ปัจจุบันมีคนมาซื้อต่อเปิดทัวร์ผีรับทรัพย์เหนาะๆ
แถมมีเว็บไซต์ด้วย ชาวหนังโหดคนไหนอยู่ในเคนตั๊กกี้ อยากไปเยี่ยมชม ก็เชิญอ่านรายละเอียด
http://www.therealwaverlyhills.com/
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 09:20
|
|
1 Waverly Hills Sanatorium หรือสถานพยาบาลเวฟเวอร์ลี่ ฮิล
อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของหลุยส์วิล-เจฟเฟอร์สัน เคาน์ตี้ รัฐเคนตั๊กกี้ ในช่วงปี1883พลตรีโทมัส เอส เฮยส์ ได้ซื้อที่ดินบริเวณนี้มาสร้างบ้านครอบครัว แต่ด้วยสมัยนั้นที่ดินแห่งนี้ห่างไกลจากโรงเรียนมาก ท่านพลตรีเลยประสงค์จะสร้างโรงเรียนให้ลูกสาวเรียน จึงสร้างโรงเรียนเล็กๆขนาด 1 ห้อง โดยจ้างครู1คนนามว่า ลิซซี่ แฮร์ริสมาสอนประจำที่นี้ ที่มาของชื่อมาจากความชอบในนิยายของวอลเทอร์ สก็อตที่ชื่อว่า "Waverley Novels" โรงเรียนนี้จึงชื่อว่าเวฟเวอร์ลีย์ และท่านพลตรีชื่นชอบความเงียบสงบของที่แห่งนี้จึงตั้งชื่อที่ดินว่า "เวฟเวอร์ลีย์ ฮิล"
ต่อมาคณะกรรมการโรงพยาบาลวัณโรคได้ซื้อที่ดินบริเวณนี้ มาเป็นสถานพยาบาลวัณโรค และยังใช้ชื่อเดิม คือ "เวฟเวอร์ลีย์ ฮิล" แต่ไม่รู้ว่าสะกดกันแบบไหนตัวอีหายไปจึงกลายเป็น"Waverly&"ดังเช่นที่พวกเราเห็นกันจนมาถึงปัจจุบัน
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 09:44 แก้ไขเมื่อ : 1 Dec 10 13:53
|
|
โดยสถานพยาบาลเริ่มก่อตั้งในต้นศตวรรษที่20 ในบริเวณเจฟเฟอร์สันเคาน์ตี้เกิดการระบาดของวัณโรค เพราะ เป็นหนองบึงน้ำขังซึ่งเหมาะกับการเกิดแบคทีเรียวัณโรค จึงมีการสร้างสถานพยาบาลไม้เล็กๆ2ชั้นขึ้น โดยยุคแรกเริ่มมีเพียงตึกอำนวยการ และศาลา2หลังอาการถ่ายเทสะดวก ความจุเพียง20เตียงและรับผู้ป่วนวัณโรคในระยะเริ่มต้นเท่านั้น
ช่วงต้นปี1911 ทางเมืองต้องการสร้างโรงพยาบาลประจำเมืองแห่งใหม่ขึ้น คณะกรรมการของโรงพยาบาลไม่ต้องการให้โรงพยาบาลแห่งใหม่รับรักษารักษาวัณโรคปอด คณะกรรมการของโรงพยาบาลวัณโรคจึงออกเงินจำนวน25,000ดอลลาร์ เพื่อตั้งโรงพยาบาลดูแลวัณโรคปอดที่อาการรุนแรงขึ้น
จนวันที่ 22 สิงหาคมปี1911 ผู้ป่วยวัณโรคทั้งหมดจากโรงพยบาลประจำเมืองจึงถูกย้ายมาที่แห่งนี้ โดยแบ่งเป็นนอนพักในเต้นท์15หลังก่อน
จวบจนเดือนธันวาคมปี1912 โรงพยาบาลจึงเปิดรักษาผู้ป่วยวัณโรคอาการรุนแรงอย่างเต็มรูปแบบจำนวน50เตียง และยังมีศาลาผู้ป่วยเด็กอีก40เตียง ความจุของโรงพยาบาลในตอนนั้น คือ 130 เตียง แต่ในความเป็นจริงแล้วเยอะกว่านั้นมาก
หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลจึงมีแผนปรับปรุงอาคารไม้เพื่อให้แข็งแรงขึ้นและรับผู้ป่วยได้มากขึ้น
รูปอาคารสมัยก่อน
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 09:48 แก้ไขเมื่อ : 1 Dec 10 10:07
|
|
จากคุณ : nespay
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 09:58
|
|
แผนการขยายอาคารเริ่มต้นมีนาคม ปี1924แล้วเสร็จในวันที่17 ตุลาคม ปี1926 เป็นโรงพยาบาลขนาด5ชั้น และจุผู้ป่วยได้มากกว่า400เตียง จนกระทั่งมีการค้นพบยา"สเตรปโตมัยซิน"ขึ้นในปี1943 จำนวนผู้ป่วยวัณโรคจึงลดลงเรื่อยๆ และไม่มีความจำเป็นต้องใช้โรงพยาบาลวัณโรคที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้อีกต่อไป โรงพยาบาลเวฟเวอร์ลี่ยังคงใช้รักษาผู้ป่วยวัณโรคต่อถึงยุค60 และปิดตัวลงในราวๆประมาณเดือนมิถุนายนปี1961หรือ1962 โดยผู้ป่วยที่เหลือที่ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลเฮลเซลวู้ด
