[คืนนี้ผีมาตามนัด] รมพราย ผลงานจากคุณพี่โลมา
by แว่นจัง • วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 10:42
ลงในFBเว็บแล้วเลยขอมาลงที่นี่ ตอนแรกจะทำให้อลังการกว่านี้แต่เครื่องที่บ้านไม่อำนวย เอาแค่นี้ก่อนละกัน
--------------------------------------------------------
สวัสดีเด็กๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ป้าได้มีโอกาสมาเจอกับหลานๆทั้งหลาย พวกเราน่ะชอบเรื่องผีเรื่องสางกันใช่มั้ยล่ะ ป้ารู้นะ เพราะตอนป้าเป็นเด็กๆเท่าพวกเราน่ะก็ชอบฟัง ชอบดู เรื่องแบบนี้เหมือนกันล่ะ ถึงขนาดเคยไปแอบดูตามบ้านร้างที่เค้าร่ำลือกันเลยนะ ว่ามีผีสิงน่ะ ถ้าถามว่ากลัวมั้ยน่ะเหรอ แหม ถามมาได้ กลัวสิ แต่ความอยากรู้อยากเห็นน่ะมีมากกว่า แล้วไอ้เรื่องพรรค์นี้มันน่าตื่นเต้นออกจะตายไป ว่าแล้ววันนี้จะเล่าเรื่องแรกให้พวกเจ้าฟังก่อนนะ พวกเจ้าน่ะเคยได้ยินเรื่องผีพรายมั้ย ไอ้ที่เค้าว่ากันว่า เป็นคนตกน้ำตายแล้วกลายเป็นผีเฝ้าคุ้งน้ำน่ะ น่าจะพอรู้กันใช่มั้ยล่ะ
นอกจากนี้นะยังเชื่อกันว่าผีพรายที่เฝ้าคุ้งน้ำ จะเป็นผู้ดูแลปกป้องแหล่งน้ำนั้นไม่ให้ใครมาทำลายหรือทำสกปรก
ถ้าใครขืนทำไม่ดีล่ะก็ อย่างเบาะๆก็แค่หลอกหลอนให้เข็ดหลาบ ต้องมีการสักการะเซ่นสังเวยเพื่อขอขมา แต่อย่างมากก็แค่
เอาไปเป็นบริวารหรือให้เป็นตัวตายตัวแทนเท่านั้นเอง ( อยากลองดูกันมั้ยล่ะหลานๆทั้งหลาย )
อันที่จริงนะ ไอ้ผีพรายเนี่ยมันไม่ได้หมายถึงแค่พวกผีที่มีเหตุว่าตกน้ำจมน้ำตายหรอกนะ แต่มันมีมากมายหลายแบบ ทั้งพวกโหงพรายที่โดนเลี้ยงใช้งานสำหรับผู้ที่อาคมแก่กล้า จะเลี้ยงไว้ทำธุระใดๆหรือไปสือบความลับจากฝ่ายตรงข้ามมาบอกข่าว จนเป็นที่มาของคำว่าพรายกระซิบไงล่ะ อ้ออีกอย่างนึงที่ ป้าอยากจะเล่าให้ฟังนะ คือผีพรายที่แสนร้ายกาจ พวกนี้มันจะชอบสิงสู่ ร่างคนที่เจ็บป่วย แฝงมากินของสดๆคาวๆ จนกว่าจะอิ่มซึ่งกว่ามันจะพอเจ้าของร่างนั้นโดยมากจะโดนมันกินไปด้วย ( คล้ายๆผีปอบทางอีสานและผีก๊ะของทางเหนือนั่นแหละจ้า ) เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว เป็นเรื่องเล่าจากญาติห่างๆที่อยู่ทางเหนือของป้าเอง อยากฟังกันมั้ยล่ะ ถ้าอยากล่ะก็ล้อมวงกันเข้ามา ป้าขอตั้งชื่อเรื่องนี้ "รมพราย "
--------------------------------------------------------
