มาดูสถานสุดหลอนบนพื้นพิภพนี้กันดีกว่า
by แว่นจัง • วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553 09:13
ถือว่าเป็นการอุ่นเครื่องสำหรับรายการอวดผีคืนนี้ หรือคนที่สนใจในเรื่องลี้ลับ วิญญาณ สถานที่ผีดุ
สถานที่หลอนๆในไทยหลายๆคนคงเคยเห็นจนเบื่อแล้ว กระทู้นี้เลยขอพาไปนอกประเทศบ้าง ไม่ได้จัดอันดับว่าที่ใดน่ากลัวที่สุด แต่ขอเลือกมาให้ดูหลายๆที่ เพื่อให้ตัดสินกันเอาเอง
สถานที่หลายๆแห่งที่ยกมา เคยใช้พิสูจน์สิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ตามรายการล่าผีของฝรั่งเช่น Ghost Hunters,Ghost Adventures หรือบางครั้งหยิบเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นมาทำเป็นหนังเขย่าขวัญ หรือหนังโหด บางครั้งถึงขนาดยกไปถ่ายทำกันในสถานที่จริงกันเลย
ไม่ว่าแต่ละสถานที่จะมีเรื่องเล่า ตำนาน หรือความโหดร้ายเพียงใด ที่ต่างๆทำให้พวกเรารู้ว่าคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่ต้องเคยใช้ชีวิตอย่างทรมาน หรือบางครั้งเขาไม่รู้เลยว่า เขาตายไปแล้ว
มาดูที่แรกกันเลยดีกว่ากับ Waverly Hills Sanatorium ซึ่งเคยใช้เป็นสถานพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค และเคยเป็นโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยทางจิต
เคยใช้ถ่ายหนังเรื่องDeath Tunnelหรือแม้แต่จัดคอนเสิร์ตเมทัลมาแล้ว
สถานที่หลอนๆในไทยหลายๆคนคงเคยเห็นจนเบื่อแล้ว กระทู้นี้เลยขอพาไปนอกประเทศบ้าง ไม่ได้จัดอันดับว่าที่ใดน่ากลัวที่สุด แต่ขอเลือกมาให้ดูหลายๆที่ เพื่อให้ตัดสินกันเอาเอง
สถานที่หลายๆแห่งที่ยกมา เคยใช้พิสูจน์สิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ตามรายการล่าผีของฝรั่งเช่น Ghost Hunters,Ghost Adventures หรือบางครั้งหยิบเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นมาทำเป็นหนังเขย่าขวัญ หรือหนังโหด บางครั้งถึงขนาดยกไปถ่ายทำกันในสถานที่จริงกันเลย
ไม่ว่าแต่ละสถานที่จะมีเรื่องเล่า ตำนาน หรือความโหดร้ายเพียงใด ที่ต่างๆทำให้พวกเรารู้ว่าคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่ต้องเคยใช้ชีวิตอย่างทรมาน หรือบางครั้งเขาไม่รู้เลยว่า เขาตายไปแล้ว
มาดูที่แรกกันเลยดีกว่ากับ Waverly Hills Sanatorium ซึ่งเคยใช้เป็นสถานพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค และเคยเป็นโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยทางจิต
เคยใช้ถ่ายหนังเรื่องDeath Tunnelหรือแม้แต่จัดคอนเสิร์ตเมทัลมาแล้ว
Replies (71)
ปัจจุบันมีคนมาซื้อต่อเปิดทัวร์ผีรับทรัพย์เหนาะๆ
แถมมีเว็บไซต์ด้วย ชาวหนังโหดคนไหนอยู่ในเคนตั๊กกี้ อยากไปเยี่ยมชม ก็เชิญอ่านรายละเอียด
http://www.therealwaverlyhills.com/
แถมมีเว็บไซต์ด้วย ชาวหนังโหดคนไหนอยู่ในเคนตั๊กกี้ อยากไปเยี่ยมชม ก็เชิญอ่านรายละเอียด
http://www.therealwaverlyhills.com/
1 Waverly Hills Sanatorium หรือสถานพยาบาลเวฟเวอร์ลี่ ฮิล
อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของหลุยส์วิล-เจฟเฟอร์สัน เคาน์ตี้ รัฐเคนตั๊กกี้ ในช่วงปี1883พลตรีโทมัส เอส เฮยส์ ได้ซื้อที่ดินบริเวณนี้มาสร้างบ้านครอบครัว แต่ด้วยสมัยนั้นที่ดินแห่งนี้ห่างไกลจากโรงเรียนมาก ท่านพลตรีเลยประสงค์จะสร้างโรงเรียนให้ลูกสาวเรียน จึงสร้างโรงเรียนเล็กๆขนาด 1 ห้อง โดยจ้างครู1คนนามว่า ลิซซี่ แฮร์ริสมาสอนประจำที่นี้ ที่มาของชื่อมาจากความชอบในนิยายของวอลเทอร์ สก็อตที่ชื่อว่า "Waverley Novels" โรงเรียนนี้จึงชื่อว่าเวฟเวอร์ลีย์ และท่านพลตรีชื่นชอบความเงียบสงบของที่แห่งนี้จึงตั้งชื่อที่ดินว่า "เวฟเวอร์ลีย์ ฮิล"
ต่อมาคณะกรรมการโรงพยาบาลวัณโรคได้ซื้อที่ดินบริเวณนี้ มาเป็นสถานพยาบาลวัณโรค และยังใช้ชื่อเดิม คือ "เวฟเวอร์ลีย์ ฮิล" แต่ไม่รู้ว่าสะกดกันแบบไหนตัวอีหายไปจึงกลายเป็น"Waverly&"ดังเช่นที่พวกเราเห็นกันจนมาถึงปัจจุบัน
อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของหลุยส์วิล-เจฟเฟอร์สัน เคาน์ตี้ รัฐเคนตั๊กกี้ ในช่วงปี1883พลตรีโทมัส เอส เฮยส์ ได้ซื้อที่ดินบริเวณนี้มาสร้างบ้านครอบครัว แต่ด้วยสมัยนั้นที่ดินแห่งนี้ห่างไกลจากโรงเรียนมาก ท่านพลตรีเลยประสงค์จะสร้างโรงเรียนให้ลูกสาวเรียน จึงสร้างโรงเรียนเล็กๆขนาด 1 ห้อง โดยจ้างครู1คนนามว่า ลิซซี่ แฮร์ริสมาสอนประจำที่นี้ ที่มาของชื่อมาจากความชอบในนิยายของวอลเทอร์ สก็อตที่ชื่อว่า "Waverley Novels" โรงเรียนนี้จึงชื่อว่าเวฟเวอร์ลีย์ และท่านพลตรีชื่นชอบความเงียบสงบของที่แห่งนี้จึงตั้งชื่อที่ดินว่า "เวฟเวอร์ลีย์ ฮิล"
ต่อมาคณะกรรมการโรงพยาบาลวัณโรคได้ซื้อที่ดินบริเวณนี้ มาเป็นสถานพยาบาลวัณโรค และยังใช้ชื่อเดิม คือ "เวฟเวอร์ลีย์ ฮิล" แต่ไม่รู้ว่าสะกดกันแบบไหนตัวอีหายไปจึงกลายเป็น"Waverly&"ดังเช่นที่พวกเราเห็นกันจนมาถึงปัจจุบัน

แก้ไขล่าสุด: 1/12/2553 13:53 โดย แว่นจัง
โดยสถานพยาบาลเริ่มก่อตั้งในต้นศตวรรษที่20 ในบริเวณเจฟเฟอร์สันเคาน์ตี้เกิดการระบาดของวัณโรค เพราะ เป็นหนองบึงน้ำขังซึ่งเหมาะกับการเกิดแบคทีเรียวัณโรค จึงมีการสร้างสถานพยาบาลไม้เล็กๆ2ชั้นขึ้น โดยยุคแรกเริ่มมีเพียงตึกอำนวยการ และศาลา2หลังอาการถ่ายเทสะดวก ความจุเพียง20เตียงและรับผู้ป่วนวัณโรคในระยะเริ่มต้นเท่านั้น
ช่วงต้นปี1911 ทางเมืองต้องการสร้างโรงพยาบาลประจำเมืองแห่งใหม่ขึ้น คณะกรรมการของโรงพยาบาลไม่ต้องการให้โรงพยาบาลแห่งใหม่รับรักษารักษาวัณโรคปอด คณะกรรมการของโรงพยาบาลวัณโรคจึงออกเงินจำนวน25,000ดอลลาร์ เพื่อตั้งโรงพยาบาลดูแลวัณโรคปอดที่อาการรุนแรงขึ้น
จนวันที่ 22 สิงหาคมปี1911 ผู้ป่วยวัณโรคทั้งหมดจากโรงพยบาลประจำเมืองจึงถูกย้ายมาที่แห่งนี้ โดยแบ่งเป็นนอนพักในเต้นท์15หลังก่อน
จวบจนเดือนธันวาคมปี1912 โรงพยาบาลจึงเปิดรักษาผู้ป่วยวัณโรคอาการรุนแรงอย่างเต็มรูปแบบจำนวน50เตียง และยังมีศาลาผู้ป่วยเด็กอีก40เตียง ความจุของโรงพยาบาลในตอนนั้น คือ 130 เตียง แต่ในความเป็นจริงแล้วเยอะกว่านั้นมาก
หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลจึงมีแผนปรับปรุงอาคารไม้เพื่อให้แข็งแรงขึ้นและรับผู้ป่วยได้มากขึ้น
รูปอาคารสมัยก่อน
ช่วงต้นปี1911 ทางเมืองต้องการสร้างโรงพยาบาลประจำเมืองแห่งใหม่ขึ้น คณะกรรมการของโรงพยาบาลไม่ต้องการให้โรงพยาบาลแห่งใหม่รับรักษารักษาวัณโรคปอด คณะกรรมการของโรงพยาบาลวัณโรคจึงออกเงินจำนวน25,000ดอลลาร์ เพื่อตั้งโรงพยาบาลดูแลวัณโรคปอดที่อาการรุนแรงขึ้น
จนวันที่ 22 สิงหาคมปี1911 ผู้ป่วยวัณโรคทั้งหมดจากโรงพยบาลประจำเมืองจึงถูกย้ายมาที่แห่งนี้ โดยแบ่งเป็นนอนพักในเต้นท์15หลังก่อน
จวบจนเดือนธันวาคมปี1912 โรงพยาบาลจึงเปิดรักษาผู้ป่วยวัณโรคอาการรุนแรงอย่างเต็มรูปแบบจำนวน50เตียง และยังมีศาลาผู้ป่วยเด็กอีก40เตียง ความจุของโรงพยาบาลในตอนนั้น คือ 130 เตียง แต่ในความเป็นจริงแล้วเยอะกว่านั้นมาก
หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลจึงมีแผนปรับปรุงอาคารไม้เพื่อให้แข็งแรงขึ้นและรับผู้ป่วยได้มากขึ้น
รูปอาคารสมัยก่อน

แก้ไขล่าสุด: 1/12/2553 10:07 โดย แว่นจัง
อู้งานมานั่งอ่าน
แผนการขยายอาคารเริ่มต้นมีนาคม ปี1924แล้วเสร็จในวันที่17 ตุลาคม ปี1926 เป็นโรงพยาบาลขนาด5ชั้น และจุผู้ป่วยได้มากกว่า400เตียง จนกระทั่งมีการค้นพบยา"สเตรปโตมัยซิน"ขึ้นในปี1943 จำนวนผู้ป่วยวัณโรคจึงลดลงเรื่อยๆ และไม่มีความจำเป็นต้องใช้โรงพยาบาลวัณโรคที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้อีกต่อไป โรงพยาบาลเวฟเวอร์ลี่ยังคงใช้รักษาผู้ป่วยวัณโรคต่อถึงยุค60 และปิดตัวลงในราวๆประมาณเดือนมิถุนายนปี1961หรือ1962 โดยผู้ป่วยที่เหลือที่ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลเฮลเซลวู้ด
หลังจากปรับปรุงแล้ว
หลังจากปรับปรุงแล้ว

แก้ไขล่าสุด: 1/12/2553 10:27 โดย แว่นจัง
อันนี้โรงพยาบาลหลังแรกที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในยุคก่อตั้งคือคุณหมอOscar O. Miller ที่มีพื้นเพจากซิดนีย์ ออสเตรเลีย และย้ายมาที่เคนตั๊กกี้ในปี1907ก่อนศึกษาต่อในวิทยาลัยการแพทย์ แล้วมาดูแลสถานพยาบาลเฮสเซลวู้ดก่อนได้รับการแต่งตั้งในเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเวฟเวอร์ลี่ในปี1918-1931
คนที่4จากแถวหลังด้านซ้ายมือ
คนที่4จากแถวหลังด้านซ้ายมือ

เนื่องจากยุคนั้นวัณโรคถือว่าเป็นโรคระบาด เพราะเชื้อสามารถแพร่ไปทางอากาศได้ คนไข้หลายคนร่วมถึงพยาบาลทุกคนจึงต้องพักอาศัยเป็นการถาวร เพื่อป้องกันไม่ให้ออกไปแพร่เชื้อแก่บุคคลภายนอก
โรงพยาบาสร้างสไตล์โกธิค ส่วนในรูปเป็นหอพักของพยาบาล และบุคคลที่ทำงานที่นี้
อยากดูรูปละเอียดๆลองดูจากลิงค์ข้างบนเพราะเจ้าของคนปัจจุบัน ชาร์ลีและทีน่าแม็ททิ่งลี่ ลงไว้เยอะพอควร
โรงพยาบาสร้างสไตล์โกธิค ส่วนในรูปเป็นหอพักของพยาบาล และบุคคลที่ทำงานที่นี้
อยากดูรูปละเอียดๆลองดูจากลิงค์ข้างบนเพราะเจ้าของคนปัจจุบัน ชาร์ลีและทีน่าแม็ททิ่งลี่ ลงไว้เยอะพอควร

ในช่วงที่ยังไม่มียารักษาวัณโรค สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่ทดลองการรักษาคนไข้ด้วยวิธีต่างๆมากมาย บ้างก็ดีขึ้น บ้างก็แย่ลง และแน่นอนบ้างก็ตาย มาลองดูวิธีรักษาวัณโรคในยุคนั้นดีกว่า
1อากาศบริสุทธิ์และการพักผ่อน
ให้ผู้ป่วยอยู่ท่ามกลางแสงแดด พูดง่ายคือให้อาบแดดตลอด วิธีการรักษานี้ในยุคปี1920-1929 สำคัญมากและเป็นวิธีการรักษาแรกๆสมัยยังไม่มียา
ทำโดยเข็นเตียงคนไข้ออกมาตรงระเบียงมีหน้าต่างบานใหญ่ไม่มีกระจกให้แสงแดดส่องมาโดนตัวคนไข้ พร้อมรับอากาศบริสุทธิ์ ที่ทำแบบนี้เพราะ เชื่อว่าอากาศและแสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อเวลาคนไข้ไอ จาม สั่งน้ำมูก โดยคนไข้จะนอนบนเตียงพร้อมผ้าห่มไฟฟ้าตลอด4ฤดู
1อากาศบริสุทธิ์และการพักผ่อน
ให้ผู้ป่วยอยู่ท่ามกลางแสงแดด พูดง่ายคือให้อาบแดดตลอด วิธีการรักษานี้ในยุคปี1920-1929 สำคัญมากและเป็นวิธีการรักษาแรกๆสมัยยังไม่มียา
ทำโดยเข็นเตียงคนไข้ออกมาตรงระเบียงมีหน้าต่างบานใหญ่ไม่มีกระจกให้แสงแดดส่องมาโดนตัวคนไข้ พร้อมรับอากาศบริสุทธิ์ ที่ทำแบบนี้เพราะ เชื่อว่าอากาศและแสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อเวลาคนไข้ไอ จาม สั่งน้ำมูก โดยคนไข้จะนอนบนเตียงพร้อมผ้าห่มไฟฟ้าตลอด4ฤดู

2อาหารดี
การรักษาแบบนี้เชื่อว่าถ้าคนไข้ได้บริโภคโปรตีนจำนวนมากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมา เมนูอาหารต่างๆจริงมีทั้งผัก เนื้อ ผลไม้ นม ชีส โดยส่วนมากจะมาสดๆจากฟาร์มที่อยู่ในที่ดินของโรงพยาบาล
ผู้ป่วยสามารถไปทานอาหารที่ห้องอาหารกลางได้ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าคนไหนป่วยมากโรงพยาบาลจะจัดห้องอาหารเล็กๆประจำแต่ละชั้นไว้ให้
ด้วย
รูปเสริฟอาหารให้คนไข้ที่นอนอาบแดด
การรักษาแบบนี้เชื่อว่าถ้าคนไข้ได้บริโภคโปรตีนจำนวนมากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมา เมนูอาหารต่างๆจริงมีทั้งผัก เนื้อ ผลไม้ นม ชีส โดยส่วนมากจะมาสดๆจากฟาร์มที่อยู่ในที่ดินของโรงพยาบาล
ผู้ป่วยสามารถไปทานอาหารที่ห้องอาหารกลางได้ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าคนไหนป่วยมากโรงพยาบาลจะจัดห้องอาหารเล็กๆประจำแต่ละชั้นไว้ให้
ด้วย
รูปเสริฟอาหารให้คนไข้ที่นอนอาบแดด

3 การบำบัดด้วยแดด (Heliotherapy)
วิธีนี้น่าจะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นเด็ก ในรูปจะเป็นเด็กถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงชั้นใน เล่นกันกลางแดด บำบัดด้วยแดดใช้รักษาวัณโรคข้อต่อ กระดูก ผิวหนัง และดวงตา
ข้อดีที่เชื่อกันว่าแดดจะช่วยฆ่าเชื้อโรค โดยจะต้องอยู่ในอุณหภูมิที่ร้อนในช่วงระยะเวลาหนึ่งแสงแดดจะช่วยทำลายแบคทีเรียได้และยังช่วยเปลี่ยนสารเออร์โกสเตอรอลในผิวหนังเป็นวิตามินดีอีกด้วย
วิธีนี้น่าจะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นเด็ก ในรูปจะเป็นเด็กถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงชั้นใน เล่นกันกลางแดด บำบัดด้วยแดดใช้รักษาวัณโรคข้อต่อ กระดูก ผิวหนัง และดวงตา
ข้อดีที่เชื่อกันว่าแดดจะช่วยฆ่าเชื้อโรค โดยจะต้องอยู่ในอุณหภูมิที่ร้อนในช่วงระยะเวลาหนึ่งแสงแดดจะช่วยทำลายแบคทีเรียได้และยังช่วยเปลี่ยนสารเออร์โกสเตอรอลในผิวหนังเป็นวิตามินดีอีกด้วย

4 การบำบัดด้วยโคมไฟแสงอาทิตย์ หรือไฟหัวเตียง
ถ้าวันไหนอากาศไม่ดีออกไปเดินเล่นรับแดด หรือแดดไม่ส่องมาอย่างเพียงพอ ทางโรงพยาบาลมีไฟซึ่งเป็นแสงยูวีเพื่อให้คนไข้ได้อาบแสง
ถ้าวันไหนอากาศไม่ดีออกไปเดินเล่นรับแดด หรือแดดไม่ส่องมาอย่างเพียงพอ ทางโรงพยาบาลมีไฟซึ่งเป็นแสงยูวีเพื่อให้คนไข้ได้อาบแสง

5 วิธีรักษาโดยทำให้ปอดแผบลงและ การผ่าตัดทรวงอก (Pneumothorax และ Thoracoplasty)--ใครเรียนด้านนี้มา ช่วยอธิบายหน่อยเหอะ
นูมอโทแร็กซ์(ปกติแล้วมันคือภาวะเกิดลมในช่องอก สำหรับคนที่ปอดรั่ว)ซึ่งปอดของคนป่วยอาจมีรูที่เกิดจากวัณโรค ทำโดยการให้ปอดแผบลงเพื่อให้ปอดได้ฟื้นฟูเอง
โทราโคพลาสตี้ หรือการผ่าตัดทรวงอก โดยเปิดทรวงอกคนไข้แล้วตัดซี่โครงออก1หรือหลายชิ้น โดยขั้นตอนนี้จะเกิดหลังจากทำให้ปอดแผบแล้ว เมื่อแพทย์เห็นว่าจำเป็นต้องทำ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมักจะถูกเอาซี่โครงออกไปประมาณ7-8ชิ้น บางครั้งศัลยแพทย์จะผ่าตัดเอาออกทีละ1-2ซี่ ทำให้ผู้ป่วยต้องผ่าตัดหลายครั้ง
นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดปอดแบบ Lobectomy หรือ การตัดกลีบปอดบริเวณที่ติดเชื้อ ซึ่งปัจจุบันใช้ในการรักษามะเร็งปอด
วิธีผ่าตัดซี่โครงจะทำสำหรับผู้ป่วยที่อาการแย่มาก เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยยืดเวลาให้พวกเขาให้นานขึ้นอีกหน่อย
นูมอโทแร็กซ์(ปกติแล้วมันคือภาวะเกิดลมในช่องอก สำหรับคนที่ปอดรั่ว)ซึ่งปอดของคนป่วยอาจมีรูที่เกิดจากวัณโรค ทำโดยการให้ปอดแผบลงเพื่อให้ปอดได้ฟื้นฟูเอง
โทราโคพลาสตี้ หรือการผ่าตัดทรวงอก โดยเปิดทรวงอกคนไข้แล้วตัดซี่โครงออก1หรือหลายชิ้น โดยขั้นตอนนี้จะเกิดหลังจากทำให้ปอดแผบแล้ว เมื่อแพทย์เห็นว่าจำเป็นต้องทำ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมักจะถูกเอาซี่โครงออกไปประมาณ7-8ชิ้น บางครั้งศัลยแพทย์จะผ่าตัดเอาออกทีละ1-2ซี่ ทำให้ผู้ป่วยต้องผ่าตัดหลายครั้ง
นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดปอดแบบ Lobectomy หรือ การตัดกลีบปอดบริเวณที่ติดเชื้อ ซึ่งปัจจุบันใช้ในการรักษามะเร็งปอด
วิธีผ่าตัดซี่โครงจะทำสำหรับผู้ป่วยที่อาการแย่มาก เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยยืดเวลาให้พวกเขาให้นานขึ้นอีกหน่อย