หลังจากปรับปรุงแล้ว
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 10:20 แก้ไขเมื่อ : 1 Dec 10 10:27
|
|
อันนี้โรงพยาบาลหลังแรกที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 10:21
|
|
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในยุคก่อตั้งคือคุณหมอOscar O. Miller ที่มีพื้นเพจากซิดนีย์ ออสเตรเลีย และย้ายมาที่เคนตั๊กกี้ในปี1907ก่อนศึกษาต่อในวิทยาลัยการแพทย์ แล้วมาดูแลสถานพยาบาลเฮสเซลวู้ดก่อนได้รับการแต่งตั้งในเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเวฟเวอร์ลี่ในปี1918-1931
คนที่4จากแถวหลังด้านซ้ายมือ
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 10:31
|
|
เนื่องจากยุคนั้นวัณโรคถือว่าเป็นโรคระบาด เพราะเชื้อสามารถแพร่ไปทางอากาศได้ คนไข้หลายคนร่วมถึงพยาบาลทุกคนจึงต้องพักอาศัยเป็นการถาวร เพื่อป้องกันไม่ให้ออกไปแพร่เชื้อแก่บุคคลภายนอก
โรงพยาบาสร้างสไตล์โกธิค ส่วนในรูปเป็นหอพักของพยาบาล และบุคคลที่ทำงานที่นี้
อยากดูรูปละเอียดๆลองดูจากลิงค์ข้างบนเพราะเจ้าของคนปัจจุบัน ชาร์ลีและทีน่าแม็ททิ่งลี่ ลงไว้เยอะพอควร
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 10:37
|
|
ในช่วงที่ยังไม่มียารักษาวัณโรค สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่ทดลองการรักษาคนไข้ด้วยวิธีต่างๆมากมาย บ้างก็ดีขึ้น บ้างก็แย่ลง และแน่นอนบ้างก็ตาย มาลองดูวิธีรักษาวัณโรคในยุคนั้นดีกว่า
1อากาศบริสุทธิ์และการพักผ่อน ให้ผู้ป่วยอยู่ท่ามกลางแสงแดด พูดง่ายคือให้อาบแดดตลอด วิธีการรักษานี้ในยุคปี1920-1929 สำคัญมากและเป็นวิธีการรักษาแรกๆสมัยยังไม่มียา
ทำโดยเข็นเตียงคนไข้ออกมาตรงระเบียงมีหน้าต่างบานใหญ่ไม่มีกระจกให้แสงแดดส่องมาโดนตัวคนไข้ พร้อมรับอากาศบริสุทธิ์ ที่ทำแบบนี้เพราะ เชื่อว่าอากาศและแสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อเวลาคนไข้ไอ จาม สั่งน้ำมูก โดยคนไข้จะนอนบนเตียงพร้อมผ้าห่มไฟฟ้าตลอด4ฤดู
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 10:49
|
|
2อาหารดี
การรักษาแบบนี้เชื่อว่าถ้าคนไข้ได้บริโภคโปรตีนจำนวนมากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมา เมนูอาหารต่างๆจริงมีทั้งผัก เนื้อ ผลไม้ นม ชีส โดยส่วนมากจะมาสดๆจากฟาร์มที่อยู่ในที่ดินของโรงพยาบาล
ผู้ป่วยสามารถไปทานอาหารที่ห้องอาหารกลางได้ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าคนไหนป่วยมากโรงพยาบาลจะจัดห้องอาหารเล็กๆประจำแต่ละชั้นไว้ให้ ด้วย
รูปเสริฟอาหารให้คนไข้ที่นอนอาบแดด
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 10:55
|
|
3 การบำบัดด้วยแดด (Heliotherapy)
วิธีนี้น่าจะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นเด็ก ในรูปจะเป็นเด็กถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงชั้นใน เล่นกันกลางแดด บำบัดด้วยแดดใช้รักษาวัณโรคข้อต่อ กระดูก ผิวหนัง และดวงตา
