{กระทู้พาเที่ยวสถานที่สุดหลอน} Haunted Places Project :: ตอนไปเที่ยวโรงพยาบาลจิตเวชกัน ::   Share

เอามาลงเผื่อคนไม่ได้เล่นFB

มันไม่มีเหตุผลเมื่อบุคคลหนึ่งโชคร้ายกลายเป็นบุคคลวิกลจริตและต้องถูกลิดรอนความสะดวกสบายต่างๆ หรือแม้กระทั่งความหรูหรา--------------โทมัส เคิร์กไบร์ด

ในยุค สมัยปัจจุบันถ้าพูดถึงความเครียด คนบ้า โรคประสาท จิตหลอน ต่างๆ ก็ต้องไปโรงพยบาลศรีธัญญา หรือ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา(หลังคาแดง) ยิ่งในยุคนี้ความเครียดยิ่งถาโถม แต่ก็ยังดีที่มีโรงพยบาลเข้ามารักษา หรือ วิธีบำบัดใหม่ๆออกมามามาย

ทว่าเมื่อยุคก่อนศตวรรษที่ 19 หรือช่วงปี1800-1899 โรคเรื้อรังที่ไม่มีวิธีรักษาหรือทุเลาอาการในยุคนั้น เช่น มีอการทางจิต ดาวนซินโดรม พัฒนาการช้า ออทิสติก หอบหืด ภูมิแพ้ วัณโรค จะถูกจับเข้าโรงพยาบาล หรือ เรียกในยุคศตวรรษที่ 20 ให้ดูไม่น่าสยองหน่อยว่า สถานพักฟื้น หนักหน่อยอาจะเป็นคนไข้ที่เป็นดาวนซินโดรม ออทิสติก หรือป่วยทางจิต หลายชีวิตถูกกังขังในบ้าน หรือ ในคุก หรือ ในสถานที่ของรัฐ โดยไม่ได้รับการเยียวยาและเหลียวแลแม้กระทั่งจากครอบครัว

แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะดูรายการGhost Adventures ที่พาไปดูทั้งสถานพักฟื้นเวฟเวอร์ลี่ ฮิล ในเคนตักกี้ โรงพยาบาลจิตเวชTrans- Alleghenyถึงขั้นตะลึงว่า100ปีที่แล้ว โรงพยาบาลอะไรมันสร้างได้ใหญ่มากที่เป็นร้อยไร่ มีฟาร์ม ด้วย แถมเป็นสถาปัตยกรรมในรูปแบบวิคตอเรียน ซึ่งดูยังไงก็ดูเหมือนคฤหาสถ์ผีสิงชัดๆ สังเกตว่าโรงพยาบาลจิตเวชของไทยไม่ได้สร้างในรูปแบบบ้านไม้สัก ล้านนา รูปแบบภาคกลาง ก็สร้างเป็นตึกธรรมดาชั้นเดียวก่อนจะหาทุนค่อยๆขยายไป ทำไมถึงต่างกัน หลังจากหาข้อมูลก็ทราบว่าโรงพยาบาลจิตเวช หรือ โรงพยาบาลบ้า ในแถบอเมริกาสร้างจากKirkbride Plan หรือ แผนผังของคุณหมอโทมัส เคิร์คไบร์ด


รูปคุณหมอ โทมัส เคิร์กไบร์ดและอาคารแบบเคิร์กไบร์ด

ความคิดเห็นที่ 1

ตึกเพื่อการฟื้นฟูจิตใจ

จุดเริ่มต้นของ โรงพยาบาลจิตเวชในสหรัฐอเมริกานั้น เริ่มมาจากการที่ผู้ป่วยทางจิตเวชหรืออาการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับด้านสมอง มักจะถูกล่ามโซ่อยู่ในคุกบ้าง อยู่บ้านสงเคราะห์คนยากจนบ้าง ซึ่งจำนวนผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อยๆจนแน่นขนัด คุณหมอเคิร์กไบร์ดต้องการย้ายคนป่วยตามรัฐต่างๆให้มีอยู่ในสถานที่ที่เหมาะ สมในการฟื้นฟูสภาพจิตใจ แน่นอนว่างานช้างย่อมทำคนเดียวไม่ไหว คุณหมอโชคดีที่ได้พบกับโดโรเธีย ดิกซ์ นักปฏิรูปสังคม เธอได้ทำงานช่วยเหลือคนด้อยโอกาสอยู่แล้วจนได้เห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวและ แสนหดหู่ของผู้ป่วยที่โดนขังคุกอยู่ที่แมสซาชูเชส จนเธอเดินหน้าโน้มน้าวฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐดังกล่าวในการปรับปรุงสภาพความ เป็นอยู่ของผู้ป่วยจิตเวชให้ดียิ่งขึ้น และเธอไม่หยุดเท่านั้น ยังมีการเดินสายไปทั่วอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ซึ่งทำให้เธอเจอสภาพที่ไม่แตกต่างกันอย่างมากมาย จนได้ข้อมูลมาและทำงานร่วมกับคุณหมอเคิร์กไบร์ด ในที่สุดโรงพยาบาลจิตเวชของรัฐที่สร้างด้วยแผนผังเคิร์กไบร์ดก็เกิดขึ้น ครั้งแรกในอเมริกา นั้นคือ โรงพยาบาลแห่งรัฐนิว เจอร์ซีย์ ตั้งอยู่ที่เมืองเทรนตัน



