ขอสอบถามเกี่ยวกับหนังประ้เภท ... Satirical film

by nana_idol • วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554 03:03
กระทู้นี้อาจไม่เกี่ยวกับหนังโหดนะครับ เพียงแต่ผมสงสัยว่าหนังประเภท Satirical film หรือที่แปลตรงตัวว่า "หนังแดกดัน" นี่มันเป็นอย่างไรครับ ... และมีหนังเรื่องไหนบ้างที่เข้าข่ายนี้มั่ง ?

รบกวนใครรู้มาไขข้อข้องใจด้วยครับ ... ขอบคุณมั่ก ๆ

Replies (6)

#1AguileraAnimato • 6/6/2554 04:54
เราเข้าใจนะ แต่กลัวอธิบายแล้วงง จะพยายามอธิบายเป็นภาษาปากล่ะกัน

คือคำว่า satrical มันมีที่มาจากคำว่า satire เป็นศัพท์ทางวรรณกรรม ก็คืองานเขียนเสียดสีนั้นแหละ

ที่นี้ในทางภาพยนตร์ล่ะ
จริงๆคำนี้ไม่ได้ถูกจัดเข้าำไปใน genre ของภาพยนตร์แต่แรก เพียงแต่เมื่อถึงยุคนึงที่มีหนังแนวนึงๆ ที่พูด หรือแสดงออกในทิศทางเดียวกัน จนเป็นกระแส มันก็จะมีคำศัพท์ที่ใช้เรียกชื่อหนังแนวนี้ออกมา เช่น chick flick (หนังคอมมาดี้ย์แนววัยรุ่นผู้หญิงไฮสคูล) road movie (หนังที่ตัวละครออกเดินทางไปพบเรื่องราวต่างๆ)

คือไอ้พวกนี้ก็คล้ายคำว่า cult คือมันเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างนึงในโลกของภาพยนตร์ แน่นอนว่าไอ้การที่สถาบันทางภาพยนตร์ของอเมริกัน AFI ออกมาแบ่งประเภทของหนัง 10 ตระกูล มันก็เป็นเพียงรากแก้ว เป็นมาตรฐาน หรือความสามัญที่จะแบ่งหนังออกเป็นตระกูลใหญ่ๆ แต่สุดท้ายในโลกที่ไม่หยุดนิ่ง มันก็จะมีการเติบโตของหนังยิบย่อย เป็นรากฝอยออกมา้เรื่อยๆ ครั้งนึง AFI แบ่ง 10 ตระกูลหนัง และ western ก็เป็น 1 ในนั้น แต่ดูสิว่าปัจจุบันหนังคาวบอยตะวันตกกลับไม่มีการสร้างเป็นล่ำเป็นสันอีกแล้ว...

กลับมาที่ satirical ...โอเค AFI มันก็เป็นสถาบันที่มองเฉพาะหนังอเมริกันอย่างเดียว หรือยุโรปที่ข้ามไปดังที่นั้นได้ และก็เป็นการจัดตั้งตระกูลหนังที่ตั้งไว้นานมากๆแล้ว... ฉะนั้นเราก็ไม่ควรจะไปอะไรมากกับการ categories เพราะโลกนี้จะแบ่งหนัง จัดประเภทหนังยังไงก้ได้ มันแล้วแต่คนจะเลือก และหนังหนึ่งเรื่องก็สามารถมีได้หลายรสชาติ...

ฉะนั้นหนังแนวเสียดสีแบบนี้ ก็อาจเป็นได้ตั้งแต่หนังดราม่า อย่าง american beauty หรือหนังคอมมาดี้ย์ อย่างหนังเกือบทุกเรื่องของ John Waters หรือหนังสยองขวัญอย่าง Scream

เราคิดว่า satire มันเป็นรากฝอยของหนังรากแก้วนะ และวิธีพิจารณาก็คือดูที่เนื้อหา และสิ่งที่มันพยายามจะสื่อสาร ซึ่งหนังพวกนี้ก็มักจะไม่พูดตรงๆ มันถึงเรียกว่าการเสียดสี แดกดัน ประชดประชัน...
และแน่นอนว่ามันก็สามารถแฝงวิธีการพูดอ้อมๆ แต่ตีแสกหน้าเข้าไปในหนังตระกูลไหนก็ได้