ข้อดีที่เชื่อกันว่าแดดจะช่วยฆ่าเชื้อโรค โดยจะต้องอยู่ในอุณหภูมิที่ร้อนในช่วงระยะเวลาหนึ่งแสงแดดจะช่วยทำลายแบคทีเรียได้และยังช่วยเปลี่ยนสารเออร์โกสเตอรอลในผิวหนังเป็นวิตามินดีอีกด้วย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 11:03
|
|
4 การบำบัดด้วยโคมไฟแสงอาทิตย์ หรือไฟหัวเตียง
ถ้าวันไหนอากาศไม่ดีออกไปเดินเล่นรับแดด หรือแดดไม่ส่องมาอย่างเพียงพอ ทางโรงพยาบาลมีไฟซึ่งเป็นแสงยูวีเพื่อให้คนไข้ได้อาบแสง
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 11:07
|
|
5 วิธีรักษาโดยทำให้ปอดแผบลงและ การผ่าตัดทรวงอก (Pneumothorax และ Thoracoplasty)--ใครเรียนด้านนี้มา ช่วยอธิบายหน่อยเหอะ
นูมอโทแร็กซ์(ปกติแล้วมันคือภาวะเกิดลมในช่องอก สำหรับคนที่ปอดรั่ว)ซึ่งปอดของคนป่วยอาจมีรูที่เกิดจากวัณโรค ทำโดยการให้ปอดแผบลงเพื่อให้ปอดได้ฟื้นฟูเอง
โทราโคพลาสตี้ หรือการผ่าตัดทรวงอก โดยเปิดทรวงอกคนไข้แล้วตัดซี่โครงออก1หรือหลายชิ้น โดยขั้นตอนนี้จะเกิดหลังจากทำให้ปอดแผบแล้ว เมื่อแพทย์เห็นว่าจำเป็นต้องทำ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมักจะถูกเอาซี่โครงออกไปประมาณ7-8ชิ้น บางครั้งศัลยแพทย์จะผ่าตัดเอาออกทีละ1-2ซี่ ทำให้ผู้ป่วยต้องผ่าตัดหลายครั้ง
นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดปอดแบบ Lobectomy หรือ การตัดกลีบปอดบริเวณที่ติดเชื้อ ซึ่งปัจจุบันใช้ในการรักษามะเร็งปอด
วิธีผ่าตัดซี่โครงจะทำสำหรับผู้ป่วยที่อาการแย่มาก เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยยืดเวลาให้พวกเขาให้นานขึ้นอีกหน่อย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 11:27
|
|
6 วิธีรักษาโดยให้กำลังใจ
เป็นวิธีใช้ควบคู่กับวิธีรักษาอื่นๆ เพราะคนไข้ต้องนั่งๆนอนๆ อยู่ในสถานพยาบาลไม่ได้ออกไปเที่ยวภายนอก จึงมีกิจกรรมสอนสานตระกร้า ทำไม้กวาด ผ้าปูเตียง ผ้าคลุมโต๊ะ และของใช้เล็กๆน้อยๆอื่นๆ โดยงานฝีมือทำหมดทำออกขายในงานประจำปีของรัฐเคนตั๊กกี้ เงินที่ได้มาเอามาใช้ใจในโรงพยาบาลและใช้เป็นเงินในโครงการค้นคว้าการรักษาโรควัณโรคอีกด้วย
7 วิทยุ
นอกจะนี้แต่ละเตียงยังมีหูฟังให้ผู้ป่วยนอนฟังเพลง กีฬา ข่าวสารต่างๆอีกด้วย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 12:41 แก้ไขเมื่อ : 1 Dec 10 12:44
|
|
บางคนอาจสงสัยแล้วมันน่ากลัวตรงไหน จุดเริ่มต้นความหลอนถึงขนาด2รายการล่าผีชื่อดังของอเมริกายังต้องไปพิสูจน์ นั้นคือ จำนวนคนตายมหาศาล ตามเรื่องเล่าว่ากันว่ามีคนไข้เสียชีวิตถึง 63,000 คน! น่าจะเกินจริงไปเยอะมาก ตามที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการคุณหมอ แฟรงค์ สจ๊วต บอกว่า อัตราเสียชีวิตสูงสุดใน1ปีของโรงพยาบาล คือ 152 คน โดยคุณหมอเขียนบันทึกไว้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะทหารกลับบ้านหลังจากไปรบต่างแดนป่วยเป็นวัณโรคขั้นร้ายแรงจำนวนมาก
ในขณะที่กลุ่มค้นคว้าบางกลุ่มบอกว่าจำนวนมากที่สุด คือ 162 คน ดังนั้นเมื่อรวมจำนวนคนที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลแห่งนี้กว่า50ปีน่าจะมีถึง 8,212 คน
คลิปจากรายการTravel Channel มีสัมภาษณ์เจ้าของคนปัจจุบันด้วย