6 วิธีรักษาโดยให้กำลังใจ
เป็นวิธีใช้ควบคู่กับวิธีรักษาอื่นๆ เพราะคนไข้ต้องนั่งๆนอนๆ อยู่ในสถานพยาบาลไม่ได้ออกไปเที่ยวภายนอก จึงมีกิจกรรมสอนสานตระกร้า ทำไม้กวาด ผ้าปูเตียง ผ้าคลุมโต๊ะ และของใช้เล็กๆน้อยๆอื่นๆ โดยงานฝีมือทำหมดทำออกขายในงานประจำปีของรัฐเคนตั๊กกี้ เงินที่ได้มาเอามาใช้ใจในโรงพยาบาลและใช้เป็นเงินในโครงการค้นคว้าการรักษาโรควัณโรคอีกด้วย
7 วิทยุ
นอกจะนี้แต่ละเตียงยังมีหูฟังให้ผู้ป่วยนอนฟังเพลง กีฬา ข่าวสารต่างๆอีกด้วย
เป็นวิธีใช้ควบคู่กับวิธีรักษาอื่นๆ เพราะคนไข้ต้องนั่งๆนอนๆ อยู่ในสถานพยาบาลไม่ได้ออกไปเที่ยวภายนอก จึงมีกิจกรรมสอนสานตระกร้า ทำไม้กวาด ผ้าปูเตียง ผ้าคลุมโต๊ะ และของใช้เล็กๆน้อยๆอื่นๆ โดยงานฝีมือทำหมดทำออกขายในงานประจำปีของรัฐเคนตั๊กกี้ เงินที่ได้มาเอามาใช้ใจในโรงพยาบาลและใช้เป็นเงินในโครงการค้นคว้าการรักษาโรควัณโรคอีกด้วย
7 วิทยุ
นอกจะนี้แต่ละเตียงยังมีหูฟังให้ผู้ป่วยนอนฟังเพลง กีฬา ข่าวสารต่างๆอีกด้วย
แก้ไขล่าสุด: 1/12/2553 12:44 โดย แว่นจัง
บางคนอาจสงสัยแล้วมันน่ากลัวตรงไหน
จุดเริ่มต้นความหลอนถึงขนาด2รายการล่าผีชื่อดังของอเมริกายังต้องไปพิสูจน์ นั้นคือ จำนวนคนตายมหาศาล ตามเรื่องเล่าว่ากันว่ามีคนไข้เสียชีวิตถึง 63,000 คน! น่าจะเกินจริงไปเยอะมาก
ตามที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการคุณหมอ แฟรงค์ สจ๊วต บอกว่า อัตราเสียชีวิตสูงสุดใน1ปีของโรงพยาบาล คือ 152 คน โดยคุณหมอเขียนบันทึกไว้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะทหารกลับบ้านหลังจากไปรบต่างแดนป่วยเป็นวัณโรคขั้นร้ายแรงจำนวนมาก
ในขณะที่กลุ่มค้นคว้าบางกลุ่มบอกว่าจำนวนมากที่สุด คือ 162 คน ดังนั้นเมื่อรวมจำนวนคนที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลแห่งนี้กว่า50ปีน่าจะมีถึง 8,212 คน
คลิปจากรายการTravel Channel มีสัมภาษณ์เจ้าของคนปัจจุบันด้วย
ภายหลังปี1961/62 ที่โรงพยาบาลปิดกิจการไป มีการซื้อต่อและปรับปรุงเปลี่ยนเป็น - Woodhaven Geriatric Center บางแหล่งก็บอกว่าเป็น Woodhaven Medical Services
คือสถานดูแลคนชรา หรือสถานให้บริการทางการแพทย์ แต่ชาวบ้านแถวนั้นกลับบอกว่าที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นที่บำบัดอาการทางจิต ในปี1980/81 สถานที่แห่งนี้ถูกสั่งปิดโดยศาลหลังจากตรวจพบว่ามีการดูแลคนไข้ไม่ถูกต้อง
จุดเริ่มต้นความหลอนถึงขนาด2รายการล่าผีชื่อดังของอเมริกายังต้องไปพิสูจน์ นั้นคือ จำนวนคนตายมหาศาล ตามเรื่องเล่าว่ากันว่ามีคนไข้เสียชีวิตถึง 63,000 คน! น่าจะเกินจริงไปเยอะมาก
ตามที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการคุณหมอ แฟรงค์ สจ๊วต บอกว่า อัตราเสียชีวิตสูงสุดใน1ปีของโรงพยาบาล คือ 152 คน โดยคุณหมอเขียนบันทึกไว้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะทหารกลับบ้านหลังจากไปรบต่างแดนป่วยเป็นวัณโรคขั้นร้ายแรงจำนวนมาก
ในขณะที่กลุ่มค้นคว้าบางกลุ่มบอกว่าจำนวนมากที่สุด คือ 162 คน ดังนั้นเมื่อรวมจำนวนคนที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลแห่งนี้กว่า50ปีน่าจะมีถึง 8,212 คน
คลิปจากรายการTravel Channel มีสัมภาษณ์เจ้าของคนปัจจุบันด้วย
ภายหลังปี1961/62 ที่โรงพยาบาลปิดกิจการไป มีการซื้อต่อและปรับปรุงเปลี่ยนเป็น - Woodhaven Geriatric Center บางแหล่งก็บอกว่าเป็น Woodhaven Medical Services
คือสถานดูแลคนชรา หรือสถานให้บริการทางการแพทย์ แต่ชาวบ้านแถวนั้นกลับบอกว่าที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นที่บำบัดอาการทางจิต ในปี1980/81 สถานที่แห่งนี้ถูกสั่งปิดโดยศาลหลังจากตรวจพบว่ามีการดูแลคนไข้ไม่ถูกต้อง
แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 13:03 โดย แว่นจัง
บริเวณที่หลอนที่สุดในโรงพยาบาล
ห้องดับจิต กับ บริเวณอุโมงลำเลียงศพ (body chute หรือ Death Tunnel)
เหตุที่ต้องสร้างเป็นอุโมงใต้ดินเชื่อมไปยังเนินเขาที่นำศพส่งต่อให้ญาติ ไปฟัง หรือเผา เพราะว่าในช่วงที่มีการระบาดของโรคมีผู้ป่วยเสียชีวิตทุกวัน หากมีการลำเลียงศพออกมาตามทางปกติ ผู้ป่วยอาจเสียขวัญได้ ทางผู้อำนวยการจึงให้มีการสร้างอุโมงเห็นนี้ขึ้นมา
มีความยาวถึงเนินเขา525ฟุต ส่วนตัวอุโมงค์มรณะมีความยาว425ฟุต วิธีใช้ คือจะมีทางลาดอยู่ข้างๆก็จะใช้รถรางบรรทุกศพและมีบันไดอยู่ข้างๆ ไม่ใช่โยนศพมาจากข้างบนแบบที่เข้าใจกันแต่อย่างใด
นอกจากใช้ขนศพ ยังใช้ขนพวกถ่านหิน ของใช้อื่นๆลำเลียงเข้าสู่โรงพยาบาล นอกจากนี้ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยังมีประโยชน์ เนื่องจาก เตรียมใช้ไว้หลบภัยทางอากาศ หากสงครามลุกลามมาถึงอเมริกา
ตัวอุโมงมันมืดมากที่เห็นสว่างๆเจ้าของสถานที่มใช้เฟลชถ่ายเอา เพราะไม่มีการต่อไฟมาบริเวณนี้ ถ้าตามไปดูรูปในเว็บก็จะเห็นทางเชื่อมอุโมงค์ออกจากตึก และ ช่องอากาศที่จะไปโผล่ตรงเนินเขาหลังโรงพยาบาลอีกด้วย
นับว่าเป็นไอเดียดี แต่น่ากลัวเป็นบ้า
ห้องดับจิต กับ บริเวณอุโมงลำเลียงศพ (body chute หรือ Death Tunnel)
เหตุที่ต้องสร้างเป็นอุโมงใต้ดินเชื่อมไปยังเนินเขาที่นำศพส่งต่อให้ญาติ ไปฟัง หรือเผา เพราะว่าในช่วงที่มีการระบาดของโรคมีผู้ป่วยเสียชีวิตทุกวัน หากมีการลำเลียงศพออกมาตามทางปกติ ผู้ป่วยอาจเสียขวัญได้ ทางผู้อำนวยการจึงให้มีการสร้างอุโมงเห็นนี้ขึ้นมา
มีความยาวถึงเนินเขา525ฟุต ส่วนตัวอุโมงค์มรณะมีความยาว425ฟุต วิธีใช้ คือจะมีทางลาดอยู่ข้างๆก็จะใช้รถรางบรรทุกศพและมีบันไดอยู่ข้างๆ ไม่ใช่โยนศพมาจากข้างบนแบบที่เข้าใจกันแต่อย่างใด
นอกจากใช้ขนศพ ยังใช้ขนพวกถ่านหิน ของใช้อื่นๆลำเลียงเข้าสู่โรงพยาบาล นอกจากนี้ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยังมีประโยชน์ เนื่องจาก เตรียมใช้ไว้หลบภัยทางอากาศ หากสงครามลุกลามมาถึงอเมริกา
ตัวอุโมงมันมืดมากที่เห็นสว่างๆเจ้าของสถานที่มใช้เฟลชถ่ายเอา เพราะไม่มีการต่อไฟมาบริเวณนี้ ถ้าตามไปดูรูปในเว็บก็จะเห็นทางเชื่อมอุโมงค์ออกจากตึก และ ช่องอากาศที่จะไปโผล่ตรงเนินเขาหลังโรงพยาบาลอีกด้วย
นับว่าเป็นไอเดียดี แต่น่ากลัวเป็นบ้า

อันนี้จะเห็นชัดว่ามีบันไดเดินและเชื่อมมาถึงเนินเขา

แก้ไขล่าสุด: 1/12/2553 13:31 โดย แว่นจัง
อีกที่ที่พลาดไม่ได้ คือ บริเวณชั้น5 ห้อง502 ที่ไม่ว่าจะไปกี่รายส่วนใหญ่จะเจอหมด คือได้ยินเสียงว่า "ออกไป"
ตามที่เล่ากันว่าในปี1928ห้องดังกล่าวเป็นห้องพักของหัวหน้าพยาบาลวัย29ปีที่แขวนคอกับโคมไฟเพดาน ด้วยสาเหตุที่คาดว่าเธอตั้งท้องทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ต่อมาในปี1939มีพยาบาลอีกคนกระโดดลงมาตาย
หลังจากนั้นก็เป็นที่ใครมาเยือนต้องไม่พลาด
ตามที่เล่ากันว่าในปี1928ห้องดังกล่าวเป็นห้องพักของหัวหน้าพยาบาลวัย29ปีที่แขวนคอกับโคมไฟเพดาน ด้วยสาเหตุที่คาดว่าเธอตั้งท้องทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ต่อมาในปี1939มีพยาบาลอีกคนกระโดดลงมาตาย
หลังจากนั้นก็เป็นที่ใครมาเยือนต้องไม่พลาด