คุณหมอได้เขียนแผนผังที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดคนไข้ไว้ในบทความของเขาที่ได้ รับการตีพิมพ์ โดยกล่าวถึงว่าให้คนไข้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ สภาพแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ โดยโรงพยาบาลจิตเวชในแบบของคุณหมอโทมัส เคิร์กไบร์ด จะเป็นสถานที่แยกออกจากเหตุที่อาจทำให้ป่วยทางจิต รวมถึงการบำบัดอาการด้วยวิธีต่างๆ ทั้งหมดล้วนทำขึ้นเพื่อผู้ป่วยทางจิตเวชให้คุณภาพชีวิตและจิตใจของพวกเขาดี ขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลต่อคุณภาพสังคมด้วย งานเขียนดังกล่าวยังมีแผนผังอาคารที่คุณหมอว่าเป็นองค์ประกอบของสภาพแวดล้อม สำคัญอย่างยิ่งด้วย แผนทั้งหมดนี้จึงได้ถูกขนานนามว่า "Kirkbride Plan"

โดโรเธีย ดิกซ์ นักปฏิรูปสังคมเพื่อร่วมกับคุณหมอเพื่อสร้างโรงพยาบาลจิตเวช

ความคิดเห็นที่ 2

ในช่วงที่มีการวางแผนและเก็บข้อมูลเพื่อสร้างโรงพยาบาลของรัฐขึ้น คุณหมอโทมัส เคิร์กไบร์ดสนใจในวิธีการักษาที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรม คือ ไม่มีการล่ามโซ่คนไข้ ไม่มีการใช้ความรุนแรงกับคนไข้ ในอาคารที่เป็นที่พักอาศัย อาการต้องถ่ายเทสะดวก แสงแดดส่องถึง แบ่งเป็นโซนตามอาการของคนไข้ และมีการดูแลทั่วถึงทุกโซน คุณหมอจึงเห็นว่า สิ่งก่อสร้างนั้นส่งผลต่อจิตใจคนไข้อย่างมาก หลายคนที่ครอบครัวละทิ้ง หลายคนที่ต้องจากบ้านมารักษาอาการ การสร้างโรงพยาบาลในแบบคุณหมอจึงคำนึงถึงบรรยากาศคล้ายอยู่บ้าน และตามแผน คือ แบ่งอาคารออกเป็น2ปีก คือปีกซ้าย และขวา บางคนจึงเรียกว่า อาคารทรงค้างคาว โดยให้ผู้ป่วยเพศหญิงและชายอยู่คนละปีกกัน ถือว่าเป็นการวางระบบที่ก้าวหน้ามากขึ้น