สวัสดีเด็กๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ป้าได้มีโอกาสมาเจอกับหลานๆทั้งหลาย พวกเราน่ะชอบเรื่องผีเรื่องสางกันใช่มั้ยล่ะ ป้ารู้นะ เพราะตอนป้าเป็นเด็กๆเท่าพวกเราน่ะก็ชอบฟัง ชอบดู เรื่องแบบนี้เหมือนกันล่ะ ถึงขนาดเคยไปแอบดูตามบ้านร้างที่เค้าร่ำลือกันเลยนะ ว่ามีผีสิงน่ะ ถ้าถามว่ากลัวมั้ยน่ะเหรอ แหม ถามมาได้ กลัวสิ แต่ความอยากรู้อยากเห็นน่ะมีมากกว่า แล้วไอ้เรื่องพรรค์นี้มันน่าตื่นเต้นออกจะตายไป ว่าแล้ววันนี้จะเล่าเรื่องแรกให้พวกเจ้าฟังก่อนนะ พวกเจ้าน่ะเคยได้ยินเรื่องผีพรายมั้ย ไอ้ที่เค้าว่ากันว่า เป็นคนตกน้ำตายแล้วกลายเป็นผีเฝ้าคุ้งน้ำน่ะ น่าจะพอรู้กันใช่มั้ยล่ะ
นอกจากนี้นะยังเชื่อกันว่าผีพรายที่เฝ้าคุ้งน้ำ จะเป็นผู้ดูแลปกป้องแหล่งน้ำนั้นไม่ให้ใครมาทำลายหรือทำสกปรก
ถ้าใครขืนทำไม่ดีล่ะก็ อย่างเบาะๆก็แค่หลอกหลอนให้เข็ดหลาบ ต้องมีการสักการะเซ่นสังเวยเพื่อขอขมา แต่อย่างมากก็แค่
เอาไปเป็นบริวารหรือให้เป็นตัวตายตัวแทนเท่านั้นเอง ( อยากลองดูกันมั้ยล่ะหลานๆทั้งหลาย )
อันที่จริงนะ ไอ้ผีพรายเนี่ยมันไม่ได้หมายถึงแค่พวกผีที่มีเหตุว่าตกน้ำจมน้ำตายหรอกนะ แต่มันมีมากมายหลายแบบ ทั้งพวกโหงพรายที่โดนเลี้ยงใช้งานสำหรับผู้ที่อาคมแก่กล้า จะเลี้ยงไว้ทำธุระใดๆหรือไปสือบความลับจากฝ่ายตรงข้ามมาบอกข่าว จนเป็นที่มาของคำว่าพรายกระซิบไงล่ะ อ้ออีกอย่างนึงที่ ป้าอยากจะเล่าให้ฟังนะ คือผีพรายที่แสนร้ายกาจ พวกนี้มันจะชอบสิงสู่ ร่างคนที่เจ็บป่วย แฝงมากินของสดๆคาวๆ จนกว่าจะอิ่มซึ่งกว่ามันจะพอเจ้าของร่างนั้นโดยมากจะโดนมันกินไปด้วย ( คล้ายๆผีปอบทางอีสานและผีก๊ะของทางเหนือนั่นแหละจ้า ) เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานมากแล้ว เป็นเรื่องเล่าจากญาติห่างๆที่อยู่ทางเหนือของป้าเอง อยากฟังกันมั้ยล่ะ ถ้าอยากล่ะก็ล้อมวงกันเข้ามา ป้าขอตั้งชื่อเรื่องนี้ "รมพราย "
Replies (6)
ลุงของป้าชื่อว่า คำมีแต่คนแถวนั้นจะเรียกแกว่าหนานคำมี ลุงแต่งงานอยู่กินกับป้าคำแปง มีลูกด้วยกัน 2 คนคือพี่ม่านแก้ว กับ พี่แสงคำ ครอบครัวของลุงนั้นมีอาชีพทำสวนลำไยและปลูกพืชผักต่างๆ นานๆ พวกแกจะยกครัวพากันมาเยี่ยม ครอบครัวของป้าที่เมืองชล ไม่ก็ทางป้าจะเป็นฝ่ายขึ้นไปเอง ป้ายังจำภาพสวนลำไยที่มีต้นใหญ่ๆ ปลูกเรียงๆ กันไปสุดลูกหูลูกตาได้ บรรยากาศเมืองเหนือยามเช้า มีหมอกหนาทึบแต่ดูสวยเมื่อเวลา แดดส่องแสงผ่านมา เป็นทิวทัศน์และบรรยากาศที่ป้าไม่อาจลืมได้เลย เอ้อ ป้านี่ชักจะนอกเรื่องไปใหญ่แล้ว พวกเราอาจจะสงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวกับผีพรายยังไง
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ป้าคำแปงแกมีญาติผู้ใหญ่อยู่คนนึงชื่อแม่อุ๊ยสาลี่ ซึ่งแกมีศักดิ์เป็นน้องสาวของย่าแท้ๆของป้าคำแปง ทีนี้แกไม่มีครอบครัว ตั้งแต่สาวจนแก่ก็อยู่กับย่าของป้าคำแปงเรื่อยมา จนหมดบุญคุณย่า ตัวแกเองก็ต้องอยู่คนเดียว ลุงกับป้าก็เลยปรึกษากันและตัดสินใจไปพาแกมาอยู่ด้วยกันที่บ้านแม่สอยเพราะแกอายุมากแล้วขาแข้งก็ไม่ดีเดินเหินไม่ถนัดเหมือนคนอื่นต้องเดินลากเท้าดังแซ่กๆๆ