แก้ไขล่าสุด: 1/12/2553 13:38 โดย แว่นจัง
ขนลึ๊กก
บริเวณด้านหน้าบางคนที่มาสำรวจจะพบวิญญาณหญิงชราที่ทั้งข้อมือและเท้าถูกล่ามโซ่ พร้อมมีเลือดหยดติ๋งๆมาจากข้อมือ เชื่อกันว่าเธอถูกล่ามจากการรักษาไม่ถูกต้องหลังจากเปลี่ยนเป็นสถานดูแลคนชรา
บริเวณชั้น3ที่มีคนเห็นเด็กผู้หญิงไม่มีตา มองมาจากหน้าต่างชั้น3 ตั้งชื่อว่า หนูน้อยแมรี่
บนหลังคามีหลายคนได้ยินเสียงเด็กๆร้องเพลง "Ring Around the Rosy " โดยบริเวณนั้นเคยให้เด็กๆขึ้นไปเล่นเพื่อโดนแดดกับนางพยาบาล
ที่ดังที่สุดอีกกรณีหนึ่งคือ หนูน้อยทิมมี่ชอบเด้งลูกบอลตามทางเดิน ที่คนเห็นกันบ่อยมาก
หลังจากปิดตัวลงในปีช่วง80 มีผู้สนใจซื้อต่อจะไปสร้างเป็นคุก แต่โดนคัดค้านจากชาวบ้านบ้าง พอจะไปทำอพาร์ทเมนท์ต้องซื้อที่ดินเพิ่ม ซึ่งใช้เงินจำนวนมากแล้วเปลี่ยนโครงการไปเป็นโรงพยาบาลของบ้าง โรงหนัง ร้านขายของ แม้แต่จะปั้นรูปปั้นตามแบบChrist the Redeemer ในบราซิลด้วย แต่เงินทุนไม่พอจึงล้มเลิกไป
ชาร์ลีและทีน่าแม็ททิ่งลี่พยายามฟื้นฟูสถานที่ดังกล่าวซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล โดยเงินส่วนใหญ่จะมาจากการเก็บค่าเข้าชม และเงินบริจาค นอกจากนี้บริเวณโรงพยาบาลยังมีการติดกล้องวงจรปิด ป้ายห้ามบุกรุก พร้อมทำรั้ว มีการซ่อมแซมและทำความสะอาดใหญ่ๆในหลายจุด เช่น เดินไฟใหม่ เปลี่ยนทางเดินท่อประปา ซ่อมห้องซักผ้า ติดหน้าต่าง ทางเจ้าของคาดว่าใช้เวลา4ปีในการบูรณะอาคารหลักจนเสร็จสิ้น
ซื้อต่อมาในปี2001 อันนี้ภาพน่าจะล่าสุดไม่นานมานี้
บริเวณชั้น3ที่มีคนเห็นเด็กผู้หญิงไม่มีตา มองมาจากหน้าต่างชั้น3 ตั้งชื่อว่า หนูน้อยแมรี่
บนหลังคามีหลายคนได้ยินเสียงเด็กๆร้องเพลง "Ring Around the Rosy " โดยบริเวณนั้นเคยให้เด็กๆขึ้นไปเล่นเพื่อโดนแดดกับนางพยาบาล
ที่ดังที่สุดอีกกรณีหนึ่งคือ หนูน้อยทิมมี่ชอบเด้งลูกบอลตามทางเดิน ที่คนเห็นกันบ่อยมาก
หลังจากปิดตัวลงในปีช่วง80 มีผู้สนใจซื้อต่อจะไปสร้างเป็นคุก แต่โดนคัดค้านจากชาวบ้านบ้าง พอจะไปทำอพาร์ทเมนท์ต้องซื้อที่ดินเพิ่ม ซึ่งใช้เงินจำนวนมากแล้วเปลี่ยนโครงการไปเป็นโรงพยาบาลของบ้าง โรงหนัง ร้านขายของ แม้แต่จะปั้นรูปปั้นตามแบบChrist the Redeemer ในบราซิลด้วย แต่เงินทุนไม่พอจึงล้มเลิกไป
ชาร์ลีและทีน่าแม็ททิ่งลี่พยายามฟื้นฟูสถานที่ดังกล่าวซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล โดยเงินส่วนใหญ่จะมาจากการเก็บค่าเข้าชม และเงินบริจาค นอกจากนี้บริเวณโรงพยาบาลยังมีการติดกล้องวงจรปิด ป้ายห้ามบุกรุก พร้อมทำรั้ว มีการซ่อมแซมและทำความสะอาดใหญ่ๆในหลายจุด เช่น เดินไฟใหม่ เปลี่ยนทางเดินท่อประปา ซ่อมห้องซักผ้า ติดหน้าต่าง ทางเจ้าของคาดว่าใช้เวลา4ปีในการบูรณะอาคารหลักจนเสร็จสิ้น
ซื้อต่อมาในปี2001 อันนี้ภาพน่าจะล่าสุดไม่นานมานี้

แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 13:06 โดย แว่นจัง
พาไปดูโรงพยาบาลอีกแห่งแล้วกัน อีกที่แล้วกัน คือ Trans-Allegheny Lunatic Asylum หรือโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยทางจิตเภท หรืออีกชื่อ คือ Weston State ตั้งอยู่ในเมืองเวสตันทางตะวันตกของรัฐเวอร์จิเนีย ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของสหรัฐไปแล้วเรียบร้อย
ล่าสุดนายโจ จอร์แดนได้ซื้อต่อในปี2007และเปิดให้มีทัวร์ผี เก็บเงินค่าเข้า เพื่อนำไปบำรุงต่อไป(สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐหลายแห่งขายให้เอกชน เพื่อให้มีการปรับปรุงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดี)
http://trans-alleghenylunaticasylum.com/index.html
เว็บมืออาชีพมากๆมีเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ แถมยังมายสเปซด้วย ใครอยู่เวสต์เวอร์จิเนียไปเที่ยวมาก็ส่งรูปมาบอกกันบ้าง
การสร้างแบบก่ออิฐดูไม่เหมือนโรงพยาบาลเลย
เพิ่มเติมว่าฆาตกรCharles Manson เคยมาอยู่ที่นี่ด้วย
ล่าสุดนายโจ จอร์แดนได้ซื้อต่อในปี2007และเปิดให้มีทัวร์ผี เก็บเงินค่าเข้า เพื่อนำไปบำรุงต่อไป(สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐหลายแห่งขายให้เอกชน เพื่อให้มีการปรับปรุงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดี)
http://trans-alleghenylunaticasylum.com/index.html
เว็บมืออาชีพมากๆมีเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ แถมยังมายสเปซด้วย ใครอยู่เวสต์เวอร์จิเนียไปเที่ยวมาก็ส่งรูปมาบอกกันบ้าง
การสร้างแบบก่ออิฐดูไม่เหมือนโรงพยาบาลเลย
เพิ่มเติมว่าฆาตกรCharles Manson เคยมาอยู่ที่นี่ด้วย

แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 14:35 โดย แว่นจัง
หลังจากผ่านความเห็นชอบของสภาทั่วไปของรัฐเวอร์จิเนียแล้วโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยจิตเภทTrans-Allegheny Lunatic ก็เริ่มสร้างในปี1858 โดยสถาปนิกจากบัลติมอร์ ริชาร์ด แอนดรูวส์ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสไตล์โกธิคและทิวดอร์ ซึ่งที่ว่าอาคารแห่งนี้เป็นสิ่งการสร้างจากอิฐที่ตัดด้วยมือคนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐและใหญ่เป็นอันดับ2ของโลก
โดยสร้างตามคำแนะนำของนักจิตวิทยาโทมัส เคิร์คไบรด์ การก่อสร้างระงับลงในปี1861หลังจากเกิดสงครามกลางเมืองในสหรัฐ เงินที่ใช้ในการก่อสร้างถูกนำมาใช้กับการสู้กับฝ่ายใต้ โชคดีที่กลับมาสร้างต่อในปี1862 ในปี1863เวอร์จิเนียผนวกรวมเป็นรัฐภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา จึงมีการเปลี่ยนชื่อโรงพยาบาลดังกล่าวมาเป็น "West Virginia Hospital for the Insane"
เริ่มรับคนไข้ครั้งแรกเดือนตุลาปี1864 แต่ก่อสร้างสำเร็จปี1881 ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้มีทั้งฟาร์มนม น้ำประปาใช้เอง รวมถึงมีสุสานพร้อมสรรพภายในพื้นที่ขนาด666เอเคอร์(เลขสวย)ต่อมาปี1913เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Weston State Hospital
เริ่มแรกรับคนไข้เพียง250คน ก่อนที่ในยุค50 จะรับคนไข้มากสุด คือ 2,400 คน ซึ่งแออัดมาก ในช่วงปี1935 ไฟไหม้เนื่องจากไข้จุดไฟเผา ส่วนปี1949มีการสำรวจสุขอนามัยในโรงพยาบาลพบว่า ความสะอาด ไฟฟ้า ระบบความร้อนนั้นอยุ่ในสภาพทรุดโทรม ต้องซ่อมแซมใหม่ทั้งหมด
จนปี1980 จำนวนผู้ป่วยลดลงเพราะมีวิธีการรักษาทางจิตเภทในแบบใหม่เข้ามา ต่อมาปี1986ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียยุคนั้น นายอาร์ค มัวร์ ต้องการสร้างโรงพยาบาลจิตเภทของรัฐที่แห่งอื่นและจะเปลี่ยนที่นี้ให้เป็นเรือนจำ ในที่สุดWilliam R. Sharpe Jr. Hospital มาแทนโรงพยาบาลแห่งนี้ เลยต้องปิดตัวโดยปริยายในเดือนพฤษภาคมปี1994
ซึ่งภายหลังมีการเปิดทัวร์ชั้นล่างสนนราคา10เหรียญ และทั้งอาคาร30เหรียญ และในโรงพยาบาลยังใช้เป็นสถานที่เล่นเพนท์บอลอีกด้วย
มีความพยายามจะนำอาคารไปใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามกลางเมือง โรงแรม แม้กระทั่งสนามกอล์ฟ แต่ก็ต้องยกเลิกไป
ต่อมาจึงมีเปิดประมูลขึ้นซึ่งนายโจ จอร์แดนเป็นผู้ชนะการประมูลก่อนที่เขาจะค่อยๆปรับปรุงแต่ละชั้นของอาคาร โดยเปิดทัวร์ทุกวัน ทัวร์ผีเปิดเฉพาะทุกคีนวันศุกร์และพักค้างคืน+ทัวร์ผีได้ทุกวันเสาร์ รายละเอียดไปดูที่เว็บได้เลย และนายใจก็เปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น Trans-Allegheny Lunatic Asylum
โดยสร้างตามคำแนะนำของนักจิตวิทยาโทมัส เคิร์คไบรด์ การก่อสร้างระงับลงในปี1861หลังจากเกิดสงครามกลางเมืองในสหรัฐ เงินที่ใช้ในการก่อสร้างถูกนำมาใช้กับการสู้กับฝ่ายใต้ โชคดีที่กลับมาสร้างต่อในปี1862 ในปี1863เวอร์จิเนียผนวกรวมเป็นรัฐภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา จึงมีการเปลี่ยนชื่อโรงพยาบาลดังกล่าวมาเป็น "West Virginia Hospital for the Insane"
เริ่มรับคนไข้ครั้งแรกเดือนตุลาปี1864 แต่ก่อสร้างสำเร็จปี1881 ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้มีทั้งฟาร์มนม น้ำประปาใช้เอง รวมถึงมีสุสานพร้อมสรรพภายในพื้นที่ขนาด666เอเคอร์(เลขสวย)ต่อมาปี1913เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Weston State Hospital
เริ่มแรกรับคนไข้เพียง250คน ก่อนที่ในยุค50 จะรับคนไข้มากสุด คือ 2,400 คน ซึ่งแออัดมาก ในช่วงปี1935 ไฟไหม้เนื่องจากไข้จุดไฟเผา ส่วนปี1949มีการสำรวจสุขอนามัยในโรงพยาบาลพบว่า ความสะอาด ไฟฟ้า ระบบความร้อนนั้นอยุ่ในสภาพทรุดโทรม ต้องซ่อมแซมใหม่ทั้งหมด
จนปี1980 จำนวนผู้ป่วยลดลงเพราะมีวิธีการรักษาทางจิตเภทในแบบใหม่เข้ามา ต่อมาปี1986ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียยุคนั้น นายอาร์ค มัวร์ ต้องการสร้างโรงพยาบาลจิตเภทของรัฐที่แห่งอื่นและจะเปลี่ยนที่นี้ให้เป็นเรือนจำ ในที่สุดWilliam R. Sharpe Jr. Hospital มาแทนโรงพยาบาลแห่งนี้ เลยต้องปิดตัวโดยปริยายในเดือนพฤษภาคมปี1994
ซึ่งภายหลังมีการเปิดทัวร์ชั้นล่างสนนราคา10เหรียญ และทั้งอาคาร30เหรียญ และในโรงพยาบาลยังใช้เป็นสถานที่เล่นเพนท์บอลอีกด้วย
มีความพยายามจะนำอาคารไปใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามกลางเมือง โรงแรม แม้กระทั่งสนามกอล์ฟ แต่ก็ต้องยกเลิกไป
ต่อมาจึงมีเปิดประมูลขึ้นซึ่งนายโจ จอร์แดนเป็นผู้ชนะการประมูลก่อนที่เขาจะค่อยๆปรับปรุงแต่ละชั้นของอาคาร โดยเปิดทัวร์ทุกวัน ทัวร์ผีเปิดเฉพาะทุกคีนวันศุกร์และพักค้างคืน+ทัวร์ผีได้ทุกวันเสาร์ รายละเอียดไปดูที่เว็บได้เลย และนายใจก็เปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น Trans-Allegheny Lunatic Asylum
แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 13:12 โดย แว่นจัง
แน๊ะมีโฆษณาทัวร์ward24ด้วย15เหรียญต่อคน
แน่นอนมีหรือรายการGhost Hunters จะพลาด ไปมาแล้วเรียบร้อยรู้สึกบันทึกสิ่งแปลกติดมาด้วยหาดูได้ในยูทูป
แน่นอนมีหรือรายการGhost Hunters จะพลาด ไปมาแล้วเรียบร้อยรู้สึกบันทึกสิ่งแปลกติดมาด้วยหาดูได้ในยูทูป
ในช่วงปี1864-1899 ทางโรงพยาบาลจะรับผู้ป่วยด้วยอาการดังนี้
ขี้เกียจ,อีโก้จัด,รักคุด,โรคติดต่อทางเพศ,โลภมาก,ต้มตุ๋นชาวบ้าน,ริษยา,หอบหืด เป็นต้น
วิธีการรักษาและบำบัดคนไข้
ในช่วงยุคแรกของโรงพยาบาลจนถึงประมาณต้นศตวรรษที่20 สภาพภายในโรงพยาบาลแย่มาก(ถึงจะดีกว่านักโทษที่มีอาการทางจิตแล้วต้องติดคุกก็ตาม) เนื่องจากมีการกักตัวคนไข้ไม่ให้พบปะญาติหรือเพื่อนฝูง โรงพยาบาลใช้การพึ่งพาตนเอง บางครั้งจึงไม่มีเสื้อผ้าให้คนไข้ใส่
วิธีบำบัดในยุคนั้นยังไม่มีการใช้ยา จึงใช้วิธีช็อตไฟฟ้าหรือ(Shcok Theraphy) หรือ (ice pick lobotomy) ซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่คนไข้อย่างแสนสาหัส จนบางครั้งมีไข้เสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุให้มีหลายคนได้ยินเสียงร้องโหยหวน เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วมาจากห้องบำบัดอันว่างเปล่า
ตัวโรงพยาบาลเปิดจนถึงปี1994 และต้องปิดไปเนื่องด้วยมีโรงพยาบาลแห่งใหม่และสภาพตึดทรุดโทรมลงมาก
อันนี้รายละเอียดของการใช้แท่งน้ำแข็งเฉาะสมอง บางรายก็บอกได้ผล บางรายความทรงจำหายไป สยองมาก
http://mbos.multiply.com/journal/item/146/Lobotomy
ขี้เกียจ,อีโก้จัด,รักคุด,โรคติดต่อทางเพศ,โลภมาก,ต้มตุ๋นชาวบ้าน,ริษยา,หอบหืด เป็นต้น
วิธีการรักษาและบำบัดคนไข้
ในช่วงยุคแรกของโรงพยาบาลจนถึงประมาณต้นศตวรรษที่20 สภาพภายในโรงพยาบาลแย่มาก(ถึงจะดีกว่านักโทษที่มีอาการทางจิตแล้วต้องติดคุกก็ตาม) เนื่องจากมีการกักตัวคนไข้ไม่ให้พบปะญาติหรือเพื่อนฝูง โรงพยาบาลใช้การพึ่งพาตนเอง บางครั้งจึงไม่มีเสื้อผ้าให้คนไข้ใส่
วิธีบำบัดในยุคนั้นยังไม่มีการใช้ยา จึงใช้วิธีช็อตไฟฟ้าหรือ(Shcok Theraphy) หรือ (ice pick lobotomy) ซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่คนไข้อย่างแสนสาหัส จนบางครั้งมีไข้เสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุให้มีหลายคนได้ยินเสียงร้องโหยหวน เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วมาจากห้องบำบัดอันว่างเปล่า
ตัวโรงพยาบาลเปิดจนถึงปี1994 และต้องปิดไปเนื่องด้วยมีโรงพยาบาลแห่งใหม่และสภาพตึดทรุดโทรมลงมาก
อันนี้รายละเอียดของการใช้แท่งน้ำแข็งเฉาะสมอง บางรายก็บอกได้ผล บางรายความทรงจำหายไป สยองมาก
http://mbos.multiply.com/journal/item/146/Lobotomy
แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 13:13 โดย แว่นจัง
เว็บนี้ภาพเยอะพอควร
http://bloodhoundparanormal.webs.com/apps/photos/photo?photoid=94209897
อันนี้เขาเห็นอะไรกันฟะ
http://bloodhoundparanormal.webs.com/apps/photos/photo?photoid=94209897
อันนี้เขาเห็นอะไรกันฟะ
ความน่ากลัวแน่นอนเกินบรรยาย ตามเว็บของรายการGhost Adventures บันทึกถึงกิจกรรมล่าผีในโรงพยาบาลแห่งนี้ มีดังนี้
ภายในโรงพยาบาลมี16วอร์ด มีส่วนที่เคยใช้รักษาผู้ป่วยวัณโรค มีส่วนที่เป็นห้องเรียน
บริเวณโรงเพาะชำมีผู้ป่วยเคยผูกคอตายที่นั้น
ภายในโรงพยาบาลมี16วอร์ด มีส่วนที่เคยใช้รักษาผู้ป่วยวัณโรค มีส่วนที่เป็นห้องเรียน
บริเวณโรงเพาะชำมีผู้ป่วยเคยผูกคอตายที่นั้น

ตึกฟอเรนซิค(น่าจะประมาณนิติจิตเวช) ใช้ขังอาชญากรที่ป่วยทางจิตที่ได้รับการตัดสินจากศาล ตักตึกเป็นสีเงิน มีหน้าต่างเล็กๆ สร้างขึ้นปี1949 ปัจจุบันไม่เปิดให้เข้าชม

จากเว็บของรายการGhost Adventures ไฮโซมาก เขาจะถ่ายเป็นตอนๆไป ไปที่ไหนก็จีมีหน้าเว็บเซ็ตสถานที่นั้นขึ้นมา มีไลฟ์แชต ส่งเอสเอ็มเอสสดๆด้วย
หลอนแบบมีเงินทุน ถ่ายสดทางช่องTravel Channel ใครดูช่องนี้ได้ หรือ อยู่อเมริกาคราวหน้าเขาพาไปป้อมErie ที่แคนาดา
http://www.travelchannel.com/Ghost_Adventures_Live/index.html
หลอนแบบมีเงินทุน ถ่ายสดทางช่องTravel Channel ใครดูช่องนี้ได้ หรือ อยู่อเมริกาคราวหน้าเขาพาไปป้อมErie ที่แคนาดา
http://www.travelchannel.com/Ghost_Adventures_Live/index.html

แก้ไขล่าสุด: 1/12/2553 16:17 โดย แว่นจัง
นอกจากจะหลอนแล้ว ที่มาของความหลอนก็ไม่เบา อย่างเช่นวอร์ดเอฟ เคยมีคนป่วยพยายามจะฆ่ากันเองโดยคนหนึ่งพยายามจะแขวนคอกับท่อน้ำ แต่พอเห็นไม่ตายเลยเอาตัวลงมาแล้วใช้เสาเตียงกระหน่ำตีจนตาย

ความหฤโหดดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี1987 เท่านั้นยังไม่พอผู้ป่วยคนเดิมยังเอาเสาเตียงไปกระหน่ำทุบคนไข้อีกคนจนตายคาทางเดินของวอร์ด ในช่วงเปลี่ยนเวรของเจ้าหน้าที่
(เจ้าหน้าที่หลายคนพักประจำในโรงพยาบาล แต่พอหลังสี่ทุ่มจะลงมาประจำข้างล่างหมด)
มีข่าวลือว่าคนไข้โคตรเหี้ยมยังอยู่ในโรงพยาบาลอีกแห่ง น่าจะโรงพยาบาลที่เปิดแทนแห่งนี้เนี่ยแหละ
(เจ้าหน้าที่หลายคนพักประจำในโรงพยาบาล แต่พอหลังสี่ทุ่มจะลงมาประจำข้างล่างหมด)
มีข่าวลือว่าคนไข้โคตรเหี้ยมยังอยู่ในโรงพยาบาลอีกแห่ง น่าจะโรงพยาบาลที่เปิดแทนแห่งนี้เนี่ยแหละ

แก้ไขล่าสุด: 1/12/2553 16:36 โดย แว่นจัง
เท่านี้ยังไม่พอ ทั้งบรรดาไกด์ ผู้มาเยี่ยมชมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีมือปริศนามาเคาะไหล่ บ้างก็ได้ยินเสียงเตียงขนย้ายผู้ป่วยกำลังเข็นตรงทางเดิน แต่ก็ไม่มีเตียงซักอัน บ้างก็ว่าได้ยินเสียงกระซิบที่ฟังดูชั่วร้ายอยู่ข้างๆหู

ส่วนวอร์ด 1 เป็นที่ๆหลายคนเชื่อว่าคนไข้สาว(เหลือ)น้อบยนามว่ารูธ ที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ตอนสมัยเธอยังมีชีวิตอยู่เธอถูกย้ายมาจากวอร์ดซีสำหรับคนไข้หญิงที่ใช้ความรุนแรงมายังวอร์ด1 โดยปกติเธอจะนั่งบนเก้าอี้รถเข็นแล้วมีสายรัด นั่งประจำบริเวณห้องโถงของวอร์ดตระโกนด่าทอคนผ่านไปผ่านมาประจำ
ไกด์มักจะโดนเจ๊แกผลักประจำ เพราะตอนเป็นผีดันสื่อสารไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีคนเห็นเงาชายลึกลับใส่ชุดสมัยวิคตอเรียนอีก
ไกด์มักจะโดนเจ๊แกผลักประจำ เพราะตอนเป็นผีดันสื่อสารไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีคนเห็นเงาชายลึกลับใส่ชุดสมัยวิคตอเรียนอีก

ส่วนรายละเอียดโรงพยาบาลแห่งนี้จะเยอะมาก เพราะขนาด666เอเคอร์ เป็นอาณาจักรหย่อมๆเลยทีเดียวแถมมีรายการถ่ายภาพไว้เยอะ เลยเอามารวมให้ดู
วอร์ดบริเวณชั้น4 ใช้เป็นที่พักของคนมาเยี่ยมสามารถมาพักได้ ห้องจะคล้ายๆหอพักตามมหาวิทยาลัย และยังเป็นที่พักของคนที่มีอาการติดเหล้าไม่รุนแรง หรือมีอาการทางจิตไม่มากนะ
แต่บริเวณชั้นนี้กลับสยองสุดๆที่ห้อง688เมื่อบรรดาไกด์นำทัวร์โรงพยาบาลมักจะเห็นประตูเปิด ปิดเองอย่างช้าๆ แถมยังได้ยินเสียงปืนดังจากในห้องอีกด้วย และหลายครั้งที่ประตูจู่ๆก็ปิดแน่นเอง และจะเปิดออกเองทุกครั้งในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา
นอกจากนี้ยังมีเสียงคนวิ่งอยู่บนทางเดิบ้าง คนโดนผีอำบ้าง พัดลมบริเวณวอร์ดทีที่สามารถตอบคำถามได้ ถ้าถามคำถามเจ้าพัดลมใบพัดหนักๆจะตอบว่าใช่โดยหมุนไปทางขวา ไม่ใช่ก็จะหมุนไปด้านซ้าย
วอร์ดบริเวณชั้น4 ใช้เป็นที่พักของคนมาเยี่ยมสามารถมาพักได้ ห้องจะคล้ายๆหอพักตามมหาวิทยาลัย และยังเป็นที่พักของคนที่มีอาการติดเหล้าไม่รุนแรง หรือมีอาการทางจิตไม่มากนะ
แต่บริเวณชั้นนี้กลับสยองสุดๆที่ห้อง688เมื่อบรรดาไกด์นำทัวร์โรงพยาบาลมักจะเห็นประตูเปิด ปิดเองอย่างช้าๆ แถมยังได้ยินเสียงปืนดังจากในห้องอีกด้วย และหลายครั้งที่ประตูจู่ๆก็ปิดแน่นเอง และจะเปิดออกเองทุกครั้งในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา
นอกจากนี้ยังมีเสียงคนวิ่งอยู่บนทางเดิบ้าง คนโดนผีอำบ้าง พัดลมบริเวณวอร์ดทีที่สามารถตอบคำถามได้ ถ้าถามคำถามเจ้าพัดลมใบพัดหนักๆจะตอบว่าใช่โดยหมุนไปทางขวา ไม่ใช่ก็จะหมุนไปด้านซ้าย

พัดลมปริศนา โดยบริเวณชั้นนี้ไม่มีไฟมาหลายปีแล้ว

เปลี่ยนบรรยากาศมาดูด้านนอกเผื่อใครสนใจไปเจอผีฝรั่ง
ทางรายการGhost Adventuresบอกว่าหอนาฬิกาที่สูงกว่า200เมตรตั้งตระหง่านตอนรับผู้มาเยือน
ทุกคนที่มาที่นี้จะตื่นตะลึงกับขนาดที่ดินอันกว้างขว้างมาก
วิวตอนกลางคืนเห็นดาวระยิบระยับเลย
ทางรายการGhost Adventuresบอกว่าหอนาฬิกาที่สูงกว่า200เมตรตั้งตระหง่านตอนรับผู้มาเยือน
ทุกคนที่มาที่นี้จะตื่นตะลึงกับขนาดที่ดินอันกว้างขว้างมาก
วิวตอนกลางคืนเห็นดาวระยิบระยับเลย

มาอ่านอย่างจดจ่อ...
น้ำพุด้านหน้าที่ช่วงวันหยุด หรือ โอกาสพิเศษมันก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด หรือไม่ก็เขียวอื๋อไปเลย

มีคนด้วยเย้!
ตรงนี้เป็นทางเดินเชื่อมตึกเคิร์คไบร์ดกับห้องอาหาร ซึ่งน้อยคนนักจะรู้ว่ามีสุสานใต้ดินที่วกวนราวกับเขาวงกตอยู่ ใต้โรงพยาบาลแห่งนี้ ที่ไม่มีคนลงไปเพราะมีแร่ใยหินอยู่ น้ำใต้ดิน รวมถึงอาจเจอแขกไม่ได้รับเชิญด้วย
ตรงนี้เป็นทางเดินเชื่อมตึกเคิร์คไบร์ดกับห้องอาหาร ซึ่งน้อยคนนักจะรู้ว่ามีสุสานใต้ดินที่วกวนราวกับเขาวงกตอยู่ ใต้โรงพยาบาลแห่งนี้ ที่ไม่มีคนลงไปเพราะมีแร่ใยหินอยู่ น้ำใต้ดิน รวมถึงอาจเจอแขกไม่ได้รับเชิญด้วย

แปลากเว็บไหนเหรอคะ? เก่งจัง อยากหาเรื่องมาลงบ้าง
อาคารโรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งชื่อตามนักจิตวิทยาเคิร์คไบรด์ ความยาว1,296 ฟุต เป็นอาคาร4ชั้น พื้นที่ใ้ช้สอย9เอเคอร์มีหน้าต่าง921บาน ประตู906บาน
สังเกตไหมว่าโรงพยาบาลที่ใช้รักษาพวกป่วยทางจิตมักจะเฮี้ยนกว่าโรงพยาบาลทั่วๆไป
สังเกตไหมว่าโรงพยาบาลที่ใช้รักษาพวกป่วยทางจิตมักจะเฮี้ยนกว่าโรงพยาบาลทั่วๆไป

อันนี้จากเว็บรายการGhost Adventures ส่วนใหญ่หาจากกูเกิ้ลแล้วเลือกที่ๆน่าสนใจมา
หาในวิกิ+เว็บของสถานที่นั้น(ถ้าเป็นในกรณีเป็นที่เอกชนแล้วเขาเปิดให้เข้าชม) ในอเมริกาน่าจะเยอะเพราะเอกชนนำมาพัฒนาเป็นที่เที่ยว
หาในวิกิ+เว็บของสถานที่นั้น(ถ้าเป็นในกรณีเป็นที่เอกชนแล้วเขาเปิดให้เข้าชม) ในอเมริกาน่าจะเยอะเพราะเอกชนนำมาพัฒนาเป็นที่เที่ยว
ว้าว เห็นแล้วอดนึกถึงบ้านทรงไทยร้างๆแถวอยุธยาไม่ได้ เห็นแล้วขนลุก
อันนี้รูปโรงพยาบาลในยุค1920 ปัจจุบันกลับมาใช้ชื่อ Trans-Allegheny Lunatic Asylum

บันไดของตึกเคิร์คไบร์ดมีชื่อว่า "บันไดโลงศพ" เพราะตรงราวบันไดคล้างโลงศพ ซึ่งตรงนี้ลมจะพัดขึ้นมาได้

ส่วนที่เราคิดว่าแปลกมาก คือ ชุมชนเมืองเวสตัน จะมาใช้ห้องบอลรูมจัดงานเต้นรำ งานพรอม งานปีใหม่ งานนู้นงานนี่ตลอด ห้องนี้จะอยู่บริเวณชั้น3 นอกจากนี้ยังมีห้องฉายหนัง และห้องฟังเพลง
ชาวเมืองไม่ได้รังเกียจโรงพยาบาลแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะ ถือเป็นแหล่งพบปะ แหล่งงานขนาดใหญ่ของชาวเมือง มีรายงานว่าพอโรงพยาบาลปิดเศรษฐกิจของทางเมืองก็แย่ลง
นับว่าโรงพยาบาลแห่งนี้มีทุกอย่างจริงๆ ทุกวันนี้ที่แห่งนี้ก็ฟื้นเป็นแหล่งรวมของชาวเมืองอีกครั้ง ถือว่าช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ดีมาก
สภาพห้องไม้ผุมาก จนห้ามเข้าไป
ชาวเมืองไม่ได้รังเกียจโรงพยาบาลแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะ ถือเป็นแหล่งพบปะ แหล่งงานขนาดใหญ่ของชาวเมือง มีรายงานว่าพอโรงพยาบาลปิดเศรษฐกิจของทางเมืองก็แย่ลง
นับว่าโรงพยาบาลแห่งนี้มีทุกอย่างจริงๆ ทุกวันนี้ที่แห่งนี้ก็ฟื้นเป็นแหล่งรวมของชาวเมืองอีกครั้ง ถือว่าช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ดีมาก
สภาพห้องไม้ผุมาก จนห้ามเข้าไป

สภาพห้องที่ทรุดโทรมอย่างมากบริเวณชั้น2 ที่เคยใช้เป็นศูนย์รักษาผู้ป่วย เห็นห้องสี่เหลี่ยมธรรมดาๆแบบนี้ ที่นี่เคยใช้เป็นที่รักษาด้วยวิธีช็อตไฟฟ้า ผ่าตัดสมอง ใช้อินซูลิน ชำแหละสมองคนไข้ที่ตายแล้วเพื่อหาว่าทำโรคจิตเภทในแบบต่างๆนั้นมีที่มาอย่างไร

แก้ไขล่าสุด: 1/12/2553 21:47 โดย แว่นจัง
บริเวณนี้อยู่ตรงตึกเคิร์คไบร์ด ฝั่งที่เรียกว่าซิวิลวอร์ เป็นอีกที่ที่ไกด์บอกว่าจะโดนดึงผม เห็นหน้าโผล่มาทางหน้าต่าง หรือได้กลิ่นเหม็นเน่า
ที่เด็ดคือมีไกด์ที่อ้างว่าเคยเล่นบอลกับผีเด็กน้อยชื่อว่า "ลิลลี่"
ตามตำนานบ้างก็บอกว่าหนูน้อยเป็นเด็กที่ป่วยทางจิต จึงต้องมารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งนี้จนกระทั่งตาย
หรือบางตำนานก็ว่าหญิงสาวคนหนึ่งตัดสินใจขายตัวปรนเปรอทหารกลัดมัน หลายคนเห็นเธอเป็นเพียงเครื่องสนองตัณหา ประกอบกับสามีทิ้งเธอไปในช่วงสงครามกลางเมือง เธอจึงเป็นบ้าเมื่อที่ต้องทนกับความโหดร้ายและความผิดหวังจากผู้ชาย และตั้งท้องไม่มีพ่อ เธอคลอดหนูน้อยในโรงพยาบาลซึ่งไม่นานหนูลิลลี่ก็ตายหลังจากลืมตาดูโลกไม่กี่ชั่วโมง
ไม่ว่าที่มาจะเป็นเช่นไร หนูน้อยจะชอบหาเพื่อนเล่น กินอมยิ้ม ขนมหวาน ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นเด็ก3ขวบ ทั้งๆที่ตอนตายยังเป็นเด็กทารก เสียงหัวเราะเด็กจะได้ยินเป็นครั้งคราว
ที่เด็ดคือมีไกด์ที่อ้างว่าเคยเล่นบอลกับผีเด็กน้อยชื่อว่า "ลิลลี่"
ตามตำนานบ้างก็บอกว่าหนูน้อยเป็นเด็กที่ป่วยทางจิต จึงต้องมารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งนี้จนกระทั่งตาย
หรือบางตำนานก็ว่าหญิงสาวคนหนึ่งตัดสินใจขายตัวปรนเปรอทหารกลัดมัน หลายคนเห็นเธอเป็นเพียงเครื่องสนองตัณหา ประกอบกับสามีทิ้งเธอไปในช่วงสงครามกลางเมือง เธอจึงเป็นบ้าเมื่อที่ต้องทนกับความโหดร้ายและความผิดหวังจากผู้ชาย และตั้งท้องไม่มีพ่อ เธอคลอดหนูน้อยในโรงพยาบาลซึ่งไม่นานหนูลิลลี่ก็ตายหลังจากลืมตาดูโลกไม่กี่ชั่วโมง
ไม่ว่าที่มาจะเป็นเช่นไร หนูน้อยจะชอบหาเพื่อนเล่น กินอมยิ้ม ขนมหวาน ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นเด็ก3ขวบ ทั้งๆที่ตอนตายยังเป็นเด็กทารก เสียงหัวเราะเด็กจะได้ยินเป็นครั้งคราว