แผนผังเคิร์กไบร์ดหรืออาจเรียกเป็นแผนผังเส้นตรง หรือ ทรงค้างคาวย่อมได้

ความคิดเห็นที่ 3

แต่ละปีกจะเป็นคนไข้เป็นวอร์ด ส่วนคนไข้ที่มีอาการ"ตื่นเต้น" กว่าคนไข้ทั่วไป (อาการตื่นเต้นในที่นี่ คือ อาจอาละวาดหนัก ส่งเสียงรบกวน คนไข้อื่นๆ ) จะอยู่ในส่วนที่ไกลจากห้องอำนวยการมากที่สุด และอยู่ในชั้นล่างๆ ส่วนคนไข้ที่มีความประพฤติดี พูดจารู้เรื่องจะอยู่ชั้นบน ใกล้ห้องอำนวยการเข้ามาหน่อย สถานที่ตั้งเห็นได้ชัดว่าอาคารใหญ่โตขนานี้สร้างในเขตเมืองไม่ได้อย่างแน่ แท้ ถึงแม้จะ100กว่าปีก็ตามที่ ดังนั้นโรงพยาบาลจึงแยกออกไปสร้างบริเวณนอกเมือง เนื่องจากเชื่อกันว่าควรแยกคนไข้ออกจากความสับสนวุ่นวายของสังคมเมือง พื้นที่ที่กว้างขว้างนั้นแบ่งออกเป็น ส่วนที่เป็นสวนไว้พักผ่อนหย่อนใจ ส่วนเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ที่ให้คนไข้ช่วยทำงานได้ ซึ่งทั้งหมดเชื่อว่าการที่คนไข้ได้อยู่กับธรรมชาติจะส่วนบรรเทาอาการได้ และการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์นั้นเป็นการใช้ระบบพอเพียง เพื่อทางรัฐจะได้ไม่ต้องเสียเงินกับค่าใช้จ่ายส่วนนี้มากนัก เท่าที่ไล่อ่านประวัติของโรงพยาบาลแบบเคิร์กไบร์ด ปลูกเองกินเองในโรงพยาบาล ถ้าเหลือก็จะนำไปขายในชุมชนใกล้ๆบางแห่งผลิตไฟเองได้ และเป็นแหล่งงานสำคัญให้แก่คนในชุมชนละแวกนั้นอีกด้วย ถึงขนาดบางแห่งมีการจัดงานออกร้านของโรงพยาบาล นำงานฝีมือคนไข้ออกขาย และชุมชนมายืมพื้นที่โรงพยาบาล จัดงานโรงเรียน งานพรอม ฝึกซ้อมกีฬาได้อีกต่างหาก

แผนผังอาคารอีกแบบ ยังไงก็เน้นใหญ่ และมีปีกไว้ก่อน

ความคิดเห็นที่ 4

ในช่วงยุคศตวรรษที่19 ระบบของคุณหมอเป็นต้นแบบของโรงพยาบาลสำหรับคนไข้จิตเวชและโรคอื่นๆที่ไม่มี ยาในช่วงนั้นมากนอกจากสร้างในอเมริกาแล้วที่แคนาดาบางแห่งก็มีการนำระบบนี้ ไปใช้ด้วย โรงพยาบาลในระบบKirkbrideเริ่มสร้างครั้งแรกคศ1847 จนกระทั่งหลังสงครามกลางเมืองในอเมริกาจำนวนผู้ป่วยก็เพิ่มสูงขึ้นจนโรง พยาบาลของแต่ละรัฐที่รับรักษามีปริมาณคนไข้ที่เกินความจุ สาเหตุจาก คนที่กลับมาจากสงครามก็เริ่มมีปัญหาทางจิต และสมัยนั้นการวินิจฉัยหรือเข้าใจถึงสาเหตุการเกิดอาการต่างๆนั้นยังไม่ดีพอ จึงทำให้หลายโรงพยาบาลเริ่มรับภาระไม่ไหว

Trans-Allegheny Lunatic Asylum หรือ West Virginia Hospital for The Insane ที่เมืองเวสตัน รัฐ เวสต์ เวอร์จิเนีย ก่อสร้างเมื่อปี1863

