสมุทร เสียก็จะดีเอง พระอินทร์ท่านทรงเห็นดีเห็นงามด้วยจึงไปทำการสงบศึก(ชั่วคราว)กับอสูร แล้วบอกว่าขอให้ช่วยกันมา กวนเกษียรสมุทร เสร็จแล้วจะแบ่งน้ำอมฤตให้ เหล่าอสูร และยักษ์ต่างหลงกลจึงเกิดพิธีกวนเกษียรสมุทรขึ้น ณ บัดนั้น ด้วยการที่เหล่าเทวดาและอสูรได้ช่วยกันไปยกภูเขา มันทระ อันเป็นภูเขาใหญ่บนยอดหิมาลัยนครมาตั้งเข้าที่ เกษียรสมุทร หรือใน ทะเลน้ำนม จากนั้นจึงใช้ให้ พญาอนันตนาคราช หรือ พญาวาสุกรี มาพันล้อมรอบภูเขามันทระ มีอสูรดึงทางซ้าย มีเทวดาดึงทางขวา มีพระนารายณ์ทรงเป็นเทวะประทานอยู่เบื้อบนภูเขา ครั้งดึงกันไปดึงกันมาได้หลายร้อยปีพญาอนันตนาคราชก็บังเกิดความเจ็บปวดเป็นอันมากแก่กายาของตนจึงต้องคายพิษร้ายออกมา(เพื่อลดความเจ็บปวด)

คราวนี้แหล่ะที่พวกอสูรที่เป็นฝ่ายฉุดดึงทางหัวต้องเจอเข้ากับพิษร้ายที่พญานาคตนดังกล่าวคายออกมา เหล่าอสูรต่างได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก และเนื่องด้วยพิษร้ายในคราวนี้เองจึงทำให้หน้าตาของพวกอสูรที่เคยหมดจดงดงามประหนึ่งเป็นเทพ เทวดาต้องมลายหายไปเป็นมีหน้าตาที่น่าเกลียดน่ากลัวดังปัจจุบัน พิษร้ายของพญาอนันตนาคราชนี้เองแม้จะแผดเผาใบหน้าและกายาของเหล่าอสูรไปมาก แต่ก็ยังมีพิษร้ายหลงเหลืออยู่อีกมากก่อให้เกิดเป็น ?มหาไฟกรด? ปกคลุมไปทั่วทั้งจักรวาล พระศิวะทรงเห็นเข้าพอดีจึงมีความคิดที่จะไถ่โทษในคำสาปของตนเองบ้างจึงตรงปรี่เข้ามาพร้อมทั้งดูดกลืนพิษร้ายที่เหลือเกือบทั้งหมดไว้ในปากของพระองค์เอง และเนื่องด้วยพิษของ มหาไฟกรด ในครั้งนี้เองจึงทำให้พระองค์ท่านจึงมีลำคอที่ไหม้เกรียมเนื่องด้วยต้องอำนาจแห่งมหาพิษร้าย พระศิวะ หรือ พระอิศวร ท่านจึงได้ฉายานามอีกหนึ่งว่า นิลกัณฐ์ หรือ ผู้มีลำคอสีดำ แต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ยังไม่หมดครับพิษร้ายของพญาอนันตนาคราชยังไม่หมด ยังมีพิษอีกบางส่วนที่ยังคงลอยล่องตกลงมายังพื้นพิภพ โลกเรานี่แหล่ะครับ

พิษส่วนนี้เองที่ตกลงมายังพื้นดินแห่งหนึ่งพวกงู และสัตว์ต่างๆบนโลกในขณะนั้นเองยังไม่มีพิษเป็นของตนเองจึงตรงรี่เข้าแย่งชิงพิษของพญาอนันตนาคราชมาเป็นพิษประจำตน โดยในครั้งนั้น งูพญาตะบองหลา หรือ งูจงอาง มาถึงก่อนเพื่อนจึงได้รับพิษที่ร้ายแรงที่สุดไป ครั้งไม่นานงูเห่า งูแมวเซาก็มาถึงในพื้นที่ดังกล่าวบ้างจึงเกิดการแย่งชิงพิษกันจนแทบหมด ในที่สุดคางคกซึ่งเดินทางมาช้ากว่าเพื่อนก็มาถึงจึงใช้คางรับเอาพิษที่เหลือหยดสุดท้ายไว้คางคกจึงมีพิษที่คางนับแต่บัดนั้น เข้าเรื่องกันต่อครับกับพิธีกวนเกษียรสมุทรที่เหล่าอสูรและเทวดากำลังกวนกันอยู่นี้เองผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ก็ปรากฏว่าเหล่าเทวดาและอสูรได้โยนเอาสมุนไพรและสิ่งวิเศษต่างๆลงไป ปีแล้วปีเล่า ปีแล้วปีเล่าจนแผ่นดินในบริเวณดังกล่าวเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระนารายณ์เห็นเป็นดังนั้นก็เริ่มวิตกว่าโลกใบนี้ แผ่นดินนี้จะรองรับและต้านทานการกวนเกษียรสมุทรได้หรือ? พระองค์(พระนารายณ์)ท่านจึงแปลงกายเป็น กูรมะ หรือ เต่า ใช้กระดอง(ซึ่งเป็นเพชร)รองรับภูเขามันทระแทน จนกาละเวลาล่วงเลยผ่านมาจนครบปีที่ 1000 ครับพอครบปีที่หนึ่งพันแล้วนี่ก็ปรากฏว่าเกิดสิ่งของวิเศษต่างๆออกมาจากพิธีกรรมดังกล่าวมากมายเป็นดังนี้
1.แม่โคสารพัดนึกชื่อ สุรภี
2.นางวารุณี (เทพีแห่งสุรา)
3.ต้นปาริชาต
4.นางอัปสรา 35 ล้านนาง
5.พระจันทร์
6.พระศรี หรือ พระลักษมี
7.ม้าอุจไฉศรพะ
8.น้ำอมฤต หรือน้ำทิพย์ที่เชื่อกันว่าเมื่อกินเข้าแล้วจะทำให้เป็น อมร หรือ ผู้ซึ่งไม่รู้จักตาย
9.หอยสังข์
10.เกาษฏก หรือ ดวงแก้ววิเศษ
11.ของวิเศษอื่นๆ