ทางเดินแห่งรัก
ไม่ใช่เป็นบริเวณที่มีคู่รักมาฆ่าตัวตายแต่อย่างใด บริเวณนี้จู่ๆมีคำว่า Love ตัวใหญ่ๆเขียนอยู่จางๆบนพื้นกระเบื้อง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทีมงานซ่อมแซมแน่ใจว่าไม่มีแน่ๆ
จนไม่มีใครกล้าเดินมาบริเวณนี้คนเดียวไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
ไม่ใช่เป็นบริเวณที่มีคู่รักมาฆ่าตัวตายแต่อย่างใด บริเวณนี้จู่ๆมีคำว่า Love ตัวใหญ่ๆเขียนอยู่จางๆบนพื้นกระเบื้อง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทีมงานซ่อมแซมแน่ใจว่าไม่มีแน่ๆ
จนไม่มีใครกล้าเดินมาบริเวณนี้คนเดียวไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน

จากมุมสูงจะเห็นตึกตรงกลางคือ เคิร์คไบร์ด ด้านใต้ติดขอบรูปเป็นตึกรักษาผู้ป่วยวัณโรค ตึกด้านหลังเป็นตึกดูแลผู้ป่วยชราที่มีอาการอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อม
ตึสีเทาหลังสุดใช้เป็นตึกฟอเรนซิค ที่อยู่ของอาชญกรที่มีอาการทางจิต
ในยุค1930 สนามแห่งนี้ใช้เป็นสนามแข่งฟุตบอลของโรงเรียนมัธยมปลายประจำเมือง ในปัจจุบันยังใช้เล่นฟุตบอลและซอฟท์บอลอยู่
ตึสีเทาหลังสุดใช้เป็นตึกฟอเรนซิค ที่อยู่ของอาชญกรที่มีอาการทางจิต
ในยุค1930 สนามแห่งนี้ใช้เป็นสนามแข่งฟุตบอลของโรงเรียนมัธยมปลายประจำเมือง ในปัจจุบันยังใช้เล่นฟุตบอลและซอฟท์บอลอยู่

จะเห็นว่าตัวเมืองติดกับโรงพยาบาลเลย

โรงพยาบา่ลแห่งนี้นอกจากจะเกิดขึ้นจากแนวความคิดของโทมัส เคิร์คไบร์ด นักจิตวิทยาชื่อดังและนักทำกิจกรรมเพื่อสังคมโดโรเธียดิกซ์ซึ่งทั้งสองคนเห็นว่าผู้ป่วยทางจิตเภทหลายคนต้องถูกทารุณกรรมด้วยวิธีต่างๆอย่างเวทนา หลายคนถูกจับขังคุกโดนทุบตีจากคนปกติอย่างโหดเหี้ยมทั้งหมด เิกิดจากความไม่รู้ การขาดยารักษา
ทั้ง2คนจึงปรึกษากันที่จะสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางรักษาอาการทางจิตขึ้น ซึ่งมีโรงพยาบาลหลายแห่งที่สร้างขึ้นจากความช่วยเหลือของบุคคลทั้งสอง นอกจากความหลอนแล้ว ที่แห่งนี้ให้อะไรเยอมากจริงๆ
บั้นปลายชีวิตของโดโรเธียเธอมีอาการจิตเภทต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เธอร่วมก่อตั้งมา ต่อมาทางรัฐนิวเจอร์ซีย์จึงจัดห้องชุดให้เธออยู่พร้อมกับมีพยาบาลคอยดูแล และเสียชีวิตลงที่นั้น
ทั้ง2คนจึงปรึกษากันที่จะสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางรักษาอาการทางจิตขึ้น ซึ่งมีโรงพยาบาลหลายแห่งที่สร้างขึ้นจากความช่วยเหลือของบุคคลทั้งสอง นอกจากความหลอนแล้ว ที่แห่งนี้ให้อะไรเยอมากจริงๆ
บั้นปลายชีวิตของโดโรเธียเธอมีอาการจิตเภทต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เธอร่วมก่อตั้งมา ต่อมาทางรัฐนิวเจอร์ซีย์จึงจัดห้องชุดให้เธออยู่พร้อมกับมีพยาบาลคอยดูแล และเสียชีวิตลงที่นั้น

ห้องgเปลหามบริเวณวอร์ด1 ห้อง307 ที่มีเรื่องเล่าว่ามีผู้หญิงถูกดึงเข้าห้องดังกล่าวแล้วถูกโยนกระแทกกำแพง ห้อยติดกับกำแพง จนต้องใช้คนสองคนมาช่วยเธอ
และยังได้ยินเปลดังกุกกักๆย้ายที่ไปมาเอง
และยังได้ยินเปลดังกุกกักๆย้ายที่ไปมาเอง

ถ้าพูดถึงสุสานใต้ดินหรือ catacomb ที่มีชื่อเสียงก็คือที่โรม อิตาลี
แต่วันนี้จะพาไปดูอีกแห่งหนึ่งใกล้ๆกัน คือที่กรุง ปารีส ประเทศฝรั่งเศสกัน สุสานใต้ดินแห่งนี้มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า
"Catacombes de Paris" หรือเป็นไทยๆคือสุสานใต้ดินแห่งปารีส สถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บโครงกระดูกของผู้วายชนม์ไว้
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่เคยเป็นประเมืองมาก่อนมีชื่อว่า Barrière d'Enfer (ประตูแห่งนรก)ต่อมาเปลี่ยนชื่อให้ดูน่ากลัวน้อยลงโดยเรียกใหม่ว่า "Place Denfert-Rochereau" ซึ่งมาจากชื่อวีรบุรุษสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย โดยนามสกุลท่านจะอ่านออกเสียงคล้ายคำว่านรกในชื่อเดิมของสถานที่ด้วย นับเป็นความบังเอิญในเรื่องชื่อและการเล่นคำจริงๆ (DenfertกับD'enfer)
ชื่อเล่นของท่าน คือ "The Lion of Belfort" สิงโตแห่งเบลฟอร์ท ดังนั้นบริเวณนั้นจะมีรูปสิงโตตั้งอยู่ด้วย
แต่วันนี้จะพาไปดูอีกแห่งหนึ่งใกล้ๆกัน คือที่กรุง ปารีส ประเทศฝรั่งเศสกัน สุสานใต้ดินแห่งนี้มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า
"Catacombes de Paris" หรือเป็นไทยๆคือสุสานใต้ดินแห่งปารีส สถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บโครงกระดูกของผู้วายชนม์ไว้
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่เคยเป็นประเมืองมาก่อนมีชื่อว่า Barrière d'Enfer (ประตูแห่งนรก)ต่อมาเปลี่ยนชื่อให้ดูน่ากลัวน้อยลงโดยเรียกใหม่ว่า "Place Denfert-Rochereau" ซึ่งมาจากชื่อวีรบุรุษสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย โดยนามสกุลท่านจะอ่านออกเสียงคล้ายคำว่านรกในชื่อเดิมของสถานที่ด้วย นับเป็นความบังเอิญในเรื่องชื่อและการเล่นคำจริงๆ (DenfertกับD'enfer)
ชื่อเล่นของท่าน คือ "The Lion of Belfort" สิงโตแห่งเบลฟอร์ท ดังนั้นบริเวณนั้นจะมีรูปสิงโตตั้งอยู่ด้วย

แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 09:41 โดย แว่นจัง
กลับมาแล้ว
อยากบอกว่า
แว่น ฟิตมากกกกกกกก
รักษาสุขภาพด้วยนะ
อยากบอกว่า
แว่น ฟิตมากกกกกกกก
รักษาสุขภาพด้วยนะ
นอกเรื่อง ใครเคยฟังวงphobiaอัลบั้มReturn to desolationบ้าง จำไม่ได้ว่าถ่ายมาจากที่ไหน