ความคิดเห็นที่ 5

ศตวรรษที่ 20

หลังจากเริ่มเข้าปี1900เป็นต้นมา เกือบ50ปีที่มีโรงพยาบาลในแบบของคุณหมอ โทมัส เคิร์กไบร์ดสร้างขึ้น จากการจุดประกายของคนสองคน คือ คุณหมอ และโดโรเธีย ดิกซ์ ผู้ซึ่งสุดท้ายก็ต้องใช้บริการโรงพยาบาลจิตเวชแห่งรัฐนิว เจอร์ซีย์ที่เธอร่วมก่อตั้ง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ทฤษฎีที่ว่าอาคารส่งผลต่อจิตสภาวะคนไข้ในแบบแผนเคิร์กไบร์ดที่ครั้งหนึ่ง เป็นที่นิยมมากเริ่มเสื่อมความนิยมลง ด้วยสาเหตุหลักๆ คือ ขนาดของโรงพยาบาลที่ใหญ่จนไม่สามารถหาเงินมูลค่ามหาศาลมาซ่อมแซมบูรณะอาคาร ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ตลอด อีกทั้งการใ้ช้ยา การรักษาแบบจิตวิเคราะห์ การบำบัดแบบกลุ่ม การรักษากับหมอโดยตรงโดยไม่ต้องอยู่โรงพยาบาล รวทั้งการปรับให้โรงพยาบาลมีขนาดเล็กลง หรือสร้างในแบบอื่นเช่น ที่คล้ายบ้านมากกว่าตึกทรงมโหฬารสไตล์โกธิค ทิวดอร์ วิคตอเรียน (ส่วนตัวคิดว่าเป็นทรงที่ดูน่าสะพรึงกลัวกว่ามาก) จนกระทั่งโรงพยาบาลจิตเวชหลายแห่งมีภาพลักษณ์ภายนอกที่เหมือนโรงพยาบาลทั่ว ไป ตอนนี้โรงพยาบาลแบบเคิร์กไบร์ดหลายแห่งส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้าง เพราะทางรัฐไม่มีเงินทุกพอที่จะบูรณะ บางแห่งถูกทุบทิ้ง บางแห่งก็ยังมีใช้งานอยู่ บางแห่งก็เปลี่ยนเจ้าของเป็นเอกชนเพื่อเปิดให้เข้าสำรวจความลี้ลับ หรือเที่ยวชนและนำเงินไปซ่อมแซมในฐานะเป็นมรดกแห่งชาติ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่คงอยู่ คือ การวางรากฐานในการรักษาคนไข้จิตเวชและการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนไข้โดย บุคคลทั้งสองคน ต้องขอบคุณคุณหมอโทมัส เคิร์กไบร์ดและโดโรเธีย ดิกซ์จริงๆ

ความคิดเห็นที่ 6

ถ้ามหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่มีโรงพยาบาลจิตเวชที่สร้างมา100กว่าปีตั้งอยู่ แถมยังเป็นโรงพยาบาลสุดหลอนจะรู้สึกยังไง?



ลืมเรื่องตำนานตามตึกเรียน ตามคณะ ไปได้เลยเพราะที่เอเธนเคาท์ตี้ รัฐโอไฮโอ มหาวิทยาลัยโอไฮโอเป็นที่ตั้งของอดีตโรงพยาบาลจิตเวชAthens Lunatic Asylum ที่เริ่มสร้างตั้งแต่ปี1868 และเปิดใช้เมื่อปี1874 อายุอานามถึงปัจจุบันประมาณเกือบ140ปีแล้ว ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะของมหาวิทยาลัยโอไฮโอ แต่ทว่าอดีตอันยาวนานของที่แห่งนี้ก็ย่อมเป็นที่เลื่องลื่อทั้งในเรื่องลึกลับและการรักษาอันสยดสยอง เอาละลองมาดูประวัติที่แห่งนี้กัน

โรงพยาบาลแห่งนี้เริ่มสร้างเมื่อปีคศ 1868 ที่เอเธนเคาท์ตี้ รัฐโอไฮโอ และเปิดให้บริการรักษาปี1874 และปิดตัวลงเมื่อปี คศ 1993 โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นอีกหนี่งโรงพยาบาลที่ใช้แผนผังเคิร์กไบร์ดในการสร้าง เนื่องจากที่แห่งนี้เปลี่ยนชื่อบ่อยมาก เลยขอสรุปชื่อสั้นๆดังนี้


1874-1911
: Athens Lunatic Asylum
1911-1944
: Athens Asylum for the Insane
1944-1968
: Athens State Hospital
1968-1969
: Southeastern Ohio Mental Health Center
1969-1975
: Athens Mental Health Center
1975-1980
: Southeastern Ohio Mental Health and Retardation Center
1980-1981
: Athens Mental Health and Developmental Center
1981-1991
: Athens Mental Health Center
1991-: The Ridges

โดยในบริเวณของโรงพยาบาลนั้นมีทั้งเขตที่ไว้เลี้ยงวัว เป็นโรงเรียน และเป็นส่วนที่รักษาวัณโรค


จุดเริ่มต้น

โรงพยาบาลแห่งนี้ เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อ9 มกราคม 1874 บนที่ดินที่เป็นฟาร์มมาก่อน ซึ่งตอนแรกมีเพียง141เอเคอร์ก่อนขยายเป็น1พันเอเคอร์ในเวลาไม่นานนัก แนวคิดในการสร้างโรงพยาบาลมาจากเมื่อสงครามกลางเมืองอเมริกาจบลงผู้ป่วยทางจิตมีจำนวนเพิ่มขึ้น อีกทั้งการปรับปรุงระบบการรักษาผู้ป่วยจิตเวชของคุณหมอเคิร์กไบร์ดกับโดโรเธีย ดิกซ์ โรงพยาบาลแห่งนี้จึงได้ถือกำเนิดในฐานะเป็นโรงพยาบาลจิตเวชแห่งรัฐโอไฮโอ สถานที่ตั้งอยู่ตรงเนินเขาขนาดใหญ่มองเห็นแม่น้ำฮอวกิ้งและมหาวิทยาลัยโอไฮโอได้อย่างชัดเจน



รูปอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบปลายศ19 ต้น ศ 20 แบบโกธิค รีไววอล และวิคตอเรียนตอนปลาย ดูเหมือนคฤหาสถ์หรือปราสาทผีสิงมากกว่าโรงพยาบาล

ความคิดเห็นที่ 7

พื้นที่ดั้งเดิมของโรงพยาบาลเป็นฟาร์ม ซึ่งตอนแรกมีเพียง141เอเคอร์ก่อนขยายเป็น1พันเอเคอร์ในเวลาไม่นานและแนวคิดในการสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้เริ่มหลังจากสงครามกลางเมืองของอเมริกาสิ้นสุดลง ซึ่งในตอนนั้นมีผู้ป่วยทางจิตที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ถึงแม้โรงพยาบาลจะไม่ได้ใช้ระบบพึ่งพาตนเองในในพื้นที่มหึมาแห่งนี้มีทั้งปศุสัตว์ ที่เพาะปลูก สวนดอกไม้ สวนผลไม้ เรือนเพาะชำ ที่เลี้ยงโคนม ที่ผลิตความร้อนจากไอน้ำ หรือแม้กระทั่งที่ทำเกวียนรถม้าเอง



โรงพยาบาลนี้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลจิตเวชที่สร้างตามแบบเคิร์กไบร์ด โดยมีอาคารอำนวยการและมีปีกซ้ายสำหรับคนไข้ชายและปีกขวาสำหรับคนไข้หญิง ซึ่งแต่ละปีกจะมีโรงอาหารแยกออกประจำแต่ละปีก ซึ่งสามารถจุคนไข้ได้ถึง572คนแต่ก็ถือมากกว่าจำนวนที่กำหนดไปเกือบ2เท่าด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีอีก7กระท่อมเพื่อรับคนไข้มากขึ้นโดยใช้ระบบเหมือนหอพัก ช่วงปี1950มีอาคารใช้งานมากถึง78หลัง และรับคนไข้ได้มากว่า1800คน



ความสำคัญของโรงพยาบาลบ้าที่คนปกติมักหวาดกลัว คือ ที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งงานที่ใหญ่ที่สุดในเอเธน เคาท์ตี้ของโอไฮโอซึ่งมีการค้นคว้าทดลองเพื่อเข้าใจสาเหตุที่เกิดอาการทางจิต มีการทดลองต่างๆรวมถึงการทำโลโบโทมี่(การตอกเข้าสมองส่วนหน้า)ซึ่งเป็นวิธีรักษายอดฮิตมากในยุค1950 แต่กลับเป็นผลร้ายสำหรับคนไข้ไปตลอดชีวิต การทดลองวิธีรักษาที่โหดร้ายทั้งใช้น้ำบำบัด ไฟฟ้าช็อต โลโบโทมี่ และใช้ยาหลอนประสาทซึ่งทฤษฎีดังกล่าวในยุคปัจจุบันไม่มีใครถือปฎิบัติแล้ว แต่ลองมองย้อนกลับไปดูว่ามีคนตายจากวิธีนี้เท่าไรกัน



แผนที่The Ridges

ส่วนอาการยอดฮิตในการเข้ารักษาโรงพยาบาลในต้นยุคศ 20 คือ อาการลมบ้าหมู หมดประจำเดือน ติดเหล้า และวัณโรค

เมื่อโรงพยาบาลปิดตัวลงในปี1993 มีการส่งตัวคนไข้ต่อไปที่โรงพยาบาลAppalachian Behavioral Healthcare