เมื่อได้น้ำอมฤตตามต้องประสงค์แล้วนี่พวกเทวดากลับไม่ทำตามสัญญา เพราะเป็นฝ่ายที่ได้กินน้ำอมฤตเพียงฝ่ายเดียว ส่วนพวกอสูรนั้นเหรอครับ พวกอสูรเหล่านั้นถูกพระนารายณ์จำแลงตนเป็นหญิงงามหลอกล่อไปหมด สัญนิษฐานเอาครับว่าพวกอสูรอาจจะเป็นพวกหัวงูและชีกอก็ได้เพราะเจอสาวสวยเป็นไม่ได้ครับต้องตามจีบตามรักทุกครั้งไป คราวนี้แหล่ะครับพอพวกเทวดาได้ดื่มได้กินอมฤตแล้วจึงไม่รบแพ้พวกอสูรอีกต่อไป คำสาปของพระศิวะจึงถึงวาระสิ้นสลายในที่สุด แต่ก็มีนะครับมีอสูรอยู่ตนหนึ่งที่ได้ดื่มได้กินอมฤต อสูรตนนั้นก็คือ ราหู ที่ซึ่งแปลงกายเป็นเทวดาเข้าร่วมดื่มกิน แต่ก็ถูกพระนารายณ์จับได้ด้วยความร่วมมือของพระจันทร์ พระนารายณ์ใช้ จักรสุทรรศน์ ตัดกายราหูออกเป็น 2 ส่วน แต่เนื่องด้วยราหูนั้นดื่มอมฤตไปแล้วจึงไม่ตายกายร่างจึงขาดเป็น 2 ท่อนเพียงเท่านั้น กายหนึ่งคือราหูอันคอยจ้องล้างแค้นพระจันทร์อยู่ร่ำไป ส่วนอีกกายหนึ่งตกลงมายังโลกเป็น พระเกตุ อันมีเหล่านาคเป็นบริวาร เรื่องราวของพิธีกวนเกษียรสมุทรจึงจบลงด้วยประการละฉะนี้แล

ผ่านเรื่องงูใหญ่ในความเชื่อของชาวพุทธ และพราหมณ์-ฮินดูไปพอสมควรแล้วผู้เขียนจึงขอเล่าเพิ่มเติมถึงตำนานงูใหญ่ฝ่ายจีนนิยม ซึ่งก็คือ “ พญามังกร ” สัตว์เทพในตำนานโดยย่อ ดังนี้ มังกรถือเป็นงูใหญ่ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณว่าเป็นหนึ่งใน 4 สุดยอดแห่งพญาสัตว์ อันประกอบไปด้วย หงส์ กิเลน เต่า และมังกร มังกรนั้นถือกันว่าเป็นสัตว์ลูกผสม 5 สายพันธุ์อันประกอบไปด้วย
1.เขาได้จากกวาง
2.ตัวได้จากงู
3.หัวได้จากวัว
4.เกล็ดได้จากปลา
5.เท้าได้จากนกเหยี่ยว

ตามต้นตำนานของจีนโบราณได้เล่าอ้างว่ามังกรนั้นมี 3 ชนิด มังกรที่มี 3 เล็บนั้นเป็นมังกรระดับล่าง มังกรที่มี 4 เล็บนั้นเป็นมังกรระดับกลาง(มังกรธรรมดา) ส่วนมังกรที่มี 5 เล็บนั้นเป็นมังกรระดับใหญ่มีความหมายถึง องค์จักรพรรดิ (สังเกตได้ว่าฉลองพระองค์ของพระจักรพรรดิมักจะเป็นรูปมังกร) ว่ากันว่ามังกร 5 เล็บนั้นมีอำนาจมากและมีด้วยกันในโลกใบนี้เพียง 5 ตัว อยู่กลางทะเลลึกซึ่งอุดมไปด้วยไข่มุกและพลอย