ภายหลังปี1961/62 ที่โรงพยาบาลปิดกิจการไป มีการซื้อต่อและปรับปรุงเปลี่ยนเป็น - Woodhaven Geriatric Center บางแหล่งก็บอกว่าเป็น Woodhaven Medical Services
คือสถานดูแลคนชรา หรือสถานให้บริการทางการแพทย์ แต่ชาวบ้านแถวนั้นกลับบอกว่าที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นที่บำบัดอาการทางจิต ในปี1980/81 สถานที่แห่งนี้ถูกสั่งปิดโดยศาลหลังจากตรวจพบว่ามีการดูแลคนไข้ไม่ถูกต้อง
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 12:58 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 13:03
|
|
บริเวณที่หลอนที่สุดในโรงพยาบาล
ห้องดับจิต กับ บริเวณอุโมงลำเลียงศพ (body chute หรือ Death Tunnel)
เหตุที่ต้องสร้างเป็นอุโมงใต้ดินเชื่อมไปยังเนินเขาที่นำศพส่งต่อให้ญาติ ไปฟัง หรือเผา เพราะว่าในช่วงที่มีการระบาดของโรคมีผู้ป่วยเสียชีวิตทุกวัน หากมีการลำเลียงศพออกมาตามทางปกติ ผู้ป่วยอาจเสียขวัญได้ ทางผู้อำนวยการจึงให้มีการสร้างอุโมงเห็นนี้ขึ้นมา
มีความยาวถึงเนินเขา525ฟุต ส่วนตัวอุโมงค์มรณะมีความยาว425ฟุต วิธีใช้ คือจะมีทางลาดอยู่ข้างๆก็จะใช้รถรางบรรทุกศพและมีบันไดอยู่ข้างๆ ไม่ใช่โยนศพมาจากข้างบนแบบที่เข้าใจกันแต่อย่างใด
นอกจากใช้ขนศพ ยังใช้ขนพวกถ่านหิน ของใช้อื่นๆลำเลียงเข้าสู่โรงพยาบาล นอกจากนี้ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยังมีประโยชน์ เนื่องจาก เตรียมใช้ไว้หลบภัยทางอากาศ หากสงครามลุกลามมาถึงอเมริกา
ตัวอุโมงมันมืดมากที่เห็นสว่างๆเจ้าของสถานที่มใช้เฟลชถ่ายเอา เพราะไม่มีการต่อไฟมาบริเวณนี้ ถ้าตามไปดูรูปในเว็บก็จะเห็นทางเชื่อมอุโมงค์ออกจากตึก และ ช่องอากาศที่จะไปโผล่ตรงเนินเขาหลังโรงพยาบาลอีกด้วย
นับว่าเป็นไอเดียดี แต่น่ากลัวเป็นบ้า
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 13:23
|
|
อันนี้จะเห็นชัดว่ามีบันไดเดินและเชื่อมมาถึงเนินเขา
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 13:27 แก้ไขเมื่อ : 1 Dec 10 13:31
|
|
อีกที่ที่พลาดไม่ได้ คือ บริเวณชั้น5 ห้อง502 ที่ไม่ว่าจะไปกี่รายส่วนใหญ่จะเจอหมด คือได้ยินเสียงว่า "ออกไป"
ตามที่เล่ากันว่าในปี1928ห้องดังกล่าวเป็นห้องพักของหัวหน้าพยาบาลวัย29ปีที่แขวนคอกับโคมไฟเพดาน ด้วยสาเหตุที่คาดว่าเธอตั้งท้องทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ต่อมาในปี1939มีพยาบาลอีกคนกระโดดลงมาตาย
หลังจากนั้นก็เป็นที่ใครมาเยือนต้องไม่พลาด
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 13:37 แก้ไขเมื่อ : 1 Dec 10 13:38
|
|
จากคุณ : ไอติมว๊านหวาน
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 13:39
|
|
บริเวณด้านหน้าบางคนที่มาสำรวจจะพบวิญญาณหญิงชราที่ทั้งข้อมือและเท้าถูกล่ามโซ่ พร้อมมีเลือดหยดติ๋งๆมาจากข้อมือ เชื่อกันว่าเธอถูกล่ามจากการรักษาไม่ถูกต้องหลังจากเปลี่ยนเป็นสถานดูแลคนชรา
บริเวณชั้น3ที่มีคนเห็นเด็กผู้หญิงไม่มีตา มองมาจากหน้าต่างชั้น3 ตั้งชื่อว่า หนูน้อยแมรี่
บนหลังคามีหลายคนได้ยินเสียงเด็กๆร้องเพลง "Ring Around the Rosy " โดยบริเวณนั้นเคยให้เด็กๆขึ้นไปเล่นเพื่อโดนแดดกับนางพยาบาล