ทีนี้คนก็อาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่า อ้าวงั้นหนังแบบ scary movie หนังแบบ epic movie, not another teen movie, diaster movie, ละครสามช่าในรายการชิงร้อยชิงล้าน พวกนี้ก็ล้อเลียนนิ ก็ต้องเป็น satire ได้ด้วยดิ แต่เราคิดว่าสิ่งที่หนังเหล่านั้นทำเป็นเพียง parody หรือ spoof นั้นคือหนังพวกนี้จะอาศัยจุดขายคือการลอกเลียนแบบ mimic จากต้นแบบ แล้วเอามาดัดแปลงให้ออกมาโอเวอร์เกินจริง แต่เนื้อหาจริงๆก็ไม่ได้มีอะไรที่สะท้อนหรือคิดแย้งกับหนังต้นฉบับนอกจากแค่ล้อเลียนให้ขำๆ

แต่ในขณะที่ satire ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำที่จะต้องลอกเลียนแบบแล้วมาดัดแปลง parody จะเหมือนการก๊อปเนื้อเรื่อง เนื้อหา ในขณะที่ satire จะโฟกัสไปที่รูปแบบ สไตล์ ความเป็น cliche (ความซ้ำซากในวิธีการเล่าเนื้อหา)เพราะหนังพวกนี้จะมีเรื่องราวที่เป็น originality ในตัวอยู่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องที่แต่ง หรือหยิบเค้าโครงมาจากเรื่องในสังคมที่พบเห็น บริบทของสิ่งแวดล้อมที่ผู้สร้างสนใจ หาจุดร่วม จุดบอดแล้วนำมาขยาย...


ที่นี้ก็จะมีหนังแบบ johnny english, airplane, หนังของพวก Monty Python, shaune of the dead, hot fuzz เป็นหนังล้อเลียนนะ แต่พวกนี้ล่ะเป็น satire ได้ไหม หนังพวกนี้ก็มีเรื่องของตัวเอง มีการล้อเลียนสไตล์ของหนังต้นแบบ เช่น หนังตำรวจคู่หู หนังซอมบี้ คำตอบก็คือแล้วแต่... อย่างที่บอกว่ามันก็เหมือนหนังคัลท์ คุณคิดว่ามันใช่ มันก็คือใช่ คุณคิดว่าดูจบแล้วมันมีอะไรมากกว่าจบก็คือจบ มันแอบกัดมุขในหนังพวกนั้นอยู่รึเปล่า ถ้ามันมี แอบเสียดแทงมันก็เป็น satire ได้เช่นกัน

เพียงแต่คำๆนี้ satire มันมักจะสื่อไปถึง อะไรที่แบบดราม่าๆ จริงจังๆ ไม่ก็เหวอเซอร์เรียลไปเลย (ไม่ค่อยมีคนใช้กับหนังตลก ชวยหัว ยกเว้นว่าเป็นตลกร้าย) คือมันเป็นคำที่พูดแล้วจะต้องคิดแบบตึงเครียด หนักๆหน่อย

แล้วคนก็จะเริ่มเอาคำนี้มาปนกับ "หนังสะท้อนสังคม" อีกล่ะ... ซึ่งเราว่าการพูดว่าเป็นหนังสะท้อนสังคม ก็กว้างไปอีก เพราะจริงๆหนังส่วนใหญ่ที่สร้างขึ้นมันก็สะท้อนสังคมได้อยู่ในตัวเกือบทุกเรื่องอยู่แล้ว

(เดี๋ยวมาพิมพ์ต่อ)



แก้ไขล่าสุด: 6/6/2554 04:56 โดย AguileraAnimato
#2AguileraAnimato • 6/6/2554 05:23
เราคิดว่าหนังที่จะเป็น satire ได้ มักจะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องมีครบก็ได้

1. mimic มีการลอกเลียนแบบอะไรสักอย่าง เช่นตัวละครแบบ streotype ของสื่อต้นฉบับ หรือแพทเทิร์นผู้คน รูปแบบการใช้ชีวิต สังคม

2. irony มีการประชดประชัน

3. มีวิธีการพูดแบบอ้อมๆ

4. ตลกร้าย

5. พยายามค้นหาจุดบอดของสังคม หรือความซ้ำซากบางประการในsubject นึงๆแล้วเอาออกมาตีแผ่

6. มีวิธีการ oversize เรื่องราวให้ใหญ่โตเกินจริง เวอร์เกินจริง

7. ตัวละครอาจไม่ได้ถูกtreatให้เป็นมนุษย์ คืออาจจะไม่ได้มีวิธีการคิด การตัดสินใจ หรืออารมณ์แบบคนทั่วไปทำ ตัวละครอาจเป็นเพียง subject ของอะไรบางอย่าง ที่ผู้สร้างอยากแฝงลงไป

8. และแน่นอนว่าถ้า satire มันก็ต้องเป็นหนังที่มีอะไรให้พูดย้อนกลับไปยัง source ของสิ่งที่มันหยิบยืมมา เช่นสังคมของประเทศนึง ศาสนา สไตล์หนังประเภทนึง วิธีการปกครอง ความยุติธรรม คติธรรม บลาๆๆๆๆๆ


โอเคต่อไปเป็นหนังที่เราคิดว่าเข้าข่าย แต่จริงๆก็มีเยอะกว่านี้ อย่างที่บอกว่าความsatire มันไหลไปอยู่กับหนังตระกูลไหนก้ได้

เรื่องตลก 69 - นึกถึงฉากแรกที่บริษัทไล่คนออกจากงานด้วยวิธีการเสี่ยงเซียมซี สิ ว่ามันสะท้อนอะไรในสังคมไทย แล้วไอ้ความเชื่อ หรือโชคชะตาที่พลิกพลันแบบนี้ก็เป็นธีมหลักของหนังที่ชะตาชีวิตนางเอกของเรื่องต้องเจอตลอดเวลา

