เกมสยองขวัญที่รัก....ประสบการณ์ชีวิตส่วนบุคคล ^^"

by caragio • วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554 22:42
Every music tells you a story
Every movie shows you a story
Every game lets you live their story

เวลาคุณฟังเพลง คุณได้รับรู้เรื่องราว
เวลาคุณดูหนัง คุณได้รับชมเรื่องราว
เวลาคุณเล่นเกม คุณได้สัมผัสเรื่องราว

เป็นข้อความที่ใครสักคนกล่าวไว้บนโลกอินเตอร์เน็ต และกระทู้ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่อยากจะเขียนมานานแล้วเหมือนกันครับ แต่หาเวลาไม่ได้สักที (ข้ออ้างพื้นฐานสำหรับคนขี้เกียจ ^^") เป็นบท

ความ...แหมไม่อยากจะใช้คำว่าบทความเลยจริงๆ เอาเป็นว่า เป็นข้อเขียนจากกระผม ที่ใช้นามแฝงบนโลกอินเตอร์เน็ตว่า CARAGIO ผู้มีนิสัยชอบเล่นเกม ไม่ถึงกับติด แต่ก็เป็นงานอดิเรกประจำตัว ที่ชื่นชอบไม่น้อยไปกว่าการดูหนังสยองขวัญ ...และเมื่อเราเอาความชอบทั้งสองอย่างนี้มารวมกัน ก็จะได้งานอดิเรกที่น่าจะแบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึกให้แก่ชาวคลับผู้ชื่นชอบอะไรสยองขวัญๆเหมือนกันบ้าง นั่นคือ การนำเสนอ "เกมสยองขวัญ" โอ้!!! (ฟิวชั่นกันได้แบบเล่นง่ายสุดๆ ^^")

วิดิโอเกม จัดเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ค่อนข้างจะถือว่าใหม่ หากนำไปเทียบกับสื่อชนิดอื่นๆอันได้แก่เพลงภาพยนตร์ หนังสือ เรียกได้ว่าถือกำเนิดมาในช่วงราวๆปี 1980 และมาบูมมากๆสมัยเครื่อง Famicom (หรือที่บ้านเราขายโดยบริษัทแฟมิลี่ ก็เลยเล่นง่ายเรียกชื่อใหม่ว่าเครื่องแฟมิลี่ซะเลย) แต่ผมไม่ได้จะมาเลคเชอร์เรื่องประวัติศาสตร์วงการวิดิโอเกมนี่หว่า! เพราะงั้น ไปหาอ่านเอาเองตามวิกิพีเดียนะครับ แหะๆ ที่ผมอยากจะบอกก็คือ ผมเชื่อว่า ผม และอีกหลายๆคนที่อายุไล่เลี่ยกัน...อ่ะเฉลยก็ได้ว่าผมอายุ 26 ครับ เชื่อว่าหลายๆท่านคงเคยได้ยินที่เค้าว่ากันว่า คนอายุประมาณนี้ ถือว่าโชคดีมากๆ เพราะเกิดมาและใช้ชีวิตในช่วงคาบต่อของการปฏิวัติด้านเทคโนโลยีต่างๆมากมาย เช่น เราอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างสมัยเก่ากับสมัยใหม่ เราเกิดทันยุคที่หนังภาพยนตร์ซบเซาลงด้วยบทเชยๆ และก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้งด้วยเทคนิคล้ำสมัย (ในช่วงที่มันออกมาน่ะนะ) ที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจกันเป็นแถบๆ ไล่มาตั้งแต่เทคนิคเหล็กไหลใน Terminator 2, คืนชีพไดโนเสาร์ออกมาวิ่งไล่กินคนใน Jurassic Park และลากยาวมาจนถึงเทคนิคสโลว์โมชั่น Bullet Time ใน Matrix ฯลฯ

และสำหรับในวงการวิดิโอเกมก็เช่นกัน เราโชคดีมากที่เกิดมาทันเล่นเกมสมัยมาริโอ 8bit เห็นเป็นดอทพิกเซล และเราก็สนุกกับความยากบรรลัยของมัน พอมายุคปัจจุบัน เราก็ยังไม่แก่เกินไปที่จะสนุกสนานกับความล้ำสมัยของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟฟิคที่สร้างสรรค์ความสมจริงให้ภาพเสียงและระบบการเล่นให้กับวิดิโอเกมยุค Next Gen ในทุกวันนี้

ในช่วงแรกเริ่มนั้น ต้องบอกว่าวิดิโอเกมส่วนมากก็จะมีกฏกติกาง่ายๆ รวมถึงเนื้อเรื่องที่ไม่ซับซ้อน เนื่องมาจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีนั่นเอง เกมอย่างมาริโอ้ คอนทร้า จึงไม่มีอะไรมากไปกว่าวิ่งๆๆ ยิงๆๆๆ ตะลุยๆๆๆ ปราบบอสจนจบ แม้ว่าในยุคเดียวกันจะมีเกมที่เริ่มลงลึกไปถึงรายละเอียดซับซ้อนอย่างเกมพวก RPG (Role Playing Game - หรือนิยมเรียกกันว่าเกมภาษา) ซึ่งก็เป็นการนำเสนอด้วย Text ข้อความต่างๆ แบบการอ่านหนังสือ แล้วอาศัย "จินตนาการ" ของผู้เล่น เสริมเติมแต่งจากภาพที่เห็นบนจนทีวีเอาเอง ต่อมาเมื่อฮาร์ดแวร์สามารถสร้างสรรค์ภาพเสียงต่างๆได้งดงามขึ้น ผู้ผลิตหรือนักออกแบบเกมก็เริ่มที่จะใส่เนื้อหาลงไปในตัวเกมมากขึ้น ประเภทของเกมที่แต่เดิมมีอยู่ไม่กี่ประเภท ก็เริ่มที่จะแตกหน่อแยกย่อยออกไปมากขึ้น เกมแนวสยองขวัญก็เป็นหนึ่งในแนวเกมที่ออกมานำเสนอตัวเองแก่สาธารณชนจนสุดท้ายแล้วก็อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแนวเกมที่หลายคนชื่นชอบในปัจจุบัน

ข้อเขียนที่จะเขียนต่อไปนี้ ไม่ใช่ข้อเขียนเชิงวิทยาศาสตร์ หรือปริญญานิพนธ์ เป็นข้อเขียนจาก "ชีวิตการเล่นเกม" ของตัวกระผมเองล้วนๆ เพราะงั้น...จะไม่มีการเรียงตามลำดับเวลา หรือมีบทความอ้างอิงอะไรเป็นเรื่องเป็นราวนักนะครับ อย่าเอาไปประกอบวิทยานิพนธ์ของตัวเองล่ะ ^^"
attachment

Replies (34)

#1caragio • 26/9/2554 22:46


1. Clock Tower หอนาฬิกาสยอง
เป็นเกมสยองขวัญเกมแรกในชีวิต ที่เปิดประตูสู่โลกแห่งการเอาชีวิตรอดของกระผมเลยครับ จำได้ว่าไปเห็นเกมนี้ครั้งแรกที่ร้านเกม (สมัยนั้นยังไม่มีเครื่อง ต้องไปเล่นตามร้านเอา....ฮั่นแน่ เกิดทันยุคไปเล่นเกมร้านชิมิ?) โดยเจ้าของร้านนั่นเล่นอยู่ ถึงกับถามว่า "เกมอะไรอ่ะพี่!!! โคตรสยองเลย!!"