ส่วนชื่อที่ทางการตั้งให้ก็คือ l'Ossuaire Municipal (the Municipal Ossuary)ประมาณที่เก็บโครงกระดูกของเทศบาล ตัวสุสานใต้ดินมีขนาดเล็กเท่านั้นโดยอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเหมืองใต้กรุงปารีส แต่คนส่วนใหญ่จะเรียกเหมืองหินและที่เก็บกระดูกรวมๆกันว่าสุสานใต้ดินเสียมากกว่า
ที่มาของสุสานใต้ดินมหานครปารีสนั้นย้อนกลับไปถึงสมัยโรมันเห็นจะได้ โดยสมัยโรมันจะมีการฝังคนตายไว้ชานเมือง แต่พอศาสนาคริสต์รุ่งเรืองแนวคิดฝังศพก็เปลี่ยนไปฝังใกล้โบสถ์แทน
จนกระทั่งสมัยศตวรรษที่10 ประชากรในปารีสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนตายก็มากขึ้น สุสานที่มีอยู่ก็แออัด สุสานของโบสถ์ที่จำกัด มีแต่คนฐานะดีเท่านั้นที่สามารถยอมจ่ายเงินเพื่อให้ฟังศพในบริเวณโบสถ์ได้
จนกระทั่งศตวรรษที่12จึงมีการตั้งสุสานตรงเขตเล อาลส์(Les Halles)ให้คนทั่วไปมาใช้บริการได้โดยเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "Saints Innocents Cemetery" ในปัจจุบันเขตดังกล่าวคนเยอะมาก
ชาวบ้านทั่วไปไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากย่อมมีมากกว่าคนรวย จำนวนคนตายเริ่มเยอะขึ้นเมื่อส่วนหนึ่งของสุสานเต็มจะมีการฝังกลบ แล้วฝังผู้มาใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนคนใดพอมีเงินหน่อยจะฝังมาพร้อมกับโลง ก็จะเอาโลงนำกลับมาใช้ใหม่
ที่น่าสยองและชวนอ้วก คือ เวลาฝังคนตายจะมีพวกสิ่งของเน่าเสียจากร่างกายเวลาเข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย และมีการใช้ปูนขาวเพื่อให้ร่างกายเน่าเร็วขึ้นเพื่อสะดวกในการฝังศพต่อไป ผลลัพธ์จากการใช้ปูนขาวของเสียจากร่างกายคนตายก็ซึมลงดินไปปินอยู่กับแหล่งน้ำใต้ดินที่ชาวบ้านใช้
จนกระทั่งศตวรรษที่17 สุขอนามัยบริเวณสุสานนั้นแย่มาก แต่ทางเทศบาลไม่ได้ใส่ใจเนื่องจากสุสานแห่งนี้เป็นที่ต้องการฝังของชาวบ้านอีกทั้งยังทำเงินได้มหาศาล แม้ว่าสุสานจะมีจำนวนคนตายล้นทะลักก็มีการนำร่างคนตายที่เน่าเปื่อยหรือแต่โครง ออกมาอัดทั้งสี่ด้านของสุสานเพื่อให้ฝังลงไปใหม่ได้ แล้วก็ทำเช่นี้ไปเรื่อยๆ
ภายในสุสาน ของแท้ทั้งนั้น
ที่มาของสุสานใต้ดินมหานครปารีสนั้นย้อนกลับไปถึงสมัยโรมันเห็นจะได้ โดยสมัยโรมันจะมีการฝังคนตายไว้ชานเมือง แต่พอศาสนาคริสต์รุ่งเรืองแนวคิดฝังศพก็เปลี่ยนไปฝังใกล้โบสถ์แทน
จนกระทั่งสมัยศตวรรษที่10 ประชากรในปารีสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนตายก็มากขึ้น สุสานที่มีอยู่ก็แออัด สุสานของโบสถ์ที่จำกัด มีแต่คนฐานะดีเท่านั้นที่สามารถยอมจ่ายเงินเพื่อให้ฟังศพในบริเวณโบสถ์ได้
จนกระทั่งศตวรรษที่12จึงมีการตั้งสุสานตรงเขตเล อาลส์(Les Halles)ให้คนทั่วไปมาใช้บริการได้โดยเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "Saints Innocents Cemetery" ในปัจจุบันเขตดังกล่าวคนเยอะมาก
ชาวบ้านทั่วไปไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากย่อมมีมากกว่าคนรวย จำนวนคนตายเริ่มเยอะขึ้นเมื่อส่วนหนึ่งของสุสานเต็มจะมีการฝังกลบ แล้วฝังผู้มาใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนคนใดพอมีเงินหน่อยจะฝังมาพร้อมกับโลง ก็จะเอาโลงนำกลับมาใช้ใหม่
ที่น่าสยองและชวนอ้วก คือ เวลาฝังคนตายจะมีพวกสิ่งของเน่าเสียจากร่างกายเวลาเข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย และมีการใช้ปูนขาวเพื่อให้ร่างกายเน่าเร็วขึ้นเพื่อสะดวกในการฝังศพต่อไป ผลลัพธ์จากการใช้ปูนขาวของเสียจากร่างกายคนตายก็ซึมลงดินไปปินอยู่กับแหล่งน้ำใต้ดินที่ชาวบ้านใช้
จนกระทั่งศตวรรษที่17 สุขอนามัยบริเวณสุสานนั้นแย่มาก แต่ทางเทศบาลไม่ได้ใส่ใจเนื่องจากสุสานแห่งนี้เป็นที่ต้องการฝังของชาวบ้านอีกทั้งยังทำเงินได้มหาศาล แม้ว่าสุสานจะมีจำนวนคนตายล้นทะลักก็มีการนำร่างคนตายที่เน่าเปื่อยหรือแต่โครง ออกมาอัดทั้งสี่ด้านของสุสานเพื่อให้ฝังลงไปใหม่ได้ แล้วก็ทำเช่นี้ไปเรื่อยๆ
ภายในสุสาน ของแท้ทั้งนั้น

น่าไปมากกกกกกกกกกกกกอะ สวยด้วย
แล้วผีฝรั่งนี้เราไม่กลัวหรอก เพราะฟังไม่ออก 555
แล้วผีฝรั่งนี้เราไม่กลัวหรอก เพราะฟังไม่ออก 555
ความหนาแน่นก็ยังทวีขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งศตวรรษที่18 มีการตัดสินใจย้ายสุสานไปเขตรอบนอกเมือง และช่วงต้นศตวรรษที่19มีการตั้งสุสานอยู่4ทิศรอบนอกเมืองปารีส
ส่วนที่ฝังใต้ดินนั้น เกิดจากรัฐบาลจนปัญญาไม่รู้จะหาที่ดินบริเวณไหนมาฝังศพเพิ่มให้รองรับกับพื้นที่ของเขตเมืองที่ขยายออกไป อเล็กซซอง เลอนัวร์นักโบราณคดีจึง เสนอให้ใช้อุโมงค์ใต้ดินที่ว่างอยู่โดยมีเหมืองเก่าไม่ได้ใช้อยู่บริเวณประตูเมืองทางใต้ของปารีส จึงเริ่มฝังศพใต้ดินตั้งแต่ปี1786เป็นต้นมา
โดยผู้ตรวจการเหมืองCharles-Axel Guillaumotให้ขุดดินและฟังกระดูกเข้าไปเป็นกำแพง ดังรูปที่เห็น
มีสมาชิกคลับอยู่ฝรั่งเศสเห็นว่าถ้าเขาว่างคงได้ไปดู
ส่วนที่ฝังใต้ดินนั้น เกิดจากรัฐบาลจนปัญญาไม่รู้จะหาที่ดินบริเวณไหนมาฝังศพเพิ่มให้รองรับกับพื้นที่ของเขตเมืองที่ขยายออกไป อเล็กซซอง เลอนัวร์นักโบราณคดีจึง เสนอให้ใช้อุโมงค์ใต้ดินที่ว่างอยู่โดยมีเหมืองเก่าไม่ได้ใช้อยู่บริเวณประตูเมืองทางใต้ของปารีส จึงเริ่มฝังศพใต้ดินตั้งแต่ปี1786เป็นต้นมา
โดยผู้ตรวจการเหมืองCharles-Axel Guillaumotให้ขุดดินและฟังกระดูกเข้าไปเป็นกำแพง ดังรูปที่เห็น
มีสมาชิกคลับอยู่ฝรั่งเศสเห็นว่าถ้าเขาว่างคงได้ไปดู

แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 10:34 โดย แว่นจัง
หลังจากนั้นผู้ตรวจการเหมืองคนถัดมาต้องการจัดสุสานให้ดูสวยงามขึ้นจึงนำกระดูก และกระดูกโคนขามาจัดเรียงใหม่พร้อมมีเครื่องประดับตกแต่งสุสานใต้ดิน ซึ่งบางส่วนหายไปตอนปฎิวัติฝรั่งเศปี1789 และผลงานก็ออกมาสวยสยองแบบที่เห็นในยุคนี้แหละ

อันนี้รายละเอียดของสุสานสำหรับสมาชิกเอาไว้ตัดสินใจก่อนไปสัมผัสศิลปะแห่งความตายใจกลางกรุงปารีส
ทางเข้าของสุสานแห่งนี้อยู่ตรงประตูเมืองเก่า ที่เรียกว่า"Place Denfert-Rochereau"(เป็นสถานีรถไฟอยู่)เดินลงบันวนหินไปสู่ความลึก19เมตร เดินไปเรื่อยๆจนเจอบริเวณที่ผู้ตรวจการเหมืองหินได้สั่งให้มีรูปป้อมPort-Mahon จำลองไว้ โดยตัวสุสานแห่งนี้มีร่างของชาวปารีสราวๆ6ล้านคน โดยยกเลิกการฝังที่นี้ในศควรรษที่19 เนื่องด้วยปัญหาด้านความสะอาด
ตรงทางเข้าตัวสุสานจะมีประตูจารึกไว้ว่า "Arrete, c'est ici l'empire de la Mort" จงหยุด ที่แห่งนี้คือาณาจักรแห่งความตาย
ทางเข้าของสุสานแห่งนี้อยู่ตรงประตูเมืองเก่า ที่เรียกว่า"Place Denfert-Rochereau"(เป็นสถานีรถไฟอยู่)เดินลงบันวนหินไปสู่ความลึก19เมตร เดินไปเรื่อยๆจนเจอบริเวณที่ผู้ตรวจการเหมืองหินได้สั่งให้มีรูปป้อมPort-Mahon จำลองไว้ โดยตัวสุสานแห่งนี้มีร่างของชาวปารีสราวๆ6ล้านคน โดยยกเลิกการฝังที่นี้ในศควรรษที่19 เนื่องด้วยปัญหาด้านความสะอาด
ตรงทางเข้าตัวสุสานจะมีประตูจารึกไว้ว่า "Arrete, c'est ici l'empire de la Mort" จงหยุด ที่แห่งนี้คือาณาจักรแห่งความตาย

แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 10:59 โดย แว่นจัง
จะมีศิลปะกราฟิตี้ งานศิลปะของผู้ตรวจการเหมือง
อันนี้เป็นรายละเอียดยิบของตัวสุสาน
http://www.carrieres.explographies.com/indexus.htm
ความยาวกว่า185ไมล์ จะได้พบกับกระดูก กระโหลก ตลอดทางจนกว่าจะได้กลับขึ้นไปบนพื้นดินอีกครั้ง
อันนี้เป็นรายละเอียดยิบของตัวสุสาน
http://www.carrieres.explographies.com/indexus.htm
ความยาวกว่า185ไมล์ จะได้พบกับกระดูก กระโหลก ตลอดทางจนกว่าจะได้กลับขึ้นไปบนพื้นดินอีกครั้ง

แผนที่

อันนี้ก็สวย

ส่วนเรื่องสยองมีหรอ จะไม่มีมาฝาก อันนี้น่าจะเรื่องจริงเมื่อปี1986 มีผู้หญิง5คนไปสำรวจที่แห่งนี้กันไปเจอชายหนีจากโรงพยาบาลจิตเวช ซึงชายลึกลับข่มขืนสาวผู้โชคร้ายทั้งห้าและฆ่าทิ้งก่อนเขียนประโยคทิ้งไว้บนกำแพงว่า
"ฉันจะรอแก"หลังจายหายตัวไป3วัน เพื่อนๆและครอบครัวของเหยื่อแจ้งตำรวจและพบศพถูกจัดให้นอนเป็นวงกลม
ส่วนตำรวจก็ลงไปสืบคดี...ไม่นานหลังจากนั้นก็พบศพตำรวจอีก6นาย เสียชีวิตในระดับความลึก230ฟุตจากระดับถนน
แต่ไม่มีใครเจอชายโรคจิตคนนั้นอีกเลย
มาดูคลิปรายการScariest Place on Earthดีกว่า หลอนมากก
"ฉันจะรอแก"หลังจายหายตัวไป3วัน เพื่อนๆและครอบครัวของเหยื่อแจ้งตำรวจและพบศพถูกจัดให้นอนเป็นวงกลม
ส่วนตำรวจก็ลงไปสืบคดี...ไม่นานหลังจากนั้นก็พบศพตำรวจอีก6นาย เสียชีวิตในระดับความลึก230ฟุตจากระดับถนน
แต่ไม่มีใครเจอชายโรคจิตคนนั้นอีกเลย
มาดูคลิปรายการScariest Place on Earthดีกว่า หลอนมากก
แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 11:11 โดย แว่นจัง
มีหนังด้วย ไม่รู้สร้างมากเหตุการณ์จริงหรือเปล่า
วู้วๆๆ อยากดูต่อๆ
แก้ไขล่าสุด: 2/12/2553 17:51 โดย horrorfever
ขอบคุณครับ จะมีโอกาสได้ผ่านไปบ้างแต่ละสถานที่ไหมนะ อิอิ
ขอบคุณค่า
สนุกๆๆ :D
สนุกๆๆ :D
ขอบคุณค่ะ อ่านเพลินมากๆ ๆ ๆเลยยย
การรักษาแบบ Lobotomy นึกถึงหนัง Sucker Punch เลยยยยยย
สนุกมากครับ
Function Used time : 0:00:00:00.016