แม่อุ๊ยสาลี่เป็นผู้ใหญ่ใจดี เป็นคนน่ารัก ท่านเป็นคนที่ลูกหลานรักและเกรงใจเพราะเป็นผู้อาวุโสในบ้าน ผู้ใหญ่บ้านอื่นเวลาแก่ตัวมักจะหงุดหงิดง่ายจู้จี้ขี้รำคาญ แต่แม่อุ๊ยสาลี่ ไม่เป็นแบบนั้นเลย ท่านเอ็นดูลูกหลานทุกคนแม้กระทั่งป้าที่ความเกี่ยวพันทางสายเลือดนั้นไม่มี ต่อกันเลยก็ว่าได้ ท่านชอบเรียกป้าว่า แม่ญิงเมืองชล แม่คนผิวงาม เพราะผิวป้าไม่ขาวเหมือนอย่างคนเหนือเวลาไปเยี่ยมที่ไร แกจะชอบให้เอามะขามเปียกขัดๆๆ จะได้ขาวๆ ซึ่งก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด ป้าก็ยังคงผิวเนียนเข้มเหมือนเดิม เล่าไปแล้วก็คิดถึงอุ๊ยสาลี่ หวังว่าท่านคงมีความสุขในภพภูมิที่ดี ป้าพร่ำมาเยอะแล้วยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่ากลัวหรือเกี่ยวกับพรายใช่มั้ย เรื่องมันเริ่มจากอุ๊ยสาลี่ป่วยหนักในวันนึง ปกติแล้วคนแก่กับโรคภัยไข้เจ็บถือเป็นเรืองคู่กัน แต่เจ็บคราวนี้อุ๊ยสาลี่ถึงขั้นลุกไม่ขึ้น เอาแต่นอนอยู่ในห้องทั้งวัน ข้าวปลาก็ไม่ค่อยกิน เจียดทั้งยาไทย ยาฝรั่ง ไปรับหมอมาตรวจดูอาการก็ไม่ดีขึ้นได้แต่ทรงตัวอยู่แบบนั้น พี่ม่านแก้วต้องนอนเป็นเพื่อนคอยดูแลทุกคืน เพราะแกลุกไม่ไหวเดินไม่ค่อยได้ ต้องพยุงกันอาบน้ำ ทำธุระ อีกอย่างห้องแก ก็ปิดหน้าต่างทึบหมดไม่ยอมให้ลมเข้าแกว่ามันหนาว แดดเข้าตาก็แสบ ต้องอยู่มืดๆแบบนั้น
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ป้าคำแปงแกมีญาติผู้ใหญ่อยู่คนนึงชื่อแม่อุ๊ยสาลี่ ซึ่งแกมีศักดิ์เป็นน้องสาวของย่าแท้ๆของป้าคำแปง ทีนี้แกไม่มีครอบครัว ตั้งแต่สาวจนแก่ก็อยู่กับย่าของป้าคำแปงเรื่อยมา จนหมดบุญคุณย่า ตัวแกเองก็ต้องอยู่คนเดียว ลุงกับป้าก็เลยปรึกษากันและตัดสินใจไปพาแกมาอยู่ด้วยกันที่บ้านแม่สอยเพราะแกอายุมากแล้วขาแข้งก็ไม่ดีเดินเหินไม่ถนัดเหมือนคนอื่นต้องเดินลากเท้าดังแซ่กๆๆ
แม่อุ๊ยสาลี่เป็นผู้ใหญ่ใจดี เป็นคนน่ารัก ท่านเป็นคนที่ลูกหลานรักและเกรงใจเพราะเป็นผู้อาวุโสในบ้าน ผู้ใหญ่บ้านอื่นเวลาแก่ตัวมักจะหงุดหงิดง่ายจู้จี้ขี้รำคาญ แต่แม่อุ๊ยสาลี่ ไม่เป็นแบบนั้นเลย ท่านเอ็นดูลูกหลานทุกคนแม้กระทั่งป้าที่ความเกี่ยวพันทางสายเลือดนั้นไม่มี ต่อกันเลยก็ว่าได้ ท่านชอบเรียกป้าว่า แม่ญิงเมืองชล แม่คนผิวงาม เพราะผิวป้าไม่ขาวเหมือนอย่างคนเหนือเวลาไปเยี่ยมที่ไร แกจะชอบให้เอามะขามเปียกขัดๆๆ จะได้ขาวๆ ซึ่งก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด ป้าก็ยังคงผิวเนียนเข้มเหมือนเดิม เล่าไปแล้วก็คิดถึงอุ๊ยสาลี่ หวังว่าท่านคงมีความสุขในภพภูมิที่ดี ป้าพร่ำมาเยอะแล้วยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่ากลัวหรือเกี่ยวกับพรายใช่มั้ย เรื่องมันเริ่มจากอุ๊ยสาลี่ป่วยหนักในวันนึง ปกติแล้วคนแก่กับโรคภัยไข้เจ็บถือเป็นเรืองคู่กัน แต่เจ็บคราวนี้อุ๊ยสาลี่ถึงขั้นลุกไม่ขึ้น เอาแต่นอนอยู่ในห้องทั้งวัน ข้าวปลาก็ไม่ค่อยกิน เจียดทั้งยาไทย ยาฝรั่ง ไปรับหมอมาตรวจดูอาการก็ไม่ดีขึ้นได้แต่ทรงตัวอยู่แบบนั้น พี่ม่านแก้วต้องนอนเป็นเพื่อนคอยดูแลทุกคืน เพราะแกลุกไม่ไหวเดินไม่ค่อยได้ ต้องพยุงกันอาบน้ำ ทำธุระ อีกอย่างห้องแก ก็ปิดหน้าต่างทึบหมดไม่ยอมให้ลมเข้าแกว่ามันหนาว แดดเข้าตาก็แสบ ต้องอยู่มืดๆแบบนั้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่ม่านแก้วมาเล่าให้ลุงกับป้าฟังว่า พักนี้เกือบทุกคืนหลังจากพี่ม่านแก้วหลับไปแล้ว จะได้ยินเสียงคนเดินลากเท้าแซ่กๆ ออกไปจากห้อง ซักพักก็กลับเข้ามา แต่ว่าพี่ม่านแก้วลืมตาดูไม่ไหว พยายามแค่ไหนก็ไม่ได้ จนกระทั่งเสียงเงียบไป พี่ม่านแก้วถึงลืมตาได้แต่ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จนคืนวาน
พี่ม่านแก้วได้ยินเสียงนั้นอีก และเหมือนเดิมที่พี่ม่านแก้วลุกไม่ขึ้นและลืมตาไม่ได้ ขณะที่แกพยายามฝืนตัวเองอยู่นั้น เสียงลากเท้าแซ่กๆๆๆ ก็กลับมาที่ห้อง เปิดประตูเข้า เดินเข้ามาใกล้พี่ม่านแก้ว และเหมือนหยุดนิ่งดูครู่นึง และหัวเราะ หึ หึ หึ ออกมาเบาๆแต่มันให้พี่สาวป้าขนลุกเกรียว เย็นวาบไปทั้งไขสันหลังพอลืมตาได้ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่อุ๊ยสาลี่ล้มตัวลงนอนพอดี พี่สาวป้ารีบลุกขึ้นเปิดไฟ เห็นแม่อุ๊ยก็ยังนอนหลับสนิทอยู่แต่ว่า
ที่มุมปากของแม่อุ๊ย เหมือนคราบสีแดงขุ่นๆ คาวๆ เหมือนเลือดติดอยู่ พี่ม่านแก้วคิดอยู่ครู่นึง พอนึกได้ว่าเป็นอะไรก็กระโดดหนีออกจากห้องทันที พุ่งตรงไปที่ครัวและเป็นอย่างที่คาด เครืองในหมูที่ซื้อมาเตรียมทำลาบตอนเช้า หายไป เหลือแต่ถุงก๊อบแก๊บ พี่ม่านแก้วตกใจมาก ไม่รู้จะทำยังไง เลยไปขอนอนห้องพี่แสงคำ รอจนเช้าแล้วเล่าให้พ่อแม่ฟัง หนแรกนั้นป้าคำแปงไม่เชื่อเด็ดขาดแกรักอุ๊ยสาลี่มาก เพราะแม่อุ๊ยเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กๆ แต่พี่แสงคำก็ช่วยยืนยันด้วยว่า จริงๆแล้วพี่แสงคำเห็นแม่อุ๊ยแอบออกจากห้องมาหาอะไรกินที่ครัวทุกคืนๆ กับข้าวที่เหลือบ้าง ของสดบ้าง แต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังกลัวไม่เชื่อและคิดว่าแม่อุ๊ยแก่แล้วอาจจะอยากกินอะไรแปลกๆก็ได้ จนกระทั่งคืนที่เห็นแกกินเครื่องในหมูน่ะแหละถึงรู้ว่าผิดปกติแล้ว พอพี่ม่านแก้วมาเคาะประตูเรียกจึงรีบเปิด แล้วนั่งตาสว่างกันทั้งคู่จนถึงเช้า พอเห็นป้าคำแปงเริ่มลังเล ลุงจึงบอกว่า ถ้ายังนั้นลุงจะไปหาหนาน มั่น แกเคยบวชเรียนมาหลายพรรษา มีวิชาอาคม แต่แกไม่ได้ตั้งตัวเป็นพ่อหมออาคมอะไร แค่ใช้วิชาช่วยเหลือ ชาวบ้านรวมทั้งมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรอีกด้วย เมื่อตกลงกันแล้วพี่แสงคำเป็นคนไปตาม หนานมั่นมาดูอาการของแม่อุ๊ย ส่วนคนอื่นๆ ให้รออยู่บ้านคอยสังเกตการณ์
อึดใจหนึ่ง พี่คำแปงก็กลับมาถึงบ้านโดยที่ไม่มีหนานมั่นมาด้วย ลุงกับป้าสงสัยว่าทำไมหนานมั่นไม่มา แต่พี่คำแปงไม่บอกอะไร ยืนกระดาษแผ่นนึงให้พ่อ ใจความว่ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ให้เตรียมตัวเตรียมใจ และไปหาของตามที่จดมาให้ครบ วันนี้ก่อน 3 ทุ่ม หนานมั่นจะมาหาที่บ้าน ข้อสำคัญห้ามแสดงพิรุธใดๆ ทั้งสิ้นไม่งั้นผีพรายที่มันแฝงอยู่จะรู้ตัวและอาจทำอันตรายคนอื่นๆได้
พี่ม่านแก้วได้ยินเสียงนั้นอีก และเหมือนเดิมที่พี่ม่านแก้วลุกไม่ขึ้นและลืมตาไม่ได้ ขณะที่แกพยายามฝืนตัวเองอยู่นั้น เสียงลากเท้าแซ่กๆๆๆ ก็กลับมาที่ห้อง เปิดประตูเข้า เดินเข้ามาใกล้พี่ม่านแก้ว และเหมือนหยุดนิ่งดูครู่นึง และหัวเราะ หึ หึ หึ ออกมาเบาๆแต่มันให้พี่สาวป้าขนลุกเกรียว เย็นวาบไปทั้งไขสันหลังพอลืมตาได้ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่อุ๊ยสาลี่ล้มตัวลงนอนพอดี พี่สาวป้ารีบลุกขึ้นเปิดไฟ เห็นแม่อุ๊ยก็ยังนอนหลับสนิทอยู่แต่ว่า
ที่มุมปากของแม่อุ๊ย เหมือนคราบสีแดงขุ่นๆ คาวๆ เหมือนเลือดติดอยู่ พี่ม่านแก้วคิดอยู่ครู่นึง พอนึกได้ว่าเป็นอะไรก็กระโดดหนีออกจากห้องทันที พุ่งตรงไปที่ครัวและเป็นอย่างที่คาด เครืองในหมูที่ซื้อมาเตรียมทำลาบตอนเช้า หายไป เหลือแต่ถุงก๊อบแก๊บ พี่ม่านแก้วตกใจมาก ไม่รู้จะทำยังไง เลยไปขอนอนห้องพี่แสงคำ รอจนเช้าแล้วเล่าให้พ่อแม่ฟัง หนแรกนั้นป้าคำแปงไม่เชื่อเด็ดขาดแกรักอุ๊ยสาลี่มาก เพราะแม่อุ๊ยเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กๆ แต่พี่แสงคำก็ช่วยยืนยันด้วยว่า จริงๆแล้วพี่แสงคำเห็นแม่อุ๊ยแอบออกจากห้องมาหาอะไรกินที่ครัวทุกคืนๆ กับข้าวที่เหลือบ้าง ของสดบ้าง แต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังกลัวไม่เชื่อและคิดว่าแม่อุ๊ยแก่แล้วอาจจะอยากกินอะไรแปลกๆก็ได้ จนกระทั่งคืนที่เห็นแกกินเครื่องในหมูน่ะแหละถึงรู้ว่าผิดปกติแล้ว พอพี่ม่านแก้วมาเคาะประตูเรียกจึงรีบเปิด แล้วนั่งตาสว่างกันทั้งคู่จนถึงเช้า พอเห็นป้าคำแปงเริ่มลังเล ลุงจึงบอกว่า ถ้ายังนั้นลุงจะไปหาหนาน มั่น แกเคยบวชเรียนมาหลายพรรษา มีวิชาอาคม แต่แกไม่ได้ตั้งตัวเป็นพ่อหมออาคมอะไร แค่ใช้วิชาช่วยเหลือ ชาวบ้านรวมทั้งมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรอีกด้วย เมื่อตกลงกันแล้วพี่แสงคำเป็นคนไปตาม หนานมั่นมาดูอาการของแม่อุ๊ย ส่วนคนอื่นๆ ให้รออยู่บ้านคอยสังเกตการณ์
อึดใจหนึ่ง พี่คำแปงก็กลับมาถึงบ้านโดยที่ไม่มีหนานมั่นมาด้วย ลุงกับป้าสงสัยว่าทำไมหนานมั่นไม่มา แต่พี่คำแปงไม่บอกอะไร ยืนกระดาษแผ่นนึงให้พ่อ ใจความว่ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ให้เตรียมตัวเตรียมใจ และไปหาของตามที่จดมาให้ครบ วันนี้ก่อน 3 ทุ่ม หนานมั่นจะมาหาที่บ้าน ข้อสำคัญห้ามแสดงพิรุธใดๆ ทั้งสิ้นไม่งั้นผีพรายที่มันแฝงอยู่จะรู้ตัวและอาจทำอันตรายคนอื่นๆได้
อ่านจบแล้วลุงกับพี่แสงคำก็ เข้าเมืองทันที เพื่อเตรียมของ แกว่าเท่าที่จำได้นั้นมีหม้อดินใบใหญ่ 2 ใบ เกลือเม็ด พริกแห้งมากๆ เท่าที่จะหาได้ นอกนั้นเป็นเครื่องยาโบราณต้องไปเจียดมาจากร้านในกาดเมือง บางตัวแกก็ไม่รู้จักเพราะหนานมั่นจดมาเป็นภาษาเมือง ฝ่ายป้าคำแปงกับพี่ม่านแก้วอยู่บ้าน พยายามทำทุกอย่างให้ปกติ ทั้งหาข้าว พาแม่อุ๊ยอาบน้ำ ทำธุระ แต่สิ่งเกือบให้ทั้งคู่คุมตัวเองไม่อยู่คือ จู่ๆแม่อุ๊ยก็ยิ้มและหัวเราะแหะๆๆๆ อยู่คนเดียวในห้อง พอป้าคำแปงเข้าไปใกล้ๆก็ทำตาเหลือก ตาโปนใส่และพูดว่า “ แขนโตเต็มไม้เต็มือ ท่าจะหวานนัก” เล่นเอาป้าคำแปงแทบสติแตก ทั้งแม่ลูกต้องวิ่งหาพระมาคล้องคอไว้หมายเพื่อป้องกันตัว
บ่ายแก่ๆ สองพ่อลูกกลับบ้านมา ทำทีเป็นถามอาการแม่อุ๊ยอ ย่างเคย แล้วก็เสไปเตรียมของรอเวลาหนานมั่นมาตามนัด เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกคนในบ้านเคร่งเครียด จนเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง หนานมั่นก็มาถึงบ้าน พอมาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง เรียกเอาของทุกอย่างที่ให้เตรียมไว้ทั้งหมดมา ล้อมด้วยสายสิญจน์ที่แกเอามา นั่งสวดมนต์ เชิญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ของแก เสียงสวดมนต์เป็นภาษาบาลีบ้าง เป็นภาษาเมืองบ้าง ฟังดูน่า กลัวแต่แฝงพลังไว้ในทุกถ้อยคำ จบแล้วหนานมั่นสั่งให้ ก่อไฟขึ้นแล้วหม้อดินทั้งสองไปตั้งไฟทันที ระหว่างนั้น แกก็ท่องคาถาไป พร้อมเติมเครื่องยาลงหม้อทั้งสอง พี่แสงคำถามขึ้นว่า “เฮาจะยะหยังกันลุงหนาน.” “โตบ่ฮู้ก่แสงคำ ไอ้ที่พวกฮากะลังยะอยู่นี่ฮ้องว่า ฮมพราย” (รมพราย ) ระหว่างรอหม้อ ตั้งไฟให้ร้อนจัดๆ อยู่นั้น หนานมั่นให้ป้าคำแปงกับ พี่ม่านแก้วไปอยู่อีกห้อง ปิดประตูหน้าต่างให้ดี ได้ยินอะไรอย่าออกมาเด็ดขาด ถ้าจะให้ดีให้คอยสวดมนต์ให้คุณพระปกป้องรักษาเพราะ ทั้งคู่เกิดวันอ่อน อาจจะเป็นอันตรายได้ ข้างฝ่ายอุ๊ยสาลี่ ก็นอนอยู่ในห้อง เอาผ้าห่มคลุมโปง แอบเปิดผ้ามาดูเป็นพักๆ ทุกครั้งที่ลุงหรือพี่ชายหันไปดู แกจะรีบหลบเข้าโปงไป แอบหัวเราะแหะๆๆ อยู่คนเดียว พอตัวยาได้ที่ หนานมั่นไล่ลุงคำมีกับลูกชาย ให้ไปปิดหน้าต่างทุกบ้านในห้องแม่อุ๊ยถ้าปิดแล้ว ให้อะไรขัดดาลไว้ให้มั่น เสร็จยกหม้อดินสองใบเข้าไปในห้อง หม้อดินั้น ปิดฝามาแต่ก็ยังพอได้กลิ่นเครื่องยาที่ฉุนกึก หม้อร้อนจี๋พอวางในห้องก็ใส่พริกแห้งเข้าไปอีกเยอะๆ ทั้งสองหม้ออบควันซักครู่ก็เปิดออกแล้วทั้งสามก็วิ่งออกมาแต่ก็ยังหนีควัน นั้นไม่พ้นพากันสำลักควัน เมือปิดประตูลั่นดานแล้ว ในห้องนั้นก็พลันมีเสียงเหมือนคนวิ่งดังกึ้งๆๆๆๆๆ ไปทั่วบ้าน เสียงข้าวของในห้องตกแตก หน้าต่างกระเทือนเหมือนโดนเขย่าและเสียงโหยหวน ของอะไรบ้างอย่างที่ฟังไมได้ศัพท์ ฮื่อ.......... อ๊า........ กร๊าดดดดดดด.......... ตึงๆๆๆๆๆ
ซักพักใหญ่ๆ เสียงทั้งหมดก็เงียบลง ...
หนานมั่นหันมาบอกลุงว่า อุ๊ยสาลี่ จากไปนานแล้ว ไอ้ผีพรายตนนี้มันมาแฝงร่างอยู่แทน ยังดีที่ว่ามันยังไม่ได้ทำร้ายคนอื่นๆในบ้าน เมื่อทุกคนเปิดประตูเข้าไปดู ภาพที่เห็นคือ ทั่วทั้งห้อง ข้าวของกระจัดกระจาย ตามหน้าต่างมีรอยเล็บตะกุยอยู่ทั่ว เหมือนจะหาทางออกไป และที่น่าเศร้าใจที่สุด ร่างของอุ๊ยสาลี่ ที่มีสภาพเหมือนตายมาแล้ว 7 วัน นอนอืดอยู่กลางห้อง ครอบครัวของลุงทรุดลงร้องไห้ที่หน้าห้องนั่นเอง งานศพของอุ๊ยสาลี่จัดขึ้นอย่างว่องไวและเผาหลังจากสวดเพียงคืนเดียว ทางบ้านป้าก็ไม่มีใครได้ไปร่วมงานซักคน ตอนนั้นยังคิอยุ่ว่าทำไมลุงคำมีรีบร้อนปลงศพแท้เพิ่งจะมารู้ความจริงหลังจากนั้นก็อีกหลายปีต่อมา...
เป็นไงมั่งเด็กๆ นี่แค่เรื่องแรกของป้านะ ยังมีอีกหลายๆเรื่องเลยล่ะ ทั้งป้าได้รู้ได้เห็นและมีส่วนร่วมมา วันนี้พอแค่นี้แล้ววันหน้ามานั่งล้อมวงฟังป้ากันใหม่นะ เอาโชคดีมีชัย ระวังระไว อย่าให้ใครมาหักคอล่ะ หึหึหึ
บ่ายแก่ๆ สองพ่อลูกกลับบ้านมา ทำทีเป็นถามอาการแม่อุ๊ยอ ย่างเคย แล้วก็เสไปเตรียมของรอเวลาหนานมั่นมาตามนัด เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกคนในบ้านเคร่งเครียด จนเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง หนานมั่นก็มาถึงบ้าน พอมาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง เรียกเอาของทุกอย่างที่ให้เตรียมไว้ทั้งหมดมา ล้อมด้วยสายสิญจน์ที่แกเอามา นั่งสวดมนต์ เชิญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ของแก เสียงสวดมนต์เป็นภาษาบาลีบ้าง เป็นภาษาเมืองบ้าง ฟังดูน่า กลัวแต่แฝงพลังไว้ในทุกถ้อยคำ จบแล้วหนานมั่นสั่งให้ ก่อไฟขึ้นแล้วหม้อดินทั้งสองไปตั้งไฟทันที ระหว่างนั้น แกก็ท่องคาถาไป พร้อมเติมเครื่องยาลงหม้อทั้งสอง พี่แสงคำถามขึ้นว่า “เฮาจะยะหยังกันลุงหนาน.” “โตบ่ฮู้ก่แสงคำ ไอ้ที่พวกฮากะลังยะอยู่นี่ฮ้องว่า ฮมพราย” (รมพราย ) ระหว่างรอหม้อ ตั้งไฟให้ร้อนจัดๆ อยู่นั้น หนานมั่นให้ป้าคำแปงกับ พี่ม่านแก้วไปอยู่อีกห้อง ปิดประตูหน้าต่างให้ดี ได้ยินอะไรอย่าออกมาเด็ดขาด ถ้าจะให้ดีให้คอยสวดมนต์ให้คุณพระปกป้องรักษาเพราะ ทั้งคู่เกิดวันอ่อน อาจจะเป็นอันตรายได้ ข้างฝ่ายอุ๊ยสาลี่ ก็นอนอยู่ในห้อง เอาผ้าห่มคลุมโปง แอบเปิดผ้ามาดูเป็นพักๆ ทุกครั้งที่ลุงหรือพี่ชายหันไปดู แกจะรีบหลบเข้าโปงไป แอบหัวเราะแหะๆๆ อยู่คนเดียว พอตัวยาได้ที่ หนานมั่นไล่ลุงคำมีกับลูกชาย ให้ไปปิดหน้าต่างทุกบ้านในห้องแม่อุ๊ยถ้าปิดแล้ว ให้อะไรขัดดาลไว้ให้มั่น เสร็จยกหม้อดินสองใบเข้าไปในห้อง หม้อดินั้น ปิดฝามาแต่ก็ยังพอได้กลิ่นเครื่องยาที่ฉุนกึก หม้อร้อนจี๋พอวางในห้องก็ใส่พริกแห้งเข้าไปอีกเยอะๆ ทั้งสองหม้ออบควันซักครู่ก็เปิดออกแล้วทั้งสามก็วิ่งออกมาแต่ก็ยังหนีควัน นั้นไม่พ้นพากันสำลักควัน เมือปิดประตูลั่นดานแล้ว ในห้องนั้นก็พลันมีเสียงเหมือนคนวิ่งดังกึ้งๆๆๆๆๆ ไปทั่วบ้าน เสียงข้าวของในห้องตกแตก หน้าต่างกระเทือนเหมือนโดนเขย่าและเสียงโหยหวน ของอะไรบ้างอย่างที่ฟังไมได้ศัพท์ ฮื่อ.......... อ๊า........ กร๊าดดดดดดด.......... ตึงๆๆๆๆๆ
ซักพักใหญ่ๆ เสียงทั้งหมดก็เงียบลง ...
หนานมั่นหันมาบอกลุงว่า อุ๊ยสาลี่ จากไปนานแล้ว ไอ้ผีพรายตนนี้มันมาแฝงร่างอยู่แทน ยังดีที่ว่ามันยังไม่ได้ทำร้ายคนอื่นๆในบ้าน เมื่อทุกคนเปิดประตูเข้าไปดู ภาพที่เห็นคือ ทั่วทั้งห้อง ข้าวของกระจัดกระจาย ตามหน้าต่างมีรอยเล็บตะกุยอยู่ทั่ว เหมือนจะหาทางออกไป และที่น่าเศร้าใจที่สุด ร่างของอุ๊ยสาลี่ ที่มีสภาพเหมือนตายมาแล้ว 7 วัน นอนอืดอยู่กลางห้อง ครอบครัวของลุงทรุดลงร้องไห้ที่หน้าห้องนั่นเอง งานศพของอุ๊ยสาลี่จัดขึ้นอย่างว่องไวและเผาหลังจากสวดเพียงคืนเดียว ทางบ้านป้าก็ไม่มีใครได้ไปร่วมงานซักคน ตอนนั้นยังคิอยุ่ว่าทำไมลุงคำมีรีบร้อนปลงศพแท้เพิ่งจะมารู้ความจริงหลังจากนั้นก็อีกหลายปีต่อมา...
เป็นไงมั่งเด็กๆ นี่แค่เรื่องแรกของป้านะ ยังมีอีกหลายๆเรื่องเลยล่ะ ทั้งป้าได้รู้ได้เห็นและมีส่วนร่วมมา วันนี้พอแค่นี้แล้ววันหน้ามานั่งล้อมวงฟังป้ากันใหม่นะ เอาโชคดีมีชัย ระวังระไว อย่าให้ใครมาหักคอล่ะ หึหึหึ
ชอบมากครับ สนุกดี ทำเป็นหนังได้เลยครับ
แว่นจังเล่าเรื่อง ทำให้ผมคิดว่า แว่นจังพูดเหมือนโครงกระดูกในเรื่อง tales from the crypt
5555555555555555555 โอ้วววว ... Tales from Horror Club
Function Used time : 0:00:00:00.045