เกมนี้ผลิตโดยบริษัท Human Entertainment (ปัจจุบันบริษัทนี้เจ๊งไปแล้ว แต่ยังเพาะหน่อนักออกแบบเกมมือเก๋าเจ้งไว้คนหนึ่ง ซึ่งผมอาจจะเขียนถึงในโอกาสต่อๆไป) ออกวางจำหน่ายครั้งแรกบนเครื่อง Super Famicom (หรือ SNES ในฝั่งยุโรป) ในปี 1995 มีแต่ภาษาญี่ปุ่น (สมัยนั้นน้อยเกมมากที่จะมีทั้งเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและอังกฤษ) จะว่าไป เครื่องระดับ 16bit ภาพเสียงที่นเสนอออกมาก็งั้นๆ จะว่าไป มันสามารถผสมสีออกมาได้แค่ 32768 สีเท่านั้น แต่ Clock Tower กลับเอาไอ้ประสิทธิภาพแค่นี้แหละ มานำเสนอให้คนเล่นกลัวจนแทบฉี่ราดได้!

โดยในเกม Clock Tower (ขอย่อสั้นๆว่า CT นะครับ) เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในประเทศนอร์เวย์ ปี1995 (ปีเดียวกับที่เกมวางจำหน่ายเลย) เจนนิเฟอร์ ซิมป์สัน และผองเพื่อนเด็กกำพร้า(ลอร่า แอนน์ และล็อตตี้) เพิ่งได้รับการอุปการะจากคุณนายแมรี่ บาโรวส์ ให้ไปอยู่ในคฤหาสน์เก่าแก่ของตระกูล คฤหาสน์บาโรวส์หลังนี้มีจุดเด่นอยู่ที่หอนาฬิกาเรือนใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มทีนี้มันมาสยองก็ตรงที่ว่า ในคืนที่เข้ามาอยู่นั่นแหละ เพื่อนๆของเจนนิเฟอร์เกิดหายตัวไปหมด พอน้องเจนของเราออกสำรวจคฤหาสน์ ก็พบวาเพื่อนของเธอถูกฆ่าตายไปทีละคนๆอย่างโหดเหี้ยม โดยฝีมือของ "เจ้ามนุษย์กรรไกร" (Scisscors Man) ฏาตกรโหดที่ถือกรรไกรตัดหญ้าอันใหญ่ ฉับๆชิ้งๆ ตามไล่ฆ่าเจนนิเฟอร์ไปตลอดทั้งเกม ไอ้เจ้าหมอนี่มันเป็นใคร? และตระกูลบาโรวส์มีความลับดำมืดอย่างไร? (ทำไมตระกูลเก่าๆแก่ๆ มันต้องไปเกี่ยวข้องกับอะไรมืดๆ สยองๆ อยู่เรื่อยฟะ จะมีมั้ยตระกูลเก่าแก่ที่ใช้ชีวิตแบบเงียบสงบน่ะฮึ!?) เมื่อ ก็เป็นหน้าที่ของผู้เล่นล่ะครับที่จะต้องค้นหาเรื่องราว ข้อมูล จากสิ่งของและบันทึกต่างๆในเกม เพื่อเปิดเผยความลับทุกอย่างทั้งของตระกูลบาโรวส์ และอดีตของเจอนนิเฟอร์เอง รวมทั้งเอาตัวรอดจากเจ้ามนุษย์กรรไกรให้จงได้! โอ้เย้!

attachment
#2caragio • 26/9/2554 22:50
ตัวเกมมีระบบการเล่นแบบแนว Point n' Click นั่นคือ ในหน้าจอจะมีเคอเซอร์ลูกศรอยู่อันนึง ผู้เล่นไม่ได้ควบคุมตัวละครหรือการกระทำของตัวละครโดยตรง แต่จะขยับไอ้ลูกศรอันนี้แหละ คลิกที่บริเวณต่างๆในเกม เพื่อไกด์นำทางตัวละครในเกมให้มันเดินไปในทิศทางที่ต้องการ, สำรวจสิ่งของ, กระทำการอะไรสักอย่างตามแต่ที่เกมกำหนดมาให้ ณ จุดนั้นๆ ซึ่งในเกมเราอาจจะแบ่งช่วงการเล่นได้ 2 ส่วน คือส่วนสำรวจธรรมดา ก็จะเดินสำรวจหาของเปิดประตูไปเรื่อยไม่มีอะไร กับช่วงที่เราโดนไล่ล่า ในช่วงนี้เราจะสำรวจสิ่งของปกติไม่ได้เลย ต้องหนีเจ้าปิศาจกรรไกรเป็นหลัก สำรวจได้แต่ของที่เกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอดเท่านั้น เช่นถังน้ำเอาไว้ตีหัว หรือตู้สำหรับผลักไปกระแทกเจ้ากรรไกร เป็นต้น พวกนี้พอเราใช้แล้ว เราก็จะหนีออกไปห้องอื่น แล้วเจ้ากรรไกรก็จะเลิกตามเราไปชั่วขณะ ให้เราได้ลั้ลลาสำรวจคฤหาสน์สบายใจเฉิบ ก่อนที่มันจะหวนกลับมาไล่เราอีกครั้ง แต่หากเราจนมุมไม่มีทางหนีจริงๆ เกมก็ให้โอกาสเราได้สู้กับเจ้ากรรไกร แต่เป็นการสู้เพื่อเอาตัวรอด โดยหากเจ้ากรรไกรเข้ามาใกล้เราได้ปุ๊บ ผู้เล่นก็จะต้องกดปุ่มบนคอนโทรลเลอร์รัวๆ (ประมาณว่าต้านไว้) หากกดสำเร็จตามที่เกมกำหนด เราก็จะผลักเจ้ากรรไกรล้มลง แล้ววิ่งแหวกหนีออกมาได้ (แต่เจ้ากรรไกรก็ยังตามล่าเราต่อนะครับ เราแค่หนีมันออกมาจากห้องเท่านั้น) ซึ่งพอเราสู้ไปแล้ว ตัวละครก็จะเหนื่อย (ภาพพื้นหลังของหน้าตัวละครจะเป็นสีเหลือง และแดงตามลำดับ) ซึ่งถ้ามันเป็นสีแดงเมื่อไหร่ พึงระวังไว้ เพราะเราจะไม่สามารถสู้มันได้ ต้องรอเวลาสักพักให้เราหายเหนื่อย จึงจะกลับมาสู้กับมันได้อีก

ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัวก็ต้องบอกว่า สมัยนั้นมันน่ากลัวโคตรๆๆๆๆแล้วล่ะ ส่วนนึงอาจเพราะความ lack of technology ด้วยก็ได้ที่ผู้สร้างฉลาดพอที่จะนำมันมาเป็นจุดเด่น (สังเกตว่าสมัยก่อนผู้ผลิตทางฝั่งญี่ปุ่นมักจะเหนือกว่าในเรื่องการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มานำเสนอให้เหมาะสม ต่างกับฝั่งตะวันตกที่เอะอะๆก็จะขายความสมจริงท่าเดียว จนบ่อยครั้งที่มันกลายเป็นความเลอะเทอะไป) อย่างเช่น การทำภาพประกอบบางส่วนให้ดูคล้ายภาพถ่าย แต่พอมาอยู่บนเครื่องระดับ 16 บิท มันเลยทำให้ภาพดูหม่นๆ เบลอๆ ขอบตาดำๆ จนดูไปดูมามันก็สยองอยู่ หรือเสียงประกอบที่เวลาอยู่ในช่วง Panic ก็จะเป็นเสียง ตรื๊ดๆๆๆ (เสียงแบบฉากคลาสสิคจากเรื่อง Psycho นั่นแหละ) เสียงกรี๊ดตอนโดนฆ่า (ที่ฟังดูรู้ว่าเป็นเสียงสังเคราะห์ แต่พอบวกกับบรรยากาศมันก็ขนลุกใช่ที่) หรือแค่เสียง ฉับ ฉับ ฉับ ที่จู่ๆก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่า หนีได้แล้ว มันจะมาจิ้มเราแล้วเว้ยยย

(น้องแอนนน์ นั่งคุยกันอยู่ดีๆ เผลออีกที เป็นศพซะละ)
attachment
#3caragio • 26/9/2554 23:00
นอกจากนี้ ผู้สร้างยังออกแบบเกมให้ผู้เล่นต้องใช้ตรกกะ และเหตุผลบ้างเวลาจะทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น แม้ผู้เล่นจะมองเห็นอยู่แล้วว่าทางเดินนั้นพังทลายลงไม่สามารถไปต่อได้ ต้องหยิบเอาไม้ที่วางอยู่ใกล้ๆมาพาดเดินข้ามไป แต่ในเกมก็ต้องเข้าไปสำรวจตรงทางขาดก่อน แล้วค่อยมาสำรวจตรงไม้ มิฉะนั้นตัวละครก็จะไม่รู้ว่าทำไปทำไม เป็นต้น ไอ้ระบบนี้เองที่บ่อยครั้งมันกดดันเราแทบบ้า เพราะว่าโดนเจ้ามนุษย์กรรไกรไล่ฆ่าอยู่ พอวิ่งมาถึงห้องที่ต้องสำรวจบางอย่างก่อน ตัวละครก็จะค่อยเดินๆๆๆไปที่ของนั้นๆ (เป็นระบบของเกมอยู่แล้วที่เวลาสำรวจอะไร ตัวละครจะไม่วิ่ง) เล่นเอาใจหายใจคว่ำเลยว่ามันจะหนีพ้นมั้ย มันจะเอากรรไกรยักษ์ทิ่มลูกกะตาเรารึเปล่า

จุดเด่นอีกอย่างของเกมก็คือ ฉากจบที่มีถึง 9 แบบ (แบ่งเป็นRank A-H โดย A คือดีที่สุด และ H คือแย่ที่สุด และฉากจบ S ที่จะคล้ายกับ A แต่จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ดีกว่า) แม้จะไม่ใช่ฉากจบที่แตกต่างกันทั้งหมด แต่มันก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่า ได้ดำเนินเกมไปจนทราบเรื่องราวมากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างเช่น พอเริ่มเกมมา ผู้เล่นจะบังคับตัวละครให้วิ่งไปเอากุญแจรถออกมาสตาร์ทหนีไปเลยก็ได้ ก็จะได้ฉากจบ H (แต่หนีไปแล้วจะเจออะไรก็....หึหึ) หรือว่าดำเนินเกมไปจนโดนตัวละครบางตัวฆ่าตายตามเนื้อเรื่อง ถ้าก่อนหน้านั้นผู้เล่นได้ไปเจอเหตุการณ์บางอย่างมาก่อน ก็อาจทำให้ Rank ของฉากจบเปลี่ยนไปก็ได้ครับ

สำหรับเกม Clock Tower ภาคแรกนี้ ก็ถือว่าดังพอสมควรเลยครับ หากมีท่านไหนอยากเล่น ก็คงหาได้ไม่ยากตามพวกโปรแกรม Emulator ของเครื่อง Super Famicom เสิร์ชอากู๋กูเกิ้ลเอา (หรือถ้าหาไม่เจอจริงๆ ลองสอบถามผมมาก็ได้ครับ ผมว่าผมยังเก็บไฟล์ไว้อยู่นะ) ซึ่งต้นฉบับจริงๆจะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่ก็ได้มีโปรแกรมเมอร์ใจดีออกตัว Patch แปลให้เป็นภาษาอังกฤษ เล่นเข้าใจง่ายขึ้นอีก (ใจงามจริงๆ ^^) หรือถ้าขี้เกียจเล่น จะหาดูวิดิโอในยูทูบเอาก็ได้ครับ ขอให้โชคดีกับการเอาตัวรอดจากคฤหาสน์ Barrows นะครับ เหอะๆๆ


Trivia
- แฟนหนังโหดหลายท่านอ่านเนื้อเรื่องและดูชื่อตัวละครก็อาจจะรู้สึกว่าคุ้นๆอยู่ ใช่แล้วครับ ผู้สร้างได้แรงบันดาลใจ หยิบยกมาจากภาพยนตร์สยองขวัญของผู้กำกับในตำนาน Dario Argento กับเรื่อง Phenomena นั่นเอง โดยหยิบเอาคอสตูมของนางเอกมาจากหนังแทบทั้งดุ้น และชื่อเจนนิเฟอร์ ก็ได้มาจากชื่อนักแสดงสาว (สมัยนั้น ^^") เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีองค์ประกอบของหนังของตา Argento อีกหลายๆอย่างด้วย เช่นฉากศพตกลงมาจากกระจกสี หรือประเด็นเรื่องแม่กับลูก เป็นต้น

- แฟนเกมหลายคนยกให้เป็นเกมที่สยองที่สุดของเครื่อง SFC เลยทีเดียว ทำให้เกมนี้ได้รับการพอร์ตไปลงเครื่องอื่นๆอีกมากมาย (พอร์ต เป็นศัพท์ในวงการเกม หมายถึงการหยิบยกเอาไปลงบนเครื่องเกมอื่นๆนอกเหนือจากเวอร์ชั่นแรกที่มันออกจำหน่าย) เช่นบนเครื่อง PlayStation (ในชื่อ Clock Tower : The First Fear), WonderSwan, PC เป็นต้น

- และด้วยความที่มันเป็นตำนานหนึ่งในประวัติศาสตร์เกมสยองขวัญไปแล้ว เชื่อว่าต้องมีแฟนๆเกมซีรี่ย์นี้อยู่ทั่วโลกไม่น้อยแน่ๆ ล่าสุดคือมีทีมงานกลุ่มหนึ่งชื่นชอบมาก จนนำเอาเกมนี้ไป "รีเมค" ด้วยตัวเอง ในชื่อว่า Clock Tower : Remothered โดยจะยืนพื้นเกมเพลย์จากต้นฉบับดั้งเดิมเป็นหลัก แต่เปลี่ยนกราฟฟิคใหม่ทั้งหมด และจะมีการเสริมเนื้อเรื่องปลีกย่อยเข้าไปด้วย มีแผนจะทำลงบนเครื่อง PC ซึ่งแน่นอนว่าไม่ถูกกฏหมายหรอก แต่ใครจะไปสน ในเมื่อเกมมันสุดยอดอยู่แล้ว! 555 ข่าวร้ายนิดๆคือ ตัวเกมพัฒนามากว่า 3 ปีแล้วจ้า ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จซะที (ก็เค้าทำกันเป็นงานนอกเวลานี่นะ) และก็ไม่รู้ว่าจะทำมาขาย หรือมาแจกจ่าย หรืออะไรยังไง แต่ทั้งนี้ทางทีม Mansyon Soft ผู้พัฒนาก็กะไว้ว่าเกมจะเสร็จพร้อมให้เล่นกันในปี 2011 นี่ล่ะนะ (ยังไงเราก็จะรอนะครับ ^^)

(ภาพเทียบกันระหว่าง Remothered (ซ้าย) เทียบกับต้นฉบับเดิม (ขวา) ห้องเดียวกัน แต่กราฟฟิคใหม่ ดูดีเนอะ ^^)
attachment
แก้ไขล่าสุด: 26/9/2554 23:01 โดย caragio
#4แว่นจัง • 26/9/2554 23:03
ขอปาด อีclock towerเล่นตอนป4 ทำเอาเพื่อนผู้ชายสมัยเด็กต้องลากเราไปยืนเฝ้ามันหน้าห้องน้ำผู้ชาย

ส่วนเพื่อนอีกคนฉี่ราด เพราะภาพติดตา ไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน
#5AguileraAnimato • 26/9/2554 23:06
CT นิจะสร้างเป็นหนัง ก็ไม่เห็นจะสร้างสักที รอนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


ป.ล. ไอ้ที่เหมือนหนัง phenomena ยังรวมถึงการเฉลยตัวร้ายด้วยนะ ว่าที่แท้จริงเป็น....


ไหนๆก็ไหนๆ ขอโปรโมตกระทู้ฉายหนังเรื่อง phenomena ด้วยเลย 55+
http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2009/02/A7524897/A7524897.html
แก้ไขล่าสุด: 26/9/2554 23:06 โดย AguileraAnimato
#6nespay • 26/9/2554 23:14
กลัว Clock tower มากเลย ตอนเด็กๆ
#7caragio • 26/9/2554 23:29


2. Clock Tower2 หอนาฬิกาสอง สยองกว่าเดิม!

เกมมันฮิตขนาดนั้นก็ย่อมต้องมีภาคต่อ และภาคต่อของเกมก็ออกมาให้ฉี่ราดกันอีกครั้งในเดือนธันวาคม ปี 1996 โดยยังเป็นเกมแนว Point n' Click เช่นเดิม แต่ปรับปรุงรายละเอียดหลายๆอย่างให้ดีขึ้น ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การให้กราฟฟิคเป็น Full 3D Polygon ทั้งหมด (ในภาคแรกเป็นภาค 2D ทั้งเกม) แม้จะเป็นโพลีกอนสมัยสิบกว่าปีก่อน แต่การได้เห็นความลึก หมุนไปมาได้ มันก็ยิ่งทำให้เกมน่ากลัวขึ้น สนุกขึ้นอยู่แล้วล่ะ ^^

เนื้อหาของเกมจับความที่ 1 ปีให้หลังจากเหตุการณ์ภาคแรก เจนนิเฟอร์ ซิมป์สัน ได้รับการอุปการะอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่คนร้ายแบบอีนังแมรี่ภาคแรกละ (อุ๊บตายเผลอสปอยล์...แต่ก็คงเดาได้กันหมดล่ะเนอะ ^^") โดยเฮเลน แม็กซ์เวลล์ นักจิตวิทยาประจำมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงออสโล ประเภทนอร์เวย์เช่นเดิม ที่นอกจากจะรับอุปการะแล้ว ยังเป็นผู้บำบัดจิตใจให้เจนนิเฟอร์ด้วย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจนนิเฟอร์ในเกมภาคแรกก็ถือเป็นเหตุการณ์น่าสะพรึงที่ออกข่าวกันให้ฮึ่ม เจนนิเฟอร์เองก็ดังไปด้วยในฐานะของผู้รอดชีวิตคนเดียวจากเหตุการณ์นั้น (แม้ในเกมภาคแรกเราจะช่วยเพื่อนบางคนออกมาได้ก็ตาม แต่ตามเนื้อเรื่องจะถือว่าเจนรอดมาได้คนเดียว) นักจิตวิทยาหลายคนก็อยากจะใช้เป็นกรณีศึกษา เจนนิเฟอร์เลยต้องโดนตามตื๊อจากทั้งนักหนังสือพิมพ์ ทั้งจิตแพทย์ดังๆกันให้วุ่นไปหมด

ทีนี้เรื่องมันมายุ่งตรงที่ว่า มนุษย์กรรไกรที่น่าจะตายไปตั้งแต่ภาคแรกแล้ว กลับปรากฏตัวออกมาไล่ฆ่าเจนนิเฟอร์อีกครั้ง วุ่นล่ะสิเพราะภาคแรกเหตุการณ์เกิดขึ้นในคฤหาสน์แถบชนบท แต่นี่มันเกิดขึ้นในเมืองกันเลยทีเดียว แถมคนตายก็ยังเป็นคนรอบๆตัวเจนนิเฟอร์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กันทั้งนั้น นอกจากจะต้องเอาตัวรอดจากเจ้ากรรไกรแล้ว ยังต้องสืบหาอีกว่า ไอ้เจ้ากรรไกรที่ไล่ตามน่ะ มันคือปิศาจ หรือคน หรือใครที่อยู่รอบตัวเธอรึเปล่า? แล้วความลับเกี่วกับคำสาปของตระกูลบาโรวส์จริงๆมันคืออะไรกันแน่ ก็จงไปติดตามต่อกันเอาเองใน Clock Tower 2 ครับ
แก้ไขล่าสุด: 26/9/2554 23:59 โดย caragio
#8caragio • 26/9/2554 23:29
ในภาคนี้ มีระบบเด่นๆอยู่ที่ว่า ตัวเกมจะแบ่งออกเป็น 2 เหตุการณ์ชัดเจน นั่นคือเหตุการณ์ของเจนนิเฟอร์ และเหตุการณ์ของเฮเลน ใช่ครับ ในภาคนี้เราไม่ได้เล่นเป็นเจนนิเฟอร์คนเดียว แต่เล่นเป็นเฮเลนและคนอื่นๆได้ด้วย ที่ว่าแบ่งเป็น 2 เหตุการณ์ก็คือในตอนเริ่มเกม จากบทสนทนาเราจะเลือกได้ว่าจะเล่นเป็นใคร และก็ใช้เหตุการณ์ของคนๆนั้นไปจนจบ เท่ากับว่าเราจะได้เล่นเกมนี้อย่างน้อย 2 รอบเป็นอย่างต่ำล่ะ และเช่นเดียวกับภาคแรก ที่การกระทำบางอย่างของเราระหว่างเกม จะส่งผลไปถึงการกระทำตอนหลัง และฉากจบของเกมได้ด้วย โดยเกมภาคนี้จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 บท (ในภาคแรกจะไม่มีการแบ่ง เป็นการเล่นตะลุยยันจบทีเดียว) บางบทก็จะมีเหตุการณ์ที่เป็นตัวแปรสำคัญไปยังบทอื่นด้วย (เรียกว่าถ้าตัดสินใจพลาดไปแล้ว ก็ต้องลุยให้จบเลยก่อนจะมาเล่นใหม่)

ตัวละครในภาคนี้เยอะมาก สมกับโครงเรื่องที่ทำให้เราสงสัยว่า ใครกันหว่าเป็นฆาตกรตัวจริง ระหว่างเล่นไปก็ลุ้นไปว่า ไอ้คนนี้จะตายมั้ยหว่า? ไอ้คนนั้นหมั่นไส้มัน ทำไมมันไม่ตาย ที่เด็ดสุดๆก็คือ ในบทที่ 3 ของทั้งเจนนิเฟอร์และเฮเลน ซึ่งดำเนินเนื้อหาในคฤหาสดั้งเดิม(ก่อนหน้าคฤหาสน์ในภาคแรกอีก)ที่ประเทศอังกฤษ ตัวละครในเกมทุกตัวจะมาปรากฏในบทนี้ ซึ่งก็จะถูกฆ่าตายไปทีละคนๆ แต่ผู้เล่นสามารถช่วยเหลือพวกเขาไว้ได้ โดยการไปถึงสถานที่ๆตัวละครนั้นอยู่ให้ทันในเวลาที่กำหนด (ถ้าเกินเวลา พอไปถึงจะพบว่าตัวละครนั้นๆเป็นศพไปแล้ว) โดยจำนวนของผู้รอดชีวิตที่เราช่วยได้นี่ล่ะ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เราจบเกมแบบ A (ดีที่สุด ไม่มี S แล้วในภาคนี้) จากฉากจบทั้งหมด 10 แบบ (เจน 5 แบบ เฮเลน 5 แบบ)

เกมภาคแรกว่าสนุกแล้วนะ ภาคสองสนุกว่า! และน่ากลัวกว่าด้วย คราวนี้นอกจากจะทำกราฟฟิคออกมาเป็น 3D เต็มรูปแบบแล้ว ยังใส่เสียงพากย์ลงไปในบทสนทนาสำคัญๆด้วย เช่นในตอนคุยกันก่อนเริ่มแต่ละ Chapter เสียงต่างๆน่ากลัวกว่าเดิม อย่างเสียงตอนเจ้ากรรไกรโผล่มา อย่างภาคแรกนี่เราจะได้ยินแต่เสียง ฉับ ฉับ ใช่มั้ยครับ ภาคสองนี่เวลาเราเดินๆสำรวจอยู่ปุ๊บ สักพักจะเริ่มได้ยินเสียงเพลงดังแผ่วๆ (ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้คนแต่งเพลงประกอบเลยว่าแต่งออกมาได้แบบหลอนมาก!) ค่อยๆดังขึ้นจนกระทั่งมีเสียงนาฬิกาตีดัง หง่างงงง ตามด้วยเสียง ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง ของเจ้ากรรไกรที่จะเปิดประตูพรวดออกมาไล่จิ้มเรา ...และแน่นอน คราวนี้เวลาโดนจิ้มตาย ร้องกรี๊ดกันแบบเต็มๆหูเลย
attachment
#9caragio • 26/9/2554 23:32
หากสนใจจะเล่น ต้องบอกว่าค่อนข้างหายากซะหน่อยครับ เพราะเกมค่อนข้างเก่า แต่ออกมาในรูปแบบ CD ทำให้ข้อมูลมันค่อนข้างใหญ่เกินกว่าจะทำเป็นไฟล์ ROM ให้ดาวโหลดกัน (ในขณะที่เกมภาคแรกมีขนาดไม่กี่ MB เท่านั้น) ส่วนตัวผมเอง แผ่น copy ที่เคยซื้อไว้สมัยเกมออก ก็ไม่รู้จะยังเล่นได้ไหม แต่โชคดีที่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ได้มีการส่งต่อแผ่นไรท์ของเกมซีรี่ย์ Clock Tower แบ่งๆกันในเวบเกมแห่งหนึ่ง และผมก็ไรท์เก็บไว้จนครบเลย ถ้าใครอยากเล่นก็ลองติดต่อผมมาได้นะครับ (ต้องเล่นบนเครื่อง PlayStation1 หรือบน Emulator เท่านั้นครับ)


Trivia
- เกมภาคนี้วางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 13 เดือนธันวาคม 1996 ....ศุกร์ 13 ใช่แล้วครับ เหอๆๆๆ เล่นเอาฝันหวานกันถ้วนหน้าเลย

- ไม่รู้ว่าทางฝั่งยุโรปแกเพิ่งจะมองเห็นความสยองของเกมนี้รึไงมิทราบ เลยได้ทำการแปลเป็นเกมเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ และออกจำหน่ายในฝั่งยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับนักเล่นเกมชาวไทยที่จะได้เล่นแบบอ่านรู้เรื่องกันซะที แต่มันมายุ่งเอาตรงที่ว่า ในสมัยนั้นการวางจำหน่ายเกมยังไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์ข่าวสารที่รวดเร็วฉับไวเหมือนสมัยนี้ ทำให้ตัวเกมพอไปขายในฝั่งยุโรป เลยใช้ชื่อว่า Clock Tower เฉยๆ (เพราะเกมภาคแรกจริงๆ ไม่เคยมีการขายในฝั่งตะวันตก) ต่อมาฝั่งญี่ปุ่นทำเกมซีรี่ย์นี้ภาคต่อชื่อ Clock Tower Ghost Head พอไปขายในยุโรป ก็เลยใช้ชื่อว่า Clock Tower 2 ซะงั้น เรียกว่างงกันไปเป็นแถบๆ

ปัญหาเกี่ยวกับชื่อเกมนั้นเกิดขึ้นเสมอในยุคนั้น สาเหตุมันมาจากการทำตลาด การประชาสัมพันธ์ ที่มันมักจะออกมาแบบงงๆ สำหรับผู้เล่นในประเทศโลกที่สามอย่างเราๆ อย่างเช่นเกมตระกูล Final Fantasy ที่เวอร์ชั่นอเมริกาไม่ได้เอาไปแปลขายให้ครบ ผลก็คือ เกม Final Fantasy ภาคแรก เอามาแปลขายสองฝั่ง ไม่มีปัญหา แต่ภาค 2-3 ไม่ได้เอามาแปลขายซะงั้น พอ Final Fantasy 4 เวอร์ชั่นญี่ปุ่นออกมา ทางนู้นคงเห็นว่าน่าขายได้ ก็เอาไปแปลขาย และได้รับชื่อว่า Final Fantasy 2 (เพราะเป็นภาคที่สอง ที่ทางนั้นได้เล่น) พอเกมภาค 5 ของญี่ปุ่นออกมา ก็ดั๊นไม่ได้แปลขาย มาแปลขายอีกทีก็ตอนเกมภาค 6 นั่นแหละที่ขายในชิ่อของ Final Fantasy 3 และแล้วพอเกม Final Fantasy 7 ออกมาในเครื่อง PlayStation ก็ดังกระหึ่มทั่วโลก เกมเวอร์ชั่นยุโรปเห็นว่าคนเค้ารู้จักกันแล้ว เกรงจะงง (เพิ่งมานึกได้เหรอเพ่!?) ก็เลยใช้ชื่อว่า Final Fantasy 7 รวบไปซะเลยละกัน เกมยุคนี้เลยเป็นยุคท้ายๆละที่ชื่อเกมชื่อภาคข้ามไปข้ามมาซะมั่วไปหมด ปัจจุบันเกมฝั่งญี่ปุ่นที่ดังๆก็จะได้แปลขายในยุโรปไปพร้อมๆกัน (หรือไล่ๆกัน)อยู่แล้ว ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องชื่อภาค ถ้าจะมีก็คือเปลี่ยนชื่อเกมไปเลย ซึ่งก็ไม่ค่อยเป็นปัญหาอยู่แล้วในยุคอินเตอร์เน็ตสมัยนี้
(จบดีกว่า เริ่มยาว หุหุ)

(ปกภาคอังฤษ ทำมนุษย์กรรไกรหน้าเละเป็นเฟรดดี้ ครูเกอร์เลยวุ้ย)
attachment
#10caragio • 27/9/2554 01:00
โอ้ มีคนตามอ่านแล้ว เฮ้ๆ จำได้ว่าเคยเห็นกระทู้คุณแว่นจังในพันติ๊ป ตั้งนานมาแล้ว เกี่ยวกับเกมสยองขวัญเหมือนกัน เชิญเสวนาแลกเปลี่ยนวัยเด็กได้ตามสะดวกครับ ^^" ไม่ต้องกลัวจะปาดอะไรเลยครับ ผมก็พิมพ์ไป วิดพื้นไป นอนเล่นไปเรื่อย แหะๆๆ

CT เวอร์ชั่นหนังนี่ ได้ยินว่าจะเอาเนื้อเรื่องภาค 3 มาทำ ภาวนาอย่าให้มันเป็นจริงเลยเหอะ แต่ดูเหมือนโปรเจคต์จะถูกดองไว้แล้วนะครับ ผมก็ว่างั้นแหละ เนื้อเรื่องแบบนี้ถ้าเอามาทำในยุคนี้ ถ้าไม่ดีจริงมีหวังดับตั้งแต่ในมุ้งล่ะครับ ซีรี่ย์นี้ก็ค่อนข้างเก่าแล้วด้วย เด็กยุคนี้ไม่คุ้นแล้วล่ะผมว่า
#11caragio • 27/9/2554 01:00


3. Clock Tower : Ghost Head คำสาปสยอง ศีรษะมาร

จริงๆต้องบอกว่า ภาคนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาภาคก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย ที่นำชื่อ Clock Tower มาใช้ คงเป็นเหตุผลด้านการตลาด ที่จะรวมเข้าอยู่ในซีรี่ย์เดียวกัน หรือไม่ก็เพราะรูปแบบการเล่นหลักที่ยังคงเป็น Point n' Click เช่นเคย (ซึ่งเราก็พอใจที่จะให้มันไม่เปลี่ยน!) อันนี้ก็ต้องขอคารวะผู้ผลิตในฝั่งญี่ปุ่น ที่แม้จะคงชื่อ Clock Tower ไว้เพื่อ "ขาย" แต่ก็ไม่ลืมที่จะต่อท้ายด้วยคำว่า Ghost Head เพื่อจะบอกนัยๆให้ทราบว่า มันเป็นเกมซีรี่ย์เดียวกัน แต่เนื้อหาไม่ต่อแล้วนะจ๊ะ

เนื้อเรื่องคราวนี้มาเกิดขึ้นในญี่ปุ่นครับ เป็นเรื่องของเด็กสาวที่ชื่อว่ามิโดชิม่า ยู ซึ่งเดินทางไปพักร้อนอยู่กับครอบครัวทาคาโนะ ญาติสนิท ซึ่งพอไปถึงก็ปรากฏว่า ทาคาโนะ อากิโยะ ลูกสาวคนกลางของตระกูล(และเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับยู) ได้กลายเป็นศพไปเสียแล้ว ไม่ใช่ศพธรรมดา แต่เป็นศพถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ซึ่งชิ้นส่วนร่างกายแต่ละชิ้นก็กลายเป็นสีเขียวอื๋อ เหมือนไม่ใช่มนุษย์ปกติด้วย แถมเลือดที่น่าจะเป็นสีแดงก็กลับเป็นสีเหลืองซะอีก ยังไม่พอ ลูกสาวคนเล็กของตระกูลคือทาคาโนะ จินัตสึ ยังหัวเราะเหมือนคนเสียสติพร้อมกับเอามีดวิ่งไล่จิ้มเธอซะอีก

เคราะห์ดีหรือร้ายก็ไม่ทราบ ที่มิโดชิม่า ยู ไม่ใช่คนธรรมดา...จริงๆก็เกือบจะธรรมดาแหละ ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นคนสองบุคคลิก และเมื่อใดที่เธอตกอยู่ในสภาพกดดันหรือถูกบีบคั้นจนถึงขีดสุด อีกบุคคลิกในตัวเธอจะปรากฏออกมา เป็นบุคคลิกที่เลือดเย็นเหี้ยมโหดแบบผู้ชายที่ชื่อว่า โช เธอจะต้องพึ่งพาบุคคลิกของโชนี่แหละที่จะพาเธอมีชีวิตรอดไปจนจบเกมให้ได้ พร้อมๆกันนั้นก็ต้องไขปริศนาความลับประจำตระกูลของเธอ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลทาคาโนะไปด้วย

หมายเหตุส่วนตัว ตอนเล่นเกมนี้แรกๆ ผมไปถามแม่เลยนะว่า แม่ๆ ตระกูลเราเคยมีความแค้นกับใคร หรือเคยไปต้องคำสาปโบราณอะไรเข้ารึเปล่า? ....ทำไมใครต่อใครเค้าก็โดนคำสาปประจำตระกูลกันถ้วนหน้าเลยฟะเนี่ย!? 555
#12แว่นจัง • 27/9/2554 01:08
ไม่รู้ทำไมclock tower ต้องเกิดที่นอร์เวย์ด้วยหว่า

หรือบรรยากาศมันดูน่ากลัว เป็นเกมที่ตอนเด็กๆกลัวมาก!

อีกเกมsiren ไม่น็อกเลย เล่นตอนกลางวันหน้าจอก็มืดมองไม่เห็น น่ากลัวมาก

เกมกล้องถ่ายวิญญาณอันนั้นก็น่ากลัวผียั้วเยี้ยะ แถมนางเอกก็วิ่งสโลวโมชั่นอีก แว้ วิ่งหนีผีแบบสโลโมชั่นติ๊ดๆๆๆ

เกมอีกเกมปนทริลเลอร์ หยองนิดๆ ตอนจบดันหักมุม indigo child หนุกมาก ชอบมาก

แอบดีใจมีคนจำได้ด้วยT^T
แก้ไขล่าสุด: 27/9/2554 01:10 โดย แว่นจัง
#13caragio • 27/9/2554 01:15
ความสนุกอย่างนึงของเกมแนว Point n' Click โดยเฉพาะในซีรี่ย์ Clock Tower ก็คือการได้ค้นหา สำรวจอะไรต่อมิอะไรในเกม เพื่อหาทางไปต่อนั่นแหละ มันจะรู้สึกแฮปปี้มากเวลาเราไม่รู้จะไปต่อยังไง แต่แล้วก็ เอ๊ะ อ๊ะ เฮ้ย ตรงนี้สำรวจได้นี่หว่า อ๊ะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วเย้ๆ ซึ่งในภาคนี้ ดูเหมือนว่าผู้สร้างจะขยายระบบนี้ให้ซับซ้อนมากขึ้น ด้วยระบบ "สองบุคคลิก" ของนางเอกนั่นเอง กล่าวคือ ปกตินางเอกของเราจะอยู่ในบุคคลิกของ "ยู" ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่มีความละเอียดถี่ถ้วนกว่า สามารถสำรวจจุดเล่นจุดน้อยในฉากได้ บทสนทนาที่ยูใช้คุยกับคนอื่นในเกมก็จะอ่อนโยนกว่าด้วย แลกกับข้อเสียคือเธอไม่สามารถสู้กับศัตรูได้ แถมยังไม่กล้าสำรวจสิ่งที่ดูน่ากลัวๆเช่นศพ หรือของอันตรายๆได้เลย กลับกัน ในบุคคลิกของ "โช" จะมีความห้าวกว่า สามารถสำรวจศพ หรือเก็บอาวุธไว้สู้ได้ แต่ก็จะสำรวจของบางอย่างไม่ได้ และเวลาคุยกับคนอืน บางครั้งก็จะห้าวจนส่งผลต่อการดำเนินเกมเลยก็ได้

ซึ่งปกติยูจะสะกดบุคคลิกของโชไว้ด้วยการถือเครื่องลาง "มิโคชิซามะ" เก็บไว้กับตัว โดยผู้เล่นสามารถวางเครื่องลางนี้ไว้ตามที่ต่างๆในเกมได้ พอไม่มีเครื่องลางอยู่กับตัวแล้ว เมื่อนำยูไปประสบพบเจอเหตุการณ์น่ากลัวๆใดๆ หรือเข้าไปสู้กับศัตรู เมื่อนั้นยูก็จะเปลี่ยนร่างเป็นโช การจะเปลี่ยนร่างกลับก็คือไปเก็บเอามิโคชิซามะกลับมาถือไว้ดังเดิม ในบางครั้งอาจต้องอาศัยการเปลี่ยนบุคคลิกนี้แหละเพื่อดำเนินเหตุการณ์ต่อไปด้วย ระบบนี้ถือว่าวุ่นวายพอสมควร แต่ก็สร้างความสนุกให้ผู้เล่นได้จากการทดลองใช้บุคคลิกต่างกันสำรวจสถานที่ๆเดียวกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ตัวเกมยังแบ่งเป็น 3 Chapter และมีฉากจบหลายแบบเช่นเดียวกับภาคที่ผ่านมา แต่ scope ของเกมรู้สึกว่าจะเล็กกว่าเกมภาคก่อนหน้า ฉากจบส่วนมากอยู่ใน Chapter แรก และไม่ได้หลากหลายอะไรนัก อย่างไรก็ตาม ภาคนี้ก็เป็นภาคที่ผมโปรดปรานมากๆ จำได้ว่าสมัยนั้นนั่งเล่นภาคญี่ปุ่นกับน้องชายตอนปิดเทอม แล้วมันมีฉากโรงพยาบาลด้วย ตอนนั้นก็ไปเยี่ยมแม่ที่ผ่าตัดอยู่โรงบาลพอดี ได้อารมณ์หลอนมาก 555 เล่นก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อ่านไม่ออก สุ่มเดินสุ่มใช้ไอเทมเอาตลอด แต่เล่นจนจบได้ไงไม่รุ (จนตอนหลังถึงซื้อบทสรุปมาอ่าน)

(สังเกตว่ากราฟฟิคของเกมภาคนี้ จะดรอปๆลงไปจากภาคก่อนนิดนึง แต่ก็ดูน่ากลัวแบบเกมญี่ปุ่นดี)
attachment
#14caragio • 27/9/2554 01:17
ที่เป็นนอร์เวย์ อาจเพราะนอร์เวย์มีตำนานพวกแม่มด หรือป่าดำ อะไรพวกนี้เยอะมั้งครับ ไม่รู้นะอันนี้ผมจำมาจากหนังสือเรื่อง แม่มด ของโรอัลด์ ดาห์ล เค้าว่าไว้งั้น ว่านอร์เวย์มีพวกเรื่องลี้ลับเยอะมาก 555


Siren อันนี้ก็ของโปรดครับ เป็นเกมที่ตอนแรกไม่คิดจะเล่นเลย แต่พอเล่นแล้ว เฮ้ย มันเจ๋งว่ะ ไว้จะกล่าวถึงในโอกาสต่อๆไปครับ ^^
#15caragio • 27/9/2554 02:03
ตัวเกมวางจำหน่ายเมื่อเดือนมีนาคม ปี 1998 และอีกหนึ่งปีครึ่งต่อมา ก็ได้วางจำหน่ายเวอร์ชั่นอเมริกาเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1999 ในชื่อว่า Clock Tower 2 : The Struggle Within อย่างที่บอกไปแล้วว่าชื่อภาคของเกมนี้เพี้ยนไปหมด แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับการที่เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเกมนี้ ได้ทำลายตัวเกมไปจนหมดสิ้น!!

ทำลายยังไง? คือเกม CT สองภาคแรกนั้น ผลิตโดยทีมงานญี่ปุ่น แต่เนื้อหาเกิดในประเทศฝั่งยุโรป ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในภาค GH นี้ เนื้อเรื่องเกิดในญี่ปุ่น ทุกอย่างคือญี่ปุ่น และดูจะทำมาเพื่อให้คนญี่ปุ่นเล่นเป็นหลัก (แหงล่ะ เรื่องคำสาปประจำตระกูล โลเคชั่น ฯลฯ มันเป็นญี่ปุ่นทั้งสิ้น) พอมาจำหน่ายในฝั่งอเมริกา ทางทีมงานก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อของตัวละครทุกตัว ให้เป็นคนอเมริกันกันหมด! โดยที่ยังคงโลเคชั่นและเนื้อหาทุกอย่างไว้แบบเดิมทุกประการ! เราเลยได้เห็นนางเอกชื่อ "อัลเลสซ่า ฮัล" ในชุดนักเรียนญี่ปุ่น หนีการตามล่าของ "สเตฟานี่ เท็ธ" ในบ้านแบบญี่ปุ่น มีเสื่อทาทามิ มีห้องดื่มน้ำชา มีแผ่นผ้าแบบญี่ปุ่น ซึ่งทั้งหมดนี้คือบ้านของ "คุณลุงฟิลิป เท็ธ" และสุดท้ายก็ต้องโดนตามฆ่าโดยชายในหน้ากากผีญี่ปุ่นที่ชื่อ "จอร์จ แม็กซ์เวลล์"!!! โอ๊ยอะไรกันนี่!? นี่ยังไม่นับรวมเสียงพากย์ที่เปลี่ยนไปหมดและพากย์ได้แบบโคตรไร้อารมณ์ของทุกตัวละครด้วย!! ว้ากกกกก

คุณอาจจะสงสัยว่า นั่นสิ เห็นมาหลายเกมแล้วเหมือนกัน ทำไมฝั่งตะวันตกชอบไปจุ้นเรื่องชื่อเรื่องอะไรของฝั่งตะวันออกซะเหลือเกิน ต้องชี้แจงดังนี้ครับว่า ในสมัยนั้น (สมัยนั้นอีกแล้ว...พวกเด็กๆจงดีใจไว้ซะที่เจ้าเกิดมาในยุคนี้!) อย่างที่เคยกล่าวไปว่า อินเตอรเน็ตมันยังไม่แพร่หลาย การเปิดรับวัฒนธรรมจากประเทศอื่นๆนั้นยังไม่ได้โอเพ่นเสรีแบบในปัจจุบัน (อเมริกาเองก็เพิ่งจะรับเอาวัฒนธรรมคอมิคจากญี่ปุ่น พวกดราก้อนบอลล์ นารูโตะ ฯลฯ ก็ไม่กี่ปีมานี้เอง ช้ากว่าบ้านเราเป็นสิบปีอ่ะคิดดู!) การจะเอาพวกชื่อ พวกตัวละครที่เป็นญี่ปุ่นไปให้อเมริกาดู เค้าก็เกรงว่าจะรับกันไม่ทัน พูดง่ายๆก็คือ ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งของค่ายเกมสมัยนั้นเกิดกลัวว่าอเมริกันชนจะโง่เสียจนออกเสียงชื่อตัวละครไม่ถูก งงกับการกระทำและคำพูดของตัวละคร จนสุดท้ายพาลจะไม่ซื้อเกมเอา เค้าก็เลยต้องเปลี่ยนให้มันคุ้นลิ้นกับลูกค้าของตนนั่นเอง

ทั้งนี้จะไปว่าเค้าทั้งหมดก็ไม่ได้ครับ เพราะพูดถึงแล้ว กลุ่มผู้บริโภคของคอมิก หรือเกม หรือตลาดที่ลูกค้ามักจะเป็นคนอายุน้อยๆ ก็ถือว่าต้องใส่ใจกันเป็นพิเศษพอสมควร ลองนึกภาพว่าให้เราออกเสียงชื่อชาวดัทช์ บางคำเรายังออกเสียงกันไม่ได้เลย เช่นเดียวกันครับ อย่างพวกโปเกม่อน หรือของจากญี่ปุ่นที่เน้นผู้บริโภควัยเด็กเป็นหลัก พอเข้าอเมริกาปุ๊บก็ต้องเปลี่ยนชื่อให้เด็กๆสามารถจำได้ ออกเสียงตามได้ง่ายๆ ซาโตชิคุงก็เปลี่ยนเป็นแอช ชื่อโปเกม่อนบางตัวยังตั้งมาจากการออกเสียงของคนญี่ปุ่น ก็ต้องเปลี่ยนเป็นแบบอเมริกัน เป็นต้น สำหรับ Clock Tower Ghost Head ทางบริษัทที่จำหน่ายเค้าก็คงดัดแปลงซะเพื่อให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าของเค้า อันนี้ก็เข้าใจ....แต่มันรับไม่ได้เฟ้ย! (เสียงหัวเราะของจินัตสึ จะฟังดูเสียงแหลมๆ เหมือนเด็กเสียสติ แต่เวอร์ชั่นอเมริกัน หัวเราะดัง เหอะๆๆๆๆๆ เหมือนเปิดเทปเอามากกว่า -_-")

จะเห็นว่าเด็กสมัยนี้ถือว่าโชคดีมาก ที่เกิดมาในยุคที่โลกทั้งใบเปิดใจเข้าแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของกันและกันเรียบร้อย ชาวอเมริกันเลยได้ดูนารูโตะที่พระเอกชื่อ "นารุโตะ" จริงๆ ไม่ได้ชื่อมาร์ค หรือเท็ด หรืออะไรฝรั่งๆจ๋าแบบสมัยก่อน ได้สัมผัสประสบการณ์เดียวกันทั้งโลกเวลาเล่นเกม แล้วพบว่าตัวละครชื่อเหมือนกัน ใครเกิดที่ญี่ปุ่นก็ชื่อญี่ปุ่น เกิดฝรั่งก็ชื่อฝรั่ง ไม่มีการสลับชาติพันธุ์ให้วุ่นวายแต่อย่างใด

อ้าวพูดเรื่องเกมอยู่ดีๆ มาบ่นเป็นคนแก่อีกละ 555 ก็สรุปว่า เกม Clock Tower Ghost Head นี่ก็ถือว่าสนุกและน่าจะหามาเล่นครับ ถ้าเป็นไปได้ จงหาภาคญี่ปุ่นมาเล่นซะเท่านั้นพอ (หรือไปเล่นภาคอังกฤษแต่ปิดเสียงไว้ก็ได้ 555) เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเกม PS1 ก็มีคน rip มาให้โหลดกันเยอะเหมือนกันนะครับ เกมซีรี่ย์ CT นี่ก็จัดว่าเป็นซีรี่ย์ที่ยังมีคนอยากเล่นอยู่ ไม่น่าจะหายากเท่าไหร่ครับ (และแน่นอน ผมก็มี ^^")

attachment
#16แว่นจัง • 27/9/2554 02:04
งั้นแสดงว่าอ่าเรื่องเดียวกัน แม่มดของโรอัล ดาลห์ จริงนอร์เวย์มันต้นกำเนิดblackmetalด้วย ตำนานไวกิ้ง เทพเจ้าโอดิน แร็คนาร็อค เยอะ
ถ้าช่วงเกมclocktower เกมที่น่ากลัวไล่เลี่ยกันก็silent hill มันน่ากลัวตรงที่มันใช้amuletเซฟได้ครั้งเดียวเซฟพร่ำเพรื่อก็ไม่ได้ ไบโอก็รองๆมา ถ้าเกมต้นแบบจริงๆsweet home ต้นแบบไบโอเลย อีกเกมที่ชอบแต่เล่นไม่จบเพราะติดขี้เกียจเล่นใหม่ parasite eve
#17caragio • 27/9/2554 02:06
ขออนุญาตพอก่อนสำหรับซีรี่ย์ Clock Tower และสำหรับวันนี้นะครับ ง่วงแหล่ว พรุ่งนี้มาต่อซีรี่ย์ถัดไปครับ ^^
#18~cenobite+ • 27/9/2554 02:58
เกมส์ Siren เนี่ยไม่ไหว
ตอนเสียงหวอๆๆๆ ดังที ขนลุกซู่ๆ

สมัยนี้เกมส์น่ากลัวๆ มีออกมาเยอะ
แต่เกมส์ในอดีตก็ยังคงความคลาสสิคอยู่ตลอด

...
#19stynx • 27/9/2554 05:21
เข้ามาอ่านทีละนิดๆ ค่ะ เยอะมาก ^^
#20หนูเดซี่ค่ะ • 27/9/2554 05:57
ผมติดเกม Left 4 Dead อ่ะ ยิงซอมบี้ มันส์โคตรๆ
#21samara17520 • 27/9/2554 10:52
Clock Tower 2 ตอนว่างๆเล่นกะเครื่อง PS เเต่ไม่ผ่านฉาก 2 ซักที 555+ ^^
#22Poiily • 27/9/2554 17:18
เกมส์พวกนี้เราชอบมากเลยนะ แต่เราเล่นเองไม่ได้เลยอะ มันจะสติแตกแล้วก็จะพาตัวละครเดี้ยงไป 555

ชอบนั่งดูคนอื่นเล่นค่ะ

ชอบรีวิวอะไรแบบนี้อะ อ่านกันแบบย้อนเวลาเลยทีเดียว
เอาเกมส์อื่นๆอีกนะคร้าคุณcaragio รออ่านอยู่จ้ะ
#23ekolai • 27/9/2554 18:48
ชอบบบบบบบบบบกระทู้นี้มากๆ อยากให้มีอีกหลายๆเกมส์ ส่วนตัวเราชอบแบบยิงต่อสู้กะผีได้แบบ biohazard แบบวิ่งหนีอย่างเดียวนี้ไม่ชอบเลยอ่ะ มันไม่สะใจ 555
#24kubkew • 27/9/2554 20:15
ขอบคุณมากค่ะ จำได้ว่าเคยดูพี่ชายเล่นตอนเด็กม๊ากกก ชอบมากเลยมันลุ้นจริงๆนะเวลาเราหนีเข้าลิฟต์แล้วลิฟต์ก็ช๊าช้า55555
#25caragio • 27/9/2554 22:23
stynx ขอบคุณครับ ยังมีอีกเยอะเลย แหะๆ ^^"
หนูเดซี่ค่ะ จริงๆผมไม่นับ L4D เป็นเกมสยองขวัญนะครับ เช่นเดียวกับเกมพวกตระกูล Fear งี้ผมก็ไม่นับ แต่หลายคนมักจะชอบเอาไปรวมเป็นหมวดเกมสยอง ทั้งๆที่จริงๆมันจะออกมาแนว FPS หรือ Action มากกว่า สยองในความหมายของผมคือ เล่นแล้วมันต้องกลัว กลัว กลัววววว บรื๋ออ
samara17520 ผมเล่นแล้วไม่กล้าเข้าห้องน้ำ กลัวมันหลบอยู่หลังประตู 555
Poiily มีเพื่อนเป็นแบบนี้เหมือนกันครับ ชอบมานั่งบังคับให้เราเล่น ฮ่าๆๆๆ เข้าใจอารมณ์เลยครับ ดูคนอื่นเล่น มันจะคล้ายๆดูหนัง ตายไม่ตายเราก็เอาใจช่วย แต่ถ้าเล่นเองนี่ เรากุมชะตากรรมของตัวละครไว้ในมือแท้ๆ ฮาๆๆ
#26nikkishi • 28/9/2554 10:34
ได้ข่าวว่าClock Tower หลายปีเเล้ว เเต่ก็เงียบไปเลย
#27nana_idol • 3/10/2554 17:28
#25 ...

ผมเห็นด้วยนะ L4D ไม่ใช่เกมส์สยอง มันออกแนวแอคชั่นมากกว่า ... ยิ่งเรื่องความหลอน ไม่ต้องมาเทียบกับ Ghost Head เลย
#28nana_idol • 3/10/2554 17:31
ว่าแต่ จขกท. เคยเล่นเกมส์นี้ไหม ... ผมเล่นตอนเด็ก ๆ จำได้ว่ามันน่ากลัวโคตร ๆ แต่เล่นไม่จบ เล่นไปได้หน่อยนึง เครื่อง Play ดันมาจบชีวิตซะก่อน

#29caragio • 4/10/2554 04:34
จขกท. เองนะคร้าบบบบ พอดีช่วงนี้เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ครับเลยยุ่งๆวุ่นๆหน่อย เลยไม่ได้มาต่อซะที ^^" ต้องขออภัยด้วยนะครับ ไว้เคลียร์ชีวิตเรียบร้อยแล้วจะแวะมาเขียนต่อทันทีครับ

#28 เคยเล่นครับ จำได้ว่าเกมมืดมาก และงงๆด้วยเพราะเป็นภาษาญี่ปุ่น ยิงๆสักพัก เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ แล้วแผ่นก็เดี้ยงไป หะหะ
#30xiongwawa • 4/10/2554 20:13
ขอบคุณ คุณcaragio ที่ทำให้นึกถึงตอนเพิ่งหัดเล่นเกมแรกๆเมื่อสิบกว่าปีก่อนโน้นเลย
แอบลืมๆเกมนี้ไปแล้ว
เคยเล่นGhost Head ของ PS1
เล่นไปได้นิดเดียว เล่นต่อไม่ไหวเพราะกลัวมาก
อิอิอิอิอิ เวลาเล่นต้องให้น้องให้พี่มาอยู่เป็นเพื่อน
กลัว T-T

ถ้าสมัยนี้ก็คงต้องเป็นFetal frame(Project Zero)หลอนนนนน>_<
#31injumaster • 7/10/2554 07:29
ตอนนี้ติด dead island งอมแงมครับ
#32blame me • 12/10/2554 11:38
อ่านเพลินดีครับ

ตอนนั้นก็เล่น Clock tower เหมือนกัน (>_<)b
#33kakihara • 18/10/2554 12:29
Clock tower ภาคps2ห่วยบรมเลย ความน่ากลัวไม่มีเลย แถมมีการใช้ธนูยิงสู้กับบอสแต่ละด่านได้อีกสุดจะเวอร์
แต่นางเอกน่ารักดีอย่างเดียว อิอิ
#34p-zom • 25/10/2554 22:13
Clock Tower2 วางจำหน่ายก่อนเราเกิด6วันแหะ= =

เกิดไม่ทัน -0-
Login
Function Used time : 0:00:00:00.016
Go Last