หนังของจอนห์ วอเทอร์ แน่นอน
จอนห์ วอเทอร์ เป็นนักทำหนังจากเมืองบัลทิมอร์ เค้าได้ฉายาว่าราชาแห่งอาจมและขยะ... หนังของเค้ามักเสียดสีความเป็น american dream หรือรูปแบบการใช้ชีวิตของความเป็นอเมริกัน ครอบครัวชนชั้นกลางสุขสันต์ การไขว่คว้าหาโอกาสความสำเร็จ การมีชื่อเสียง เป็นคนดัง
หนังดังของเค้าอย่าง pink flamingos พูดถึงสองครอบครัวที่พยายามแข่งขันกันเป็นคนดังที่ได้ชื่อ "คนดังที่ถ่อยระยำที่สุดที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้" และทั้งสองก็พยายามแข่งขันกันตลอดเวลาเพื่อตำแหน่งนี้ ฉากเด้ดคือ ฉากแดกขี้หมาในตำนาน
หรือ Female Trouble อันนี้จะเล่าเป็นแนวชีวประวัติ ดูจะเหมือนเป็น melo-drama แต่กลับเล่าในแบบตลกห่ามสุดสกปรกและอุบาสว์สุดขั้วหัวใจ เรื่องของผู้หญิงที่ระหกระเหินออกจากบ้าน เพราะฆ่าพ่อตัวเอง หลังจากนั้นก็ถูกคนข่มขืน จนตั้งท้อง และออกลูกที่เกลียดเธอสุดหัวใจ เธอต้องทำงานเป็นนักเต้นระบำโป๊ตอนกลางคืน ตอนเช้าก็ต้องไปเป็นสาวเสิร์ฟ มีงานอดิเรกคือปล้นจี้หาเงินมาเลี้ยงยาไส้ ตอนหลังเธอไปแต่งงานใหม่ แต่ก็ถูกกีดกันจากแม่สามี ชีวิตของเธอยังคงไม่สิ้นสุด เธอโชคดีได้ไปเป็นเซเลบให้สองผัวเมียวิตถารที่ต้องการปั้นนางแบบภายใต้สโลแกน "อาชญากรรมคือความงาม" หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปและนำไปสู่บทสรุปที่ไม่รู้จะแฮปปี้ดีรึเปล่า?
หนังของจอนห์ วอเทอร์ มักมากับโปรดักชั่นไม่อลังการ อุดมด้วยมุกห่ามถ่อย และความลามกสารพัด เป็นหนังตีแสกหน้า ที่แสลงสำหรับคนมือถือสาก ปากถือศีล ตัวละครมักจะเล่นแบบแข็งเป็นสากกะเบือ ในขณะเดียวกันก้อาจจะโอเวอร์แอ๊คติ้งกันสุดๆ จนไม่น่าเชื่อว่านี้คือมนุษย์ จอนห์ วอเทอร์ อาจไม่ได้ตั้งใจทำหนังสะท้อนสังคมแบบผู้รากมากดี ที่มองสังคมแบบเดียวกับที่หนังท่านมุ้ยยุคก่อนทำ แต่สุดท้ายแล้วเราเชื่อว่าหนังของท่านมุ้ย หรือแม้แต่จอนห์ วอเทอร์ เองก็มีจุดร่วมเดียวกันคือ ก่อให้เกิดคำถาม และกระตุ้นให้ผู้คนตรวจสอบวิถีชีวิต ความเป็นไปในชุมชน สังคมที่ตัวเองอยู่ อะไรที่ครอบงำเรา อำนาจ ทุนนิยม ชนชั้น
หนังของจอนห์ วอเทอร์ อาจไม่ใช่หนังแบบที่นร.ประวัติศาสตร์สังคมอเมริกาจะนึกหยิบมาดู แต่เชื่อเถอะว่า สุดท้ายแล้วมันก็เสียดสีและสะท้อนอะไรแบบอเมริกันชน ความเป็นลัทธิบริโภคนิยมที่กลืนกินจิตใจมนุษย์ได้อย่างรุนแรง เต็มหน้า เต็มตา อย่างแน่นอน ทุกวันนี้หนังของเค้ากลายเป็นหมุดที่ปักลงบนประวัติศาสตร์ความคัลท์ในสังคมอเมริกาไปแล้ว

หนังของท่านมุ้ย ยุคแรกๆ - หนังที่พูดถึงคนชนชั้นล่างของสังคม ที่เข้ามารับรู้ความเลวร้ายของสังคมเมือง ชนชั้นทางสังคม ผู้มีอิทธิพลต่างๆเช่นตำรวจ
หนังดังๆเช่น คนเลี้ยงช้าง ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น เขาชื่อกานต์ ครูสมศรี


คนกราบหมา - อันนี้เป็นหนังไทยอินดี้ แน่นอนว่าหลายคนไม่น่าเคยได้ยิน แต่ถ้าเราบอกว่า น้อย วงพรู เล่น คุณจะเชื่อไหม หนังเรื่องนี้เคยโดนแบนในไทย เป็นเรื่องราวของคนกลุ่มนึงที่มีความนิยมชมชอบการกราบไหว้หมา... หนังถูกแบนทันทีเมื่อมีคนฟ้องร้องไปยังกรมเซนเซอร์ ว่ามันดูหมิ่นศาสนาพุทธ แต่จะดูหมิ่นจริงรึเปล่า ใครจะตอบได้ เมื่อทุกวันนี้มันไม่เึยได้ออกฉายที่ไหนเลย อนึ่ง มีเพื่อนข้าพเจ้าเคยดู และจริงๆมันเป็นหนังที่กระทุ้งให้ผู้คนพินิจพิจารณาถึงความเชื่อ ความศรัทธาในสังคมต่างหากว่าสิ่งที่เรายึดถือกันมา สมควรหรือไม่ ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองไม่ใช่แห่แหนกันเพียงเพราะความเชื่อที่ปราศจากการคิด แยกแยะ