กะกลางวันเมื่อเปิดโรงพยาบาลครั้งในปี1874

ความคิดเห็นที่ 8

อีกอาคารที่ต้องกล่าวถึง คือ อาคารรักษาวัณโรค


ปัจจุบันมีการตั้งรั้วล้อมรอบและใส่กุญแจเพื่อป้องกันผู้บุกรุก แต่สถานที่บริเวณThe Ridges ที่ตอนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของทางมหาวิทยาลัยโอไฮโอแล้วนั้น ก็ยังมีนักศึกษามาประลองความกล้ากันอยู่ทุกปีรวมถึงบุคคลภายนอกที่ต้องการพิสูจน์เรื่องลี้ลับอีกด้วย ที่น่ากลัวคืออาคารนี้ตั้งอยู่ระหว่างสุสานกับอาคารหลักของโรงพยาบาล สุสานที่ว่ามีแค่ป้ายปักเลขประจำตัวคนไข้แต่ไม่มีแม้แต่ชื่อหรือนามสกุล เป็นป้ายปักสีขาวที่เรียงกันเป็นระเบียบ ยกเ้ว้นตามมุมไกลๆ และที่น่ากลัวสุดๆคือสุสานดังกล่างเป็นที่ยอดนิยมของคนมาผูกคอตายอีก โดยส่วนสุสานยังน่าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมสุขภาพจิต และสาเหตุที่ตึกวัณโรคแยกออกมาจากตึกอำนวยการ เพราะว่า โรคนี้จะแพร่เชื้อได้ง่าย จึงต้องกันไม่ให้เข้าไปส่วนที่คนเยอะ


สุสานของทางโรงพยาบาลที่ไม่มีชื่อ ไม่มีวันเกิดหรือตายบอกไว้


อาคารรักษาวัณโรค

ความคิดเห็นที่ 9

ตำนานเรื่องสุดหลอน


ให้อ่านประวัติกันจนปวดตาแล้ว หลายคนคงสังเกตว่า โรงพยาบาลจิตเวช มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ แบบผังเคิร์กไบร์ด สร้างเหมือนโรงแรม ดูหรูหรา บรรยากาศวิคตอเรียน โกธิค ใหญ่โต ทดลองกับคนไข้แปลกๆ และในที่สุดก็ปิดตัวลง และยังมีผู้ป่วยวัณโรคซึ่งกี่ครั้งที่เขียนก็ต้องมีวัณโรคมาเกี่ยวข้อง เพราะช่วงปี1920จนถึงปลาย1950ถึงต้น60 เป็นช่วงที่วัณโรคระบาดหนัก และยิ่งทหารที่กลับมาจากสงครามโลกทั้ง2ครั้ง แน่นอนว่านำพาเชื้อกลับมาด้วยอีกเพียบ สมัยนั้นไม่มียารักษาถ้ามีเงินก็มีแค่ผ่าตัดปอดที่ติดเชื้อออก และรอความตายในโรงพยาบาลหรือสถานพักฟื้นไปวันๆ ด้วยความต้องการที่รักษาวัณโรคจำนวนมากแม้แต่โรงพยาบาลจิตเวชก็ต้องสร้างส่วนนี้มารับรองคนไข้ด้วย ดังนั้นคนตายจะเยอะมาก เอาละเข้าเรื่องหลอนที่รอคอยกันดีกว่า



สุสาน

ในสุสานถ้าคนตายเป็นคนพอมีกะตังค์ญาติก็จะจ่ายเงินทำหลุมมีหินแลดูไฮโซนิดนึง แต่บางคนก็ไม่มีตังค์ก็ต้องฝังตามมีตามเกิด หรือบางคนญาติไม่เหลียวแล ว่ากันว่ามีทั้งศพทหารสมัยสงครามกลางเมืองอเมริกา ศพผู้ป่วย แต่บางศพก็ฝังแปลกฟังเข้าไปในป่าก็มี เรื่องหลอน คือยามค่ำคืนจะมีคนเห็นไฟแปลกๆลอยวนเวียนแถวหลุมศพ บ้างก็ว่าเห็นเพนตาแกรมซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่ามีพวกมือบอนมาวาดเล่นไว้ แต่บางคนบอกดูจากแผนที่บริเวณนั้นโยงหลุมศพต่างๆจะพบว่ามหาวิทยาลัยอยู่ตรงใจกลางของแพนตาแกรมเลยทีเดียว(มหาลัยนี้จึมีเรื่องลึกลับมาก เคยดูในรายการscariest place on earthอยู่นานแล้วทีนึงยอมรับว่ามีเยอะจนน่าตกใจ)