ที่ดังที่สุดอีกกรณีหนึ่งคือ หนูน้อยทิมมี่ชอบเด้งลูกบอลตามทางเดิน ที่คนเห็นกันบ่อยมาก
หลังจากปิดตัวลงในปีช่วง80 มีผู้สนใจซื้อต่อจะไปสร้างเป็นคุก แต่โดนคัดค้านจากชาวบ้านบ้าง พอจะไปทำอพาร์ทเมนท์ต้องซื้อที่ดินเพิ่ม ซึ่งใช้เงินจำนวนมากแล้วเปลี่ยนโครงการไปเป็นโรงพยาบาลของบ้าง โรงหนัง ร้านขายของ แม้แต่จะปั้นรูปปั้นตามแบบChrist the Redeemer ในบราซิลด้วย แต่เงินทุนไม่พอจึงล้มเลิกไป
ชาร์ลีและทีน่าแม็ททิ่งลี่พยายามฟื้นฟูสถานที่ดังกล่าวซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล โดยเงินส่วนใหญ่จะมาจากการเก็บค่าเข้าชม และเงินบริจาค นอกจากนี้บริเวณโรงพยาบาลยังมีการติดกล้องวงจรปิด ป้ายห้ามบุกรุก พร้อมทำรั้ว มีการซ่อมแซมและทำความสะอาดใหญ่ๆในหลายจุด เช่น เดินไฟใหม่ เปลี่ยนทางเดินท่อประปา ซ่อมห้องซักผ้า ติดหน้าต่าง ทางเจ้าของคาดว่าใช้เวลา4ปีในการบูรณะอาคารหลักจนเสร็จสิ้น
ซื้อต่อมาในปี2001 อันนี้ภาพน่าจะล่าสุดไม่นานมานี้
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 13:44 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 13:06
|
|
พาไปดูโรงพยาบาลอีกแห่งแล้วกัน อีกที่แล้วกัน คือ Trans-Allegheny Lunatic Asylum หรือโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยทางจิตเภท หรืออีกชื่อ คือ Weston State ตั้งอยู่ในเมืองเวสตันทางตะวันตกของรัฐเวอร์จิเนีย ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของสหรัฐไปแล้วเรียบร้อย
ล่าสุดนายโจ จอร์แดนได้ซื้อต่อในปี2007และเปิดให้มีทัวร์ผี เก็บเงินค่าเข้า เพื่อนำไปบำรุงต่อไป(สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐหลายแห่งขายให้เอกชน เพื่อให้มีการปรับปรุงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดี)
http://trans-alleghenylunaticasylum.com/index.html เว็บมืออาชีพมากๆมีเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ แถมยังมายสเปซด้วย ใครอยู่เวสต์เวอร์จิเนียไปเที่ยวมาก็ส่งรูปมาบอกกันบ้าง
การสร้างแบบก่ออิฐดูไม่เหมือนโรงพยาบาลเลย
เพิ่มเติมว่าฆาตกรCharles Manson เคยมาอยู่ที่นี่ด้วย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 14:11 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 14:35
|
|
หลังจากผ่านความเห็นชอบของสภาทั่วไปของรัฐเวอร์จิเนียแล้วโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยจิตเภทTrans-Allegheny Lunatic ก็เริ่มสร้างในปี1858 โดยสถาปนิกจากบัลติมอร์ ริชาร์ด แอนดรูวส์ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสไตล์โกธิคและทิวดอร์ ซึ่งที่ว่าอาคารแห่งนี้เป็นสิ่งการสร้างจากอิฐที่ตัดด้วยมือคนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐและใหญ่เป็นอันดับ2ของโลก
โดยสร้างตามคำแนะนำของนักจิตวิทยาโทมัส เคิร์คไบรด์ การก่อสร้างระงับลงในปี1861หลังจากเกิดสงครามกลางเมืองในสหรัฐ เงินที่ใช้ในการก่อสร้างถูกนำมาใช้กับการสู้กับฝ่ายใต้ โชคดีที่กลับมาสร้างต่อในปี1862 ในปี1863เวอร์จิเนียผนวกรวมเป็นรัฐภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา จึงมีการเปลี่ยนชื่อโรงพยาบาลดังกล่าวมาเป็น "West Virginia Hospital for the Insane"