The Discreet Charm of the Bourgeoisie - หนังของหลุยส์ บุนเยน นักทำหนังแนว surrealism เป็นเรื่องของชนชั้นกลางที่พยายามจะนัดกันไปทานอาหาร แต่ทุกครั้งที่พวกเค้าจะเริ่มลงมืิอทานก็จะมีเหตุการณ์แปลกๆมาขัดขวางการกินตลอดเวลา... อันนี้เป็นหนังเซอร์ ที่แดกดันพฤติกรรมการบริโภคของพวกชนชั้นมีอันจะกิน

Hidden - จริงๆหนังของฮาเนเก้ ก็มีลักษณะsatire อยู่แล้ว โดยเหยื่อหลักๆของเค้าก็คือ ชนชั้นกลางผู้มีอันจะกิน มีการศึกษา และความศิวิไลซ์ของสังคมที่ดูเหมือนจะปกติ สงบสุข แต่ไม่... ใน hidden จะพูดถึงเทปลับที่ผัวเมียชาวฝรั่งเศสที่มีหน้ามีตาทางสังคม เป็นชนชั้นกลาง ได้รับ และเมื่อพวกเค้ารู้สึกว่าตัวเองถูกคุกคามจากเทปนี้ พวกเค้าก็ใช้อำนาจที่คิดว่าตัวเองมีเหนือคนอื่น เข้าไปจัดการกับชาวแอลจิเรียที่พวกเค้าสงสัย (ครั้งนึงอัลจิเรียเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส แต่ปัจจุบันได้รับเอกราชแล้ว แต่อัลจิเรียก็จะได้รับวัฒนธรรมแบบฝรั่งเศสมาพอสมควร และบางส่วนก็เข้ามาเป็นชนกลุ่มน้อยในฝรั่งเศสกัน)หนังให้วิธีการมองของตัวละครที่คิดว่าตัวเองดีกว่า เหนือกว่ามองประเทศด้อยพัฒนาในทางเลวร้าย และคิดว่าตนเองมีอภิสิทธิ์ที่จะจัดการอะไรก็ได้.... เพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะโดนคุกคาม


Scream 4 - ถ้าภาคแีรกเป็นการหักกฎหนังสยองขวัญตามขนบโบราณๆ ภาค 4 ก็เป็นการแดกดันหนังสยองขวัญในช่วง 10 ปีให้หลัง (ตั้งแต่ สครีมภาคสามปิดตัวลงในปี 2000) แน่นอนว่ามันดึงเอา scream ภาค 1 มาเป็นครูเพื่อคารวะที่พร้อมจะล้อเลียนไปด้วยพร้อมๆกัน แต่ในขณะภาคหนึ่งมีเพียงหนังสยองเท่านั้นที่ถูกจัดการชำแหละ ภาค 4 นี้มันจับคนดูหนังทั้งหลายมาแดกดันกันแบบไม่ไว้หน้าเลย (คิดว่าคงเขียนยาวๆอีกที)



แก้ไขล่าสุด: 6/6/2554 06:13 โดย AguileraAnimato
#3alexandermcqueen • 6/6/2554 07:21
//ปรบมือรัว ๆ ให้รีบน
#4nana_idol • 7/6/2554 02:17
ขอบคุณมากครับคุณหนึ่ง ... ตอบละเอียดมั่ก ๆ

ปล. อย่าง Dogtooth นี่ก็เข้าข่ายนี้ด้วยใช่มะครับ ... ?
แก้ไขล่าสุด: 7/6/2554 02:55 โดย nana_idol
#5Minitrap • 9/6/2554 19:40
เมพ!!
#6AguileraAnimato • 10/6/2554 09:04
dogtooth คิดว่าเข้าข่ายครับ


หมายเหตุ ที่ตอบๆๆไปแย้งได้นะครับ เพราะเราก็อาศัยจากที่เคยอ่านมา จากหลายๆที่ ผสมกับการตั้งข้อสังเกตของตัวเอง อาจจะมีบางอย่างผิด หรือไม่ตรงก็แย้งได้ครับ

ช่วยกันต่อยอดความรู้กัน^^
แก้ไขล่าสุด: 10/6/2554 09:06 โดย AguileraAnimato
Login
Function Used time : 0:00:00:00.026
Go Last