สำหรับชาวหนังโหดที่กำลังเรียนอยู่ที่มหาลัยแห่งนี้ หรือ มีคนรู้จักเรียนอยู่ หรือ วางแผนว่าจะไปศึกษาที่นี้ ว่าจะฝากถ่ายรูป ส่วนจะเข้าไปดูอย่างที่บอกไว้ตอนต้น คือ ตัวอาคารเคิร์กไบร์ดเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะเคเนดี้ไปแล้ว โชคดีที่อาคารยังอยู่ในสภาพดีทางมหาลัยจึงบูรณะฟื้นฟูบางส่วนมาทำเป็นสตูดิโอของนักศึกษาศิลปะด้วย ส่วนอาคารอื่นๆยังรองบประมาณไปฟื้นฟูเช่นกัน


อันนี้มีคนโยงจุดให้ ดูไม่เหมือนเพนตาแกรมนะ แต่มหาลัยอยู่กึ่งกลางพอดี

ความคิดเห็นที่ 10

ส่วนเรื่องที่เห็นกันบ่อยคือมีหน้าคนมองมาจากตึกซึ่งไม่มีคนอยุ่ แต่ที่มีหลักฐานทิ้งไว้ คือ เรื่องของ มากาเร็ต ชิลลิ่ง คนไข้วัย54 ซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่1ธันวา ปี1978 ตอนที่โรงพยาบาลยังเปิดทำการอยู่ เธอเป็นคนไข้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินในโรงพยาบาลและบริเวณรอบๆได้อย่างอิสระ ตราบเท่าที่เดินกลับห้องได้ในตอนเย็นแล้วจู่ๆเธอหายไป มีการค้นหาตัวเธอทั่วแต่ก็ไม่พบ จนเกือบ6สัปดาห์ต่อมา 12 มกรา 1979 คนงานมาพบร่างเธอที่ชั้นบนของวอร์ด N 20 ซึ่งเคยใช้เป็นวอร์ดรักษาคนไข้ที่ป่วยและติดเชื้อ แต่ปิดไม่ได้ใช้หลายปีแล้ว ซึ่งพบว่าเธอถอดเสื้อผ้ากองไว้มุมหนึ่งของห้องแล้วนอนเสียชีวิตตรงบริเวณแสงแดดส่องมาพอดีจึงส่งผลให้เกิดรอยบนพื้นดังกล่าว

โดยเจ้าหน้าที่กล่าวถึงสาเหตุที่เธอเสียชีวิตว่า หัวใจล้มเหลว เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นส่วนที่ไม่ใช้แล้วของโรงพยาบาลที่ไม่มีระบบทำความอบอุ่น ในช่วงเดือนธค ที่อาการหนาวเหน็บ ส่วนคนที่ถามว่าทำไมเธอไม่ร้องเรียกคนให้ช่วย ว่ากันว่าเธอหูหนวกจึงไม่สามารถส่งเสียงเรียกใครได้ และอีกอย่างเธอเป็นคนไข้จิตเวชดังนั้นเธออาจคิดว่ากำลังเล่นเกมซ่อนแอบอยู่ จนเสียชีวิตนั้นเอง ที่ว่าสยองคือ รอยนั้นก็ยังอยู่จนถึงปัจจุบัน(สามารถหาดูได้ในรายกายต่างเช่น scariest place on earth บนยูทูป) และมีตำนานว่ากันว่าใครได้จับรอยนั้นจะต้องตาย เนื่องจากมีข่าวว่านักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่งหลังจากไปพิสูจน์ผี ณ ตึกแห่งนี้ได้ไปลูบรอยนี้เข้าก็เลยผูกคอตาย ทุกวันนี้หลายๆบ้านในมหาวิทยาลัยโอไฮโอก็ยังพากันไปลองของกันประจำ



รอยดังกล่าว

ความคิดเห็นที่ 11

ขอทิ้งท้ายด้วยวิธีการรักษาที่ว่าโหดถึงกึ๋นหน่อย

-บำบัดด้วยไฟฟ้า คนไข้บางรายจะให้อยู่ในแท็งค์น้ำ หรือ ใช้ไฟตรงบริเวณขมับและให้ยางคนไข้ใส่ปากเพื่อป้องกันการกัดลิ้นตัวเอง ก่อนจะปล่อยกระแสไฟ



-บำบัดด้วยน้ำ พาคนไข้ลงน้ำเย็นจัด ซึ่งบางครั้งอาจห่อด้วยผ้า เชื่อกันว่าหลังจากขึ้นมาประสาทจะผ่อนคลาย