เริ่มรับคนไข้ครั้งแรกเดือนตุลาปี1864 แต่ก่อสร้างสำเร็จปี1881 ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้มีทั้งฟาร์มนม น้ำประปาใช้เอง รวมถึงมีสุสานพร้อมสรรพภายในพื้นที่ขนาด666เอเคอร์(เลขสวย)ต่อมาปี1913เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Weston State Hospital
เริ่มแรกรับคนไข้เพียง250คน ก่อนที่ในยุค50 จะรับคนไข้มากสุด คือ 2,400 คน ซึ่งแออัดมาก ในช่วงปี1935 ไฟไหม้เนื่องจากไข้จุดไฟเผา ส่วนปี1949มีการสำรวจสุขอนามัยในโรงพยาบาลพบว่า ความสะอาด ไฟฟ้า ระบบความร้อนนั้นอยุ่ในสภาพทรุดโทรม ต้องซ่อมแซมใหม่ทั้งหมด
จนปี1980 จำนวนผู้ป่วยลดลงเพราะมีวิธีการรักษาทางจิตเภทในแบบใหม่เข้ามา ต่อมาปี1986ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียยุคนั้น นายอาร์ค มัวร์ ต้องการสร้างโรงพยาบาลจิตเภทของรัฐที่แห่งอื่นและจะเปลี่ยนที่นี้ให้เป็นเรือนจำ ในที่สุดWilliam R. Sharpe Jr. Hospital มาแทนโรงพยาบาลแห่งนี้ เลยต้องปิดตัวโดยปริยายในเดือนพฤษภาคมปี1994
ซึ่งภายหลังมีการเปิดทัวร์ชั้นล่างสนนราคา10เหรียญ และทั้งอาคาร30เหรียญ และในโรงพยาบาลยังใช้เป็นสถานที่เล่นเพนท์บอลอีกด้วย
มีความพยายามจะนำอาคารไปใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามกลางเมือง โรงแรม แม้กระทั่งสนามกอล์ฟ แต่ก็ต้องยกเลิกไป
ต่อมาจึงมีเปิดประมูลขึ้นซึ่งนายโจ จอร์แดนเป็นผู้ชนะการประมูลก่อนที่เขาจะค่อยๆปรับปรุงแต่ละชั้นของอาคาร โดยเปิดทัวร์ทุกวัน ทัวร์ผีเปิดเฉพาะทุกคีนวันศุกร์และพักค้างคืน+ทัวร์ผีได้ทุกวันเสาร์ รายละเอียดไปดูที่เว็บได้เลย และนายใจก็เปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น Trans-Allegheny Lunatic Asylum
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 15:20 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 13:12
|
|
แน๊ะมีโฆษณาทัวร์ward24ด้วย15เหรียญต่อคน
แน่นอนมีหรือรายการGhost Hunters จะพลาด ไปมาแล้วเรียบร้อยรู้สึกบันทึกสิ่งแปลกติดมาด้วยหาดูได้ในยูทูป
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 15:25
|
|
ในช่วงปี1864-1899 ทางโรงพยาบาลจะรับผู้ป่วยด้วยอาการดังนี้ ขี้เกียจ,อีโก้จัด,รักคุด,โรคติดต่อทางเพศ,โลภมาก,ต้มตุ๋นชาวบ้าน,ริษยา,หอบหืด เป็นต้น
วิธีการรักษาและบำบัดคนไข้
ในช่วงยุคแรกของโรงพยาบาลจนถึงประมาณต้นศตวรรษที่20 สภาพภายในโรงพยาบาลแย่มาก(ถึงจะดีกว่านักโทษที่มีอาการทางจิตแล้วต้องติดคุกก็ตาม) เนื่องจากมีการกักตัวคนไข้ไม่ให้พบปะญาติหรือเพื่อนฝูง โรงพยาบาลใช้การพึ่งพาตนเอง บางครั้งจึงไม่มีเสื้อผ้าให้คนไข้ใส่
วิธีบำบัดในยุคนั้นยังไม่มีการใช้ยา จึงใช้วิธีช็อตไฟฟ้าหรือ(Shcok Theraphy) หรือ (ice pick lobotomy) ซึ่งสร้างความเจ็บปวดแก่คนไข้อย่างแสนสาหัส จนบางครั้งมีไข้เสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุให้มีหลายคนได้ยินเสียงร้องโหยหวน เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแว่วมาจากห้องบำบัดอันว่างเปล่า
ตัวโรงพยาบาลเปิดจนถึงปี1994 และต้องปิดไปเนื่องด้วยมีโรงพยาบาลแห่งใหม่และสภาพตึดทรุดโทรมลงมาก