มังกรทั้ง 5 จะมีประจำทิศละ 1 ตัวเท่านั้น กล่าวคือทิศเหนือ, ใต้, ออก, ตก ส่วนตัวสุดท้ายจะประจำอยู่ตรงกลางถือเป็นตัวหัวหน้าใหญ่ มังกรเป็นสัตว์ในหิมพานต์ที่อดทนต่อความตาย(ประมาณว่าตายยากมาก) ตามตำนานโบราณของจีนกล่าวไว้ว่ามังกร 5 เล็บจะตายก็ต่อเมื่อทวีปนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทั้ง 4 ดวง และน้ำในสระอโนดาตแห้งสนิทเท่านั้น (ซึ่งสัญนิษฐานว่าดวงอาทิตย์ขี้นพร้อมกันทั้ง 4 ทิศนี่น่าที่จะหมายถึงการเกิดสงครามใน 4 ทวีป)

นอกจากนี้ชาวจีนยังเชื่ออีกด้วยว่ามังกรตัวผู้เท่านั้นจึงจะมีเขาและมีเครา ซึ่งไม่มีในมังกรตัวเมีย และมังกรตัวผู้ต้องใช้เวลาถึง 500 ปี จึงจะมีเขางอกขึ้นมาสักหนหนึ่งโดยหากมังกรอายุครบ ๑,๐๐๐ ปีเมื่อใดจะมีปีกงอกเพิ่มมาด้วย นอกจากนี้ชาวจีนโบราณยังแบ่งจำพวกของมังกรเอาไว้เป็น 9 จำพวกตามลักษณะและอุปนิสัยดังต่อไปนี้คือ

1.มังกรนักรบ ชอบอยู่ที่อาวุธ
2.มังกรเฝ้าบ้าน ชอบอยู่ที่เหนือบานประตูบ้าน
3.มังกรกินแหลก ชอบอยู่ในห้องครัว
4.มังกรระฆัง ชอบอยู่บนระฆัง หรือส่วนต่างๆของระฆัง
5.มังกรประตู ชอบอยู่ตามห่วงเคาะประตูบ้าน
6.มังกรเต่า ชอบเป็นขาโต๊ะ(เนื่องจากชอบแบกของไว้บนหลัง)
7.มังกรเล่นน้ำ ชอบเป็นหัวเสาของสะพานข้ามแม่น้ำ
8.มังกรเตือนภัย ชอบเฝ้ายามอยู่บนหลังคาบ้าน โดยเจ้าของมักเอาดาบมาเสียบหลังไว้เพื่อไม่ให้มันหนีไปไหน
9.มังกรเล่นควัน ชอบเล่นและกินควันธูปจึงนิยมไปอยู่ตามกระถางธูป เป็นต้น

รูปประกอบ 3 : มังกรจีน
ที่มาของภาพประกอบ : http://www.pickupthai.net/forums/attachments/month_1008/20100806_4674f072ab3400d1d8a6BPeRljC2HX3s.jpg


ตำนานงูใหญ่แห่งยุโรป “ มังกร ” เป็นความเชื่อของชนชาวยุโรปสมัยกลางว่ามังกรมีลักษณะประหนึ่งสัตว์เลื้อยคลานสี่ขา มีปีกใหญ่คล้ายค้างคาว คอยาว ปากมีเขี้ยว เท้าทั้งสี่มีกรงเล็บแหลมคม หางยาว ปลายหางมีลักษณะแหลมคมคล้ายหอก พ่นไฟได้ มังกรยุโรปเป็นสัตว์ที่สร้างความหวาดหวั่นให้แก่ชาวยุโรปยุคกลายเป็นอย่างยิ่งเนื่องด้วยเป็นสัตว์ในตำนานที่เป็นตัวแทนของซาตาน ความชั่วร้าย และปีศาจ เป็นสัตว์หายนะที่มุ่งทำลายล้างมนุษย์โดยตรง นอกจากเรื่องของมังกรแล้วทางยุโรปตะวันตกโดยเฉพาะทางแถบประเทศกรีซยังเชื่อในเรื่องงูยักษ์หลายหัวสุดอันตรายที่มักแอบซ่อนตัวอยู่ภายในบึงมรณะอีกด้วย สัตว์ตนนี้มีชื่อว่า “ ไฮดร้า ” มีลำตัวเป็นสุนัขสี่ขา มีเกล็ดเต็มตัว มีหางเหมือนมังกร มีหัวยาวคล้ายงูถึง 9 หัว(บางตำนานว่ามีถึง 100 หัว) โดยหากตัดหัวใดหัวหนึ่งทิ้งไป ก็จะมีหัวใหม่งอกขึ้นมาแทนที่ในทันที เชื่อกันว่าลมหายใจของไฮดร้าเป็นพิษร้ายแรงทำให้คนที่เข้าใกล้ถึงแก่ความตายได้

รูปประกอบ 4 : มังกรยุโรป
ที่มาของภาพประกอบ : http://statics.atcloud.com/files/comments/77/774807/images/1_original.jpg


รูปประกอบ 5 : ไฮดร้า (งู 9 หัว)
ที่มาของภาพประกอบ : http://photos1.hi5.com/0026/345/525/JMXCZA345525-02.jpg


Replies (35)