-โลโบโทมี่ แบบดั้งเดิม ผ่าเปิดสมองดื้อๆเลยแล้วผ่าแยกทางเดินเส้นประสาท ซึ่งส่วนใหญ่คนไข้มักจะตายกรณีที่รอดอาการทางจิต โรคซึมเศร้าจะหายเป็นปลิดทิ้งแต่คนไข้จะลืมเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น วิธีขับถ่าย วิธีกินข้าว



แบบคุณหมอ วอเตอร์ ฟรีแมน (ใช้เครื่องมือคล้ายที่เจาะน้ำแข็ง) นิยมในช่วงปลายยุค1940จนถึงต้นปี60 ซึ่งไอ้ที่เจาะน้ำแข็งมีชื่อว่า ลูโคทูม คนไข้กิตติมศักดิ์ เช่น โรสแมรี่ เคเนดี้ น้องสาวของปธน เจ เอฟ เคเนดี้ ที่ทำแล้วอาการหนักกว่าเดิมก่อนเธอจะถูกส่งไปอยู่สถานพักฟื้นและมีคนดูแลตลอดชีวิต เนื่องจากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ โดยวิธีคือเอาเจ้า"ลูโคทูม" ตอกเข้าบริเวณต่อมน้ำตาซึ่งจะเข้าไปบริเวณกลีบสมองส่วนหน้า ซึ่งคนไข้บางคนอาการดีขึ้น บางคนก็ตาย ที่ว่าอาการดีขึ้นแต่พฤติกรรมจะเปลี่ยนไป

เช่น โฮเวิร์ด ดัลลี่ คนไข้อายุน้อยที่ คือ อายุ 12 ตอนถูกจับทำ เนื่องจากตอนนั้นพ่อและแม่เลี้ยงเห็นว่าเขามีพฤติกรรมไม่เชื่อฟังพ่อแม่ดื้อด้าน ซึ่งจิตแพทย์ทั่วไปบอกว่าเป็นธรรมดาของเด็กกำลังโต แต่พอแม่พาไปเจอหมอฟรีแมนเขากลับวินิจฉัยว่าเป็นโรคทางจิตเวช และจับทำโลโบโทมี่ ผลก็คือ เขาใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า10ปีโดยจำเวลาก่อนหน้านั้นของชีวิตไม่ได้ จนชีวิตประสบปัญหาหลายอย่าง เมื่อเขาฟื้นฟูตัวเองได้ และค้นหาว่าทำไมเขาถึงจำวัยเด็กไม่ได้เลยก็พบว่าเขาเป็นหนึ่งในวิธีรักษาอันโหดร้ายเช่นกัน


โฮเวิร์ด ดัลลี่ คนไข้อายุวัยเพียง 12 ปี ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่และยังเดินสายเล่าถึงประสบการณ์ตอนนั้นให้หลายๆคนฟัง

ความคิดเห็นที่ 12

สำหรับโรงพยาบาลเอเธน จบลงแล้วใครมีข้อมูลน่าสนใจหรือสถานที่น่าสนใจ ขอเป็นที่ๆยังไม่ค่อยมีคนเอาลงเป็นภาษาไทย บอกไว้ก็ได้จะไปหาข้อมูลเพิ่มให้

ความคิดเห็นที่ 13

อ่านวิธีรักษาแล้วสยองริงๆ

ความคิดเห็นที่ 14

ขอบคุณสำหรับความรู้+หลอนนะคะ

ชอบเรื่องแบบนี้มากๆ ><

ความคิดเห็นที่ 15

ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าตึกทรง วิคตอเรียน โกธิค นี้มันสวยดีจัง 555

แต่ไอ้ตึกที่อดีตเป็นโรงบาลบ้าก็สยองและนะ นี้มีหลุมศพด้วย

แต่ว่าเคยอ่านหนังสือ ที่เค้ารวบรวมกฎต่างๆในโรงเรียนที่

ญี่ปุ่นมีโรงเรียนนึงออกกฎว่า

"โรงเรียนเรามีพื้นที่บางส่วนที่ถูกสาป ห้ามนักเรียนเข้าไปในบริเวณนั้น"

ด้วยอะ ดูหลอนๆดี....

ความคิดเห็นที่ 16

ข้างในหลอนดี -*-

ความคิดเห็นที่ 17

แค่มองรูปอาคารก็รู้สึกถึงรังสีอันน่าสะพรึงอะไรสักอย่าง -_-

ชอบอ่านไรแบบนี้มากค่ะ ขอบคุณนะคะ

ความคิดเห็นที่ 18

สนุกจังเลยค่ะ


Function Used time : 0:0:0:0