อันนี้รายละเอียดของการใช้แท่งน้ำแข็งเฉาะสมอง บางรายก็บอกได้ผล บางรายความทรงจำหายไป สยองมาก http://mbos.multiply.com/journal/item/146/Lobotomy
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 15:47 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 13:13
|
|
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 15:55
|
|
ความน่ากลัวแน่นอนเกินบรรยาย ตามเว็บของรายการGhost Adventures บันทึกถึงกิจกรรมล่าผีในโรงพยาบาลแห่งนี้ มีดังนี้
ภายในโรงพยาบาลมี16วอร์ด มีส่วนที่เคยใช้รักษาผู้ป่วยวัณโรค มีส่วนที่เป็นห้องเรียน
บริเวณโรงเพาะชำมีผู้ป่วยเคยผูกคอตายที่นั้น
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 16:01
|
|
ตึกฟอเรนซิค(น่าจะประมาณนิติจิตเวช) ใช้ขังอาชญากรที่ป่วยทางจิตที่ได้รับการตัดสินจากศาล ตักตึกเป็นสีเงิน มีหน้าต่างเล็กๆ สร้างขึ้นปี1949 ปัจจุบันไม่เปิดให้เข้าชม
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 16:08
|
|
จากเว็บของรายการGhost Adventures ไฮโซมาก เขาจะถ่ายเป็นตอนๆไป ไปที่ไหนก็จีมีหน้าเว็บเซ็ตสถานที่นั้นขึ้นมา มีไลฟ์แชต ส่งเอสเอ็มเอสสดๆด้วย
หลอนแบบมีเงินทุน ถ่ายสดทางช่องTravel Channel ใครดูช่องนี้ได้ หรือ อยู่อเมริกาคราวหน้าเขาพาไปป้อมErie ที่แคนาดา
http://www.travelchannel.com/Ghost_Adventures_Live/index.html
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 16:14 แก้ไขเมื่อ : 1 Dec 10 16:17
|
|
นอกจากจะหลอนแล้ว ที่มาของความหลอนก็ไม่เบา อย่างเช่นวอร์ดเอฟ เคยมีคนป่วยพยายามจะฆ่ากันเองโดยคนหนึ่งพยายามจะแขวนคอกับท่อน้ำ แต่พอเห็นไม่ตายเลยเอาตัวลงมาแล้วใช้เสาเตียงกระหน่ำตีจนตาย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 16:32
|
|
ความหฤโหดดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี1987 เท่านั้นยังไม่พอผู้ป่วยคนเดิมยังเอาเสาเตียงไปกระหน่ำทุบคนไข้อีกคนจนตายคาทางเดินของวอร์ด ในช่วงเปลี่ยนเวรของเจ้าหน้าที่
(เจ้าหน้าที่หลายคนพักประจำในโรงพยาบาล แต่พอหลังสี่ทุ่มจะลงมาประจำข้างล่างหมด)
มีข่าวลือว่าคนไข้โคตรเหี้ยมยังอยู่ในโรงพยาบาลอีกแห่ง น่าจะโรงพยาบาลที่เปิดแทนแห่งนี้เนี่ยแหละ
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 16:35 แก้ไขเมื่อ : 1 Dec 10 16:36
|
|
เท่านี้ยังไม่พอ ทั้งบรรดาไกด์ ผู้มาเยี่ยมชมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีมือปริศนามาเคาะไหล่ บ้างก็ได้ยินเสียงเตียงขนย้ายผู้ป่วยกำลังเข็นตรงทางเดิน แต่ก็ไม่มีเตียงซักอัน บ้างก็ว่าได้ยินเสียงกระซิบที่ฟังดูชั่วร้ายอยู่ข้างๆหู
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 16:39
|
|
ส่วนวอร์ด 1 เป็นที่ๆหลายคนเชื่อว่าคนไข้สาว(เหลือ)น้อบยนามว่ารูธ ที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ตอนสมัยเธอยังมีชีวิตอยู่เธอถูกย้ายมาจากวอร์ดซีสำหรับคนไข้หญิงที่ใช้ความรุนแรงมายังวอร์ด1 โดยปกติเธอจะนั่งบนเก้าอี้รถเข็นแล้วมีสายรัด นั่งประจำบริเวณห้องโถงของวอร์ดตระโกนด่าทอคนผ่านไปผ่านมาประจำ
ไกด์มักจะโดนเจ๊แกผลักประจำ เพราะตอนเป็นผีดันสื่อสารไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีคนเห็นเงาชายลึกลับใส่ชุดสมัยวิคตอเรียนอีก