#1เฮียเหลา • 22/11/2554 10:55
มาชมบทความ ของ ลุงซาม่า
#2samara17520 • 22/11/2554 10:57
ผ่านพ้นตำนานงูใหญ่แบบพุทธ, พราหมณ์-ฮินดู, จีนนิยม และทางยุโรปตะวันตกมาแล้ว ผู้เขียนจึงขอปิดตำนานด้วยงูใหญ่ในความเชื่อแบบปักษ์ใต้บ้านเราคือความเชื่อเรื่อง “ งูทวด ” หรือ “ ทวดงู ” ซึ่งมีความปรากฏดังนี้ ทวดงู คืออะไร? ศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกงูว่า snake แต่ งู ในที่นี้เป็นมากกว่างูธรรมดาสามัญโดยปกติทั่วไป ในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้เรียกว่า ทวดงู หรือ งูทวด บ้างก็เรียกกันว่า งูเจ้าที่ หรือ งูเจ้า และอธิบายตรงกันว่าเป็น งูศักดิ์สิทธิ์ (sacred snake) มีรูปแบบทางความเชื่อที่คล้ายกันของชาวไทยถิ่นใต้ และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย อันเรียกตนเองว่า ไทยสยาม กล่าวร่วมกันว่า งูทวดคืองูศักดิ์สิทธิ์อันถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจากดวงวิญญาณของบรรพชนอันประกอบกรรมดีหรือกรรมขาวเอาไว้อย่างแรงกล้าในภพก่อน ประกอบกับมีความเป็นห่วงลูกหลาน วงศ์ตระกูล รวมถึงคนในรุ่นต่อมา พอดวงวิญญาณดังกล่าวมาเกิดในชาติใหม่ภพใหม่ ด้วยความผูกพันรวมถึงบุญกุศลที่ได้สร้างไว้จึงดลบันดาลให้เกิดเป็นทวดงู คอยเฝ้าดูแลปกป้องคุ้มครองคนในรุ่นต่อๆมา หรือเผ่าพันธุ์ของตนให้บังเกิดแต่ความสุข สงบ และเจริญรุ่งเรืองสืบไปในวันข้างหน้า ซึ่งความเชื่อที่ว่า ทวดงู คือดวงวิญญาณของบรรพชน นี้เองจึงเข้าเค้ากับลักษณะการแบ่งจำพวกของผี หรือดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ว่าด้วยการเซ่นสังเวยบูชาว่า ผีที่เป็นดวงวิญญาณบรรพบุรุษ หรือบรรพชนอันล่วงลับดับสูญไปแล้วก่อให้เกิดการเซ่นสังเวยบูชา ให้เรียกว่า คติบูชาผีบรรพบุรุษ (ancestor worship) ซึ่งคติบูชาผีบรรพบุรุษหรือผีบรรพชนนี้มีอยู่ในทุกประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยเองก็มีอยู่โดยทั่วทุกภาค
ทางภาคเหนือ เรียกว่า ผีปู่ย่า
ทางภาคกลาง เรียกว่า ผีปู่ย่าตายาย
ทางภาคอีสาน เรียกว่า ผีปู่ตา
ทางภาคใต้ เรียกว่า ผีตายาย

รูปประกอบ 6-7-8 งูทวด หรือทวดงู




แม้นไทยสยามในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียเองก็เรียก ผีตายาย เช่นเดียวกันที่ว่า ทวดงู หรืองูทวด คืองูบรรพชนอันมีหน้าที่ในการป้องปกลูกหลานในรุ่นต่อมา เป็นงูศักดิ์สิทธิ์ที่จักเนรมิตสิ่งต่างๆให้ได้สมดั่งใจมุ่งหวังแต่มีข้อแม้ว่าคนผู้นั้นจะต้องหมั่นสร้างกรรมดี และนับถือพระพุทธศาสนาเท่านั้น

อนึ่ง ในเรื่องการถือกำเนิดของ ทวดงู นี้เองผู้เขียนเคยเดินทางไปสอบถามจากทรรศนะนักวิชาการท่านหนึ่งคือ ท่าน ผศ. จำเริญ แสงดวงแข อาจารย์สอนวิชาภาษาไทย และไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ ท่านได้แสดงทรรศนะเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ทวดงู หรืองูทวด นี้เป็นความเชื่อที่มีมานานแล้ว เชื่อกันว่าทวดงู เป็นงูศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องทำการเซ่นสรวงบูชาเอาใจจึงจะเป็นคุณ แต่หากกระทำการลบหลู่ดูหมิ่นก็จะได้รับผลเสียตามมา ทวดงูเกิดขึ้นมาจากดวงวิญญาณของบรรพชนจริงหรืออันนี้ไม่สามารถทราบได้แน่ชัด แต่ที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่ากันว่าทวดงู เป็น อจินไตย คือเกิดขึ้นเอง และมีมานานแล้ว

ลักษณะของทวดงูที่สำคัญ เชื่อกันว่าทวดงูมีลักษณะที่สำคัญๆ 7 ประการด้วยกันดังนี้คือ
1.ทวดงู คืองูจงอางขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่างูจงอางในแบบปกติธรรมดามาก
2.ทวดงู ส่วนใหญ่มีสีดำ แต่บางจำพวกก็แสดงสีที่ไม่แน่นอน อาทิ สีขาว สีแดง สีน้ำตาล บ้างก็ปรากฏเป็นลายพาดดั่งงูจงอางปกติสามัญ เป็นต้น
3.ทวดงู ส่วนใหญ่มีหงอนเป็นรูปเปลวเพลิงสีแดงสดตั้งอยู่บริเวณตรงกลางหัว
4.ทวดงู มีดวงตาสีแดงเพลิงอันบ่งบอกถึงพลังอำนาจ
5.ทวดงู มีปากและลิ้นเป็นสีแดง
6.ทวดงู มีปลายหางเป็นสีแดงเพลิง เช่นเดียวกับหงอนแดงบนกลางหัว ทวดงู ตนที่มีอายุมากจะมีเครางอกออกมาบริเวณใต้คางด้วย

รูปประกอบ 9 งูใหญ่ (จงอางไฟ)


ตำนานงูทวด หรือทวดงูที่มีปรากฏในภาคใต้ของประเทศไทย เช่น ตำนานงูทวดพ่อตาหลวงรอง, ทวดงูพญาตรีเศียรแห่งควนเจดีย์ และทวดแม่กงผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านเกาะหมี ซึ่งมีรายละเอียดเป็นดังต่อไปนี้

1. ทวดงูพ่อตาหลวงรอง
เป็นความเชื่อของชาวบ้านสทิ้งหม้อ ตำบลสทิ้งหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เชื่อและเคารพบูชาว่า ทวดงูพ่อตาหลวงรอง หรือ ทวดตารอง เป็นเทวดาอารักษ์ประจำหมู่บ้านที่คอยช่วยป้องปกรักษาบ้านสทิ้งหม้อ ให้ปกติสุขตราบปัจจุบัน ดังมีเล่าเอาไว้เป็นตำนานว่า แต่เดิมท่านตาหลวงรองเป็นพระธุดงค์เดินทางมาจากทางภาคเหนือ ท่านได้ปักกรดลงบริเวณที่เป็นวัดโลการามในปัจจุบันจวบจนวาระสุดท้ายของท่าน บริเวณที่ท่านมรณภาพปรากฏมีชาวบ้านเห็นพญางูขนาดใหญ่สีขาว ลำตัวเท่ากับลำต้นตาล มีหงอนแดงตรงกลางหัวนอนขดตัวอยู่ในบริเวณที่ท่านตาหลวงรองมรณภาพ จึงล้วนเชื่อว่าท่านตาหลวงรองได้กลายสภาพเป็น ทวดงูไปเสียแล้ว ใครต้องการอะไรก็ขอให้มาทำการ บน กับท่านก็จะได้ดั่งใจหมาย อนึ่ง ต่อมาราวปี พ.ศ. 2529 ได้มีการสร้างรูปเคารพบูชาของท่านตาหลวงรองขึ้น เป็นรูปทวดงูพ่อตาหลวงรองขนาดใหญ่อยู่บนฐานปูนสูงจากพื้นราว 2 เมตร บริเวณฐานมีจารึกเอาไว้ว่า “ พ่อตาหลวงรอง 9 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ” สืบทราบมาว่าช่างปั้นเป็นคนในพื้นที่ชื่อนายจู้ห้วน สุวรรณรัตน์ อายุ 95 ปี(ถึงแก่กรรมราวปี พ.ศ. 2540)เป็นช่างปั้นงานประติมากรรมชิ้นนี้

2. ทวดงูพญาตรีเศียรแห่งควนเจดีย์
ควนเจดีย์ หรือเขาคอหงส์ จังหวัดสงขลานั้นปรากฏมีเจดีย์อยู่องค์หนึ่งเรียกว่า เจดีย์ไตรภพ ไตรมงคล ที่ปากทางเข้าเจดีย์นี้เองจะปรากฏศาลอยู่แห่งหนึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า ศาลสมเด็จปู่เจ้าไตรภพ ซึ่งมีพญางู 3 เศียร เป็นประติมากรรมสีทองอร่ามไปทั้งตนเรียกว่า ทวดงูพญาตรีเศียรแห่งควนเจดีย์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพญางูมีหน้าที่ในการเฝ้าป้องปกควนเจดีย์ และเจดีย์ไตรภพ ไตรมงคล เป็นทวดงูที่มีการสร้างเป็นงานประติมากรรมเคารพบูชาที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวถึง 192 เมตร ส่วนตำนานที่สำคัญของทวดพญาตรีเศียรนี้มีเล่าเอาไว้ว่า ทวดตรีเศียรมีหน้าที่เฝ้าภพทั้ง 3 กล่าวคือ สวรรค์ มนุษย์ และพิภพ 14 จังหวัดภาคใต้ไปจนถึงสุดเขตแดนจังหวัดราชบุรี อายุของทวดพญาตรีเศียรว่ากันว่าอยู่ในหลักพันปี ว่าเศียรหนึ่งเป็นจีน เศียรหนึ่งเป็นอิสลาม และเศียรหนึ่งเป็นไทย ประกอบไปด้วยชื่อเสียงเรียงนามดังนี้คือ 1. ท่านขุนพลายดำ / 2. ท่านขุนพลายเหลือง / 3. ท่านขุนพลายแดง

3. ทวดแม่กงผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านเกาะหมี
ในสมัยก่อนยังปรากฏดินแดนแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลามีลักษณะเป็น เกาะ กล่าวคือเป็นผืนดินยกระดับสูงขึ้นจากพื้นราบในชั้นหนึ่ง มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาตา อาทิ ต้นไผ่ เป็นต้น ในบริเวณดังกล่าวมานี่เองยังมีชาวบ้านอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากโดยส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม มีอยู่หลายคนที่มีอาชีพหาของป่าขาย ครั้งหนึ่งได้มีชายนายหนึ่งเดินทางเข้าไปในป่าในบริเวณเกาะดังกล่าวโดยหารู้ไม่ว่าเป็นสถานที่อยู่ของหมีใหญ่ นิสัยดุร้าย ขณะที่ชายผู้โชคร้ายกำลังหาหน่อไม้อยู่นั่งเอง เขาก็ถูกหมีตัวดังกล่าวทำร้ายเอาจนถึงแก่ชีวิต เป็นที่สะเทือนใจและหวาดกลัวของชาวบ้านในบริเวณดังกล่าวเป็นอันมาก และเพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวชาวบ้าน ณ เวลานั้นจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านเกาะหมี จวบจนปัจจุบัน ว่าถึงชื่อสถานที่ตั้งของบ้านเกาะหมีและนอกจากนี้ยังปรากฏตำนาน-เรื่อราวทางความเชื่อที่น่าสนใจของชาวบ้านชาวบ้านเกาะหมีอยู่อีกตำนานหนึ่ง อาทิ ตำนาน ทวดแม่กง ซึ่งชาวบ้านเกาะหมีล้วนเชื่อกันว่าเป็นทวดศักดิ์สิทธิ์อันสถิตอยู่ ณ บริเวณนั้น มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาอย่างยาวนานถึงรูปแบบ-ความศักดิ์สิทธิ์ของทวดแม่กงเอาไว้ว่า................เมื่อนานมาแล้วยังมีชายชาวบ้านเกาะหมีคนหนึ่งนั่งคุยกับเพื่อนที่ชานเรือน เขาท้าเพื่อนๆเอาไว้ว่าไม่เชื่อในตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของทวดแม่กง............“ถ้าทวดแม่กงศักดิ์สิทธิ์จริง ขอให้ขึ้นมาหาเขาบนเรือน เขาจะยอมให้ทวดกัดให้ถึงแก่ชีวิต” ขณะเดียวกันนั้นเองปรากฏว่ายังมีพญาคางคก(แม่กง)ใหญ่อยู่ตนหนึ่ง นั่งอยู่บนโขดหินริมฝั่งน้ำ ณ บ้านเกาะหมี โจนทะยานลงจากโขดหินลงสู่แม่น้ำดังกล่าวเสียงดังสนั่น.......กลายร่างเป็นเข้เจ้า(จระเข้ใหญ่)ในทันทีทันใด ว่ายตรงไปสู่บ้านของชายหนุ่มผู้ท้าทาย ถึงริมฝั่งได้ ทวดแม่กงมองชายผู้ท้าทายด้วยสายตาที่โกรธอย่างถึงที่สุด พร้อมลำเลียงตนขึ้นสู่บนฝั่งพร้อมกลายร่างเป็นงูบองหลาขนาดใหญ่(งูจงอางขนาดใหญ่) เลื้อยตรงรี่เข้าไปจนถึงบ้านของชายผู้ท้าทาย ขึ้นไป ณ เรือนชานได้ก็ตรงเข้าหาชายคนดังกล่าว.........เล่นเอาท่านเจ้าของบ้านถึงกับหน้าถอดสี จำต้องยอมขอขมาโทษแก่ทวดแม่กงในทันทีทันใด ทวดจึงยอมกลับลงสู่แม่น้ำ มิทำร้ายเอา...............กลายเป็นเรื่องเล่า-ตำนานประจำถิ่น ว่าทวดแม่กงนั้นศักดิ์สิทธิ์ตราบปัจจุบัน หากใครต้องการสิ่งใดก็ขอให้มาทำการ บน เอาไว้ก็จะได้ดั่งใจมุ่งหวัง เป็นต้น

ปีนี้ 2554 ที่กำลังจะผันผ่านไปสู่ปีงูใหญ่ชุ่มน้ำ-มะโรง 2555 หลายคนต้องหมดเนื้อสิ้นตัว หลายคนต้องนอนระทมทุกข์ บางคนแววตาเศร้าหมอง มีน้ำตารินหลั่งอยู่บนใบหน้า ไม่รู้ว่าวันใดที่จะสามารถลุกขึ้นตั้งหลักชีวิตได้ดังเก่า ปีนี้ช่างแสนโหดร้ายแก่คนไทยทั้งประเทศยิ่งนัก ขอคุณแห่งพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสยามประเทศ เทพเทวาแห่งศาสนาพุทธ พราหมณ์-ฮินดู ศริสต์ อิสลาม ศาสนาซิกข์ และฯลฯ ช่วยดลบันดาลให้พวกเราก้าวข้ามผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกันอย่างบรรลุผลด้วยเทอญ

เครดิตบทความ : www.siamsouth.com
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=24862.0
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0
แก้ไขล่าสุด: 22/11/2554 11:00 โดย samara17520
#3kuroro13 • 22/11/2554 11:03
อยากให้ถึงปีหน้าเร็วๆตังครับเพราะเป็นปีที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม
#4samara17520 • 22/11/2554 11:08
พูดถึงเรื่องงูใหญ่ขึ้นมานี่ นึกถึงหนังอย่าง Anaconda ในปี 1997 ของ Luis Llosa ขึ้นมาในลำดับเเรกๆเลย ^^






แก้ไขล่าสุด: 22/11/2554 11:11 โดย samara17520
#5samara17520 • 22/11/2554 11:26
สู่หนังภาคต่อ Anaconda 2 / Anacondas : The Hunt for the Blood Orchid ของผู้กำกับ Dwight H. Little ในปี 2004



ฉากเดินข้ามแม่น้ำแล้วมีงูเลื้อยผ่านนี่แหล่ะ……หวาดเสียวสุด ^^


#6samara17520 • 22/11/2554 11:30
Anaconda 3 ในปี 2008 ผลงานหนังเกรด B โดย Don E. FauntLeRoy

แก้ไขล่าสุด: 22/11/2554 11:31 โดย samara17520
#7samara17520 • 22/11/2554 11:34
Anaconda ภาคล่าสุดในปี 2009 ชื่อภาค Anaconda 4: Trail of Blood งานเกรด B- (ยิ่งสร้างยิ่งแย่นะหนังเรื่องนี้….เอ้อ T ^ T )

#8samara17520 • 22/11/2554 11:42
นอกจากหนังในตระกูล Anaconda ทั้ง 4 ภาคแล้ว หนังในตระกูล Python ก็ขอแจ้งเกิดกวาดเงินจากนักดูหนังสยองขวัญบ้าง(ประเภทที่ชอบงูยักษ์เป็นพิเศษ)

โดยงานนี้ได้ผู้กำกับอย่าง Richard Clabaugh อาสาเนรมิตสร้างงูยักษ์ในตำนานอย่างเจ้า Python ให้โลดแล่นบนแผ่นฟิล์มในปี 2000 ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง……และสมควรหามารับชมเป็นอย่างยิ่ง


#9samara17520 • 22/11/2554 11:44
สู่ Python 2 ในปี 2002 ของ Lee McConnell ถูกลดระดับกลายเป็นหนังเกรด B เต็มขั้น

#10samara17520 • 22/11/2554 11:48
ภาคพิเศษ Boa vs. Python ในปี 2004 ของผู้กำกับ David Flores ก็รู้น่ะว่าเป็นหนังเกรด B แน่ๆ…..แต่ผมซื้อมาเก็บไว้ที่บ้านเพราะหน้าปกมันสวยดีน่ะ ^ _ ^

#11samara17520 • 22/11/2554 12:09
หนังเกี่ยวกับงูเรื่องนี้ผมไม่เคยดูนะ แต่เห็นโปสเตอร์สวยดี
เรื่อง Boa ในปี 1990

#12samara17520 • 22/11/2554 12:12
D-War ปี 2007 ของ Hyung-rae Shim เกี่ยวกับตำนานงูใหญ่ประเภทมังกร
#13samara17520 • 22/11/2554 12:18
หนังเกี่ยวกับงูจงอางยักษ์หลุดจากกรงทดลอง King Cobra ในปี 1999 ผลงานการกำกับของ David Hillenbrand เเละ Scott Hillenbrand (หนังดีนะเรื่องนี้)
#14samara17520 • 22/11/2554 12:22
Komodo vs. Cobra ในปี 2005 ผลงานของ Jim Wynorski เรื่องของคนติดเกาะที่ต้องผจญกับสองสัตว์ร้าย

#15samara17520 • 22/11/2554 12:26
สู้กันต่อกับหนังเเนวงูยักษ์ฟัดกับจระเข้...Mega Python vs. Gatoroid ในปี 2011 ผลงานของ Mary Lambert
#16samara17520 • 22/11/2554 12:32
หนังงูจ๊ะเอ๋คนบนเครื่องบิน Snakes on a Plane ในปี 2006 จากผู้กำกับ David R. Ellis
#17samara17520 • 22/11/2554 12:43
หนังเกี่ยวกับตำนานงู 9 หัว Hydra ในปี 2009 ผลงานการกำกับของ Andrew Prendergast

#18samara17520 • 22/11/2554 12:51
Vipers ในปี 2008 หนังเกี่ยวกับคนเเละงูหางกระดิ่ง ผลงานของ Bill Corcoran

#19samara17520 • 22/11/2554 12:56
Snake Island ปี 2002 หนังเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของคนกลุ่มหนึ่ง สุดท้ายต้องหนีตายเพราะงู ผลงานการกำกับของ Wayne Crawford หนังเกรด B+ สนุกเเละตื่นเต้นใช้ได้เลยนะเรื่องนี้
#20samara17520 • 22/11/2554 13:05
มาดูหนังเกี่ยวกะงูๆในเเบบไทยๆกันบ้าง เช่น เรื่องโบอางูยักษ์ ในปี 2549 ผลงานของ ชนินทร เมืองสุวรรณ เรื่องนี้งูไม่ได้เป็นดาราเด่นนะ เเต่เป็นดาราสาวต้องรัก อัศวรัตน์ ตะหากเล่าที่เด่นเกินงู ^^
#21samara17520 • 22/11/2554 13:11
The Trek ดงพญาไฟ ปี 2546 ก็มีดาวเด่นเป็นงูยักษ์เหมือนกันนะ


#22samara17520 • 22/11/2554 13:19
หนังที่ว่าด้วย " อสรพิษและอิสตรี.. คือสองสิ่งที่ไว้ใจไม่ได้ "

เเม่เบี้ย....หนังที่เเสดงความสัมพันธ์อันเเสนเเปลกประหลาดน่าหวาดเสียวระหว่างคนกับงู

หลายคนว่า....งูน่ะไม่สนโฟ๊ยยย(ฮา)เรื่องนี้ดาวเด่นฝ่ายหญิงคือ มะหมี่ – นภคปภา นาคประสิทธิ์ โดยมีฉากเด่นที่กล่าวถึงกันมากที่สุดคือ ฉากขูดมะพร้าว(18+) 555+ ^^
#23Uglyface_Smile • 22/11/2554 13:21
รักกันนะงูจ๋า
#24samara17520 • 22/11/2554 13:22
Ngu Keng Kong / งูเก็งกอง ผลงานของผู้กำกับ ไฟท์ สำอาง ในปี 2001
#25samara17520 • 22/11/2554 13:52
หนังเกี่ยวกับงูของประเทศจีน Legend of the Snake Spirits 2001
#26samara17520 • 22/11/2554 13:55
เขี้ยวอาฆาต....อันนี้หนังไทยนะ หนังเพิ่งออกจากโรงเมื่อไม่นานมานี่เอง

#27samara17520 • 22/11/2554 14:00
Snake Man หนังปี 2005 ถ้าจำไม่ผิด หนังเกี่ยวกับการล่าสมบัติโบราณในดินเเดนอันรกร้างห่างไกลผู้คน สุดท้ายเจองูเจ้าที่ตามล่า...อะไรประมาณนี้เเหล่ะ
#28samara17520 • 22/11/2554 14:07
Mega Snake ปี 2007 หนังงูยักษ์บุกเมือง(สวนสนุก)ผลงานการกำกับของ Tibor Takács

ปล. หนังเรื่องนี้สนุกใช้ได้เลยนะ เเถมคอมกราฟฟิคตัวงูก็ทำได้เนียนตาดีมาก(เสียดายเจ้างูยักษ์ตายง่ายไปหน่อย)
#29samara17520 • 22/11/2554 14:14
เรื่องนี้ชื่อ นากิน สาวสยองอสรพิษ / Hisss 2010 ผลงานการกำกับของ Jennifer Chambers Lynch
#30samara17520 • 22/11/2554 14:21
อันนี้หนังจีนนะเรื่อง CALAMITY OF SNAKES ในปี 1983 ตึกหลังหนึ่งที่สร้างทับที่อยู่ของงูเข้างูเลยมาล้างเเค้น(หัวหน้างูคืองูยักษ์) เเละก็เกี่ยวกับคนจับงูที่ใช้กำลังภายใน+คาถาอาคม สู้กับงูผี(หนังนานมากเเล้ว ผมจำโครงเรื่องได้ลางๆ/ดูนานเเล้ว)





#31samara17520 • 22/11/2554 14:29
Silent Venom 2009 / อสรพิษเลื้อยดิ่งทะเลลึก ผลงานการกำกับของ Fred Olen Ray เกี่ยวกับสิ่งของลับสุดยอดที่อยู่ในตู้เก็บ ในเรือดำน้ำที่กำลังจะปลดระวาง
#32samara17520 • 22/11/2554 14:34
หนังเกี่ยวกับงูอีกเรื่องชื่อ The Killer Snakes หรือ She sha shou ปี 1975 หนังได้ Chih-Hung Kuei เป็นผู้กำกับ
#33samara17520 • 22/11/2554 14:37
Stanley ในปี 1972
#34samara17520 • 22/11/2554 14:53
หากฉัน เพ่งมองตาเธอให้ลึกหน่อย
อย่างน้อย อาจทำให้ต้องเฉลียวใจ
ว่ามีความหมายใด ซ่อนในดวงฤทัย
บ่งบอกความในใจ ที่ดวงตา
............







แก้ไขล่าสุด: 22/11/2554 15:01 โดย samara17520
#35nikkishi • 22/11/2554 19:25
เยอะมากเหมือนกันนะเนี่ย บางเรื่องก็ดูเเล้ว บางเรื่องก็ยังไม่เคย ขอบคุนงับที่มาเเนะนำ

ปล.หาดใหญ่ น้ำจะท่วมป่าวเนี่ย ?? T^T
Login
Function Used time : 0:00:00:00.019
Go Last