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 18:16
|
|
ส่วนรายละเอียดโรงพยาบาลแห่งนี้จะเยอะมาก เพราะขนาด666เอเคอร์ เป็นอาณาจักรหย่อมๆเลยทีเดียวแถมมีรายการถ่ายภาพไว้เยอะ เลยเอามารวมให้ดู
วอร์ดบริเวณชั้น4 ใช้เป็นที่พักของคนมาเยี่ยมสามารถมาพักได้ ห้องจะคล้ายๆหอพักตามมหาวิทยาลัย และยังเป็นที่พักของคนที่มีอาการติดเหล้าไม่รุนแรง หรือมีอาการทางจิตไม่มากนะ
แต่บริเวณชั้นนี้กลับสยองสุดๆที่ห้อง688เมื่อบรรดาไกด์นำทัวร์โรงพยาบาลมักจะเห็นประตูเปิด ปิดเองอย่างช้าๆ แถมยังได้ยินเสียงปืนดังจากในห้องอีกด้วย และหลายครั้งที่ประตูจู่ๆก็ปิดแน่นเอง และจะเปิดออกเองทุกครั้งในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา
นอกจากนี้ยังมีเสียงคนวิ่งอยู่บนทางเดิบ้าง คนโดนผีอำบ้าง พัดลมบริเวณวอร์ดทีที่สามารถตอบคำถามได้ ถ้าถามคำถามเจ้าพัดลมใบพัดหนักๆจะตอบว่าใช่โดยหมุนไปทางขวา ไม่ใช่ก็จะหมุนไปด้านซ้าย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 18:35
|
|
พัดลมปริศนา โดยบริเวณชั้นนี้ไม่มีไฟมาหลายปีแล้ว
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 18:36
|
|
เปลี่ยนบรรยากาศมาดูด้านนอกเผื่อใครสนใจไปเจอผีฝรั่ง
ทางรายการGhost Adventuresบอกว่าหอนาฬิกาที่สูงกว่า200เมตรตั้งตระหง่านตอนรับผู้มาเยือน
ทุกคนที่มาที่นี้จะตื่นตะลึงกับขนาดที่ดินอันกว้างขว้างมาก
วิวตอนกลางคืนเห็นดาวระยิบระยับเลย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 18:41
|
|
จากคุณ : horrorfever
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 18:59
|
|
น้ำพุด้านหน้าที่ช่วงวันหยุด หรือ โอกาสพิเศษมันก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด หรือไม่ก็เขียวอื๋อไปเลย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 19:06
|
|
มีคนด้วยเย้!
ตรงนี้เป็นทางเดินเชื่อมตึกเคิร์คไบร์ดกับห้องอาหาร ซึ่งน้อยคนนักจะรู้ว่ามีสุสานใต้ดินที่วกวนราวกับเขาวงกตอยู่ ใต้โรงพยาบาลแห่งนี้ ที่ไม่มีคนลงไปเพราะมีแร่ใยหินอยู่ น้ำใต้ดิน รวมถึงอาจเจอแขกไม่ได้รับเชิญด้วย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 19:09
|
|
แปลากเว็บไหนเหรอคะ? เก่งจัง อยากหาเรื่องมาลงบ้าง
จากคุณ : horrorfever
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 19:14
|
|
อาคารโรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งชื่อตามนักจิตวิทยาเคิร์คไบรด์ ความยาว1,296 ฟุต เป็นอาคาร4ชั้น พื้นที่ใ้ช้สอย9เอเคอร์มีหน้าต่าง921บาน ประตู906บาน
สังเกตไหมว่าโรงพยาบาลที่ใช้รักษาพวกป่วยทางจิตมักจะเฮี้ยนกว่าโรงพยาบาลทั่วๆไป
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 19:15
|
|
อันนี้จากเว็บรายการGhost Adventures ส่วนใหญ่หาจากกูเกิ้ลแล้วเลือกที่ๆน่าสนใจมา หาในวิกิ+เว็บของสถานที่นั้น(ถ้าเป็นในกรณีเป็นที่เอกชนแล้วเขาเปิดให้เข้าชม) ในอเมริกาน่าจะเยอะเพราะเอกชนนำมาพัฒนาเป็นที่เที่ยว
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 19:20
|
|
ว้าว เห็นแล้วอดนึกถึงบ้านทรงไทยร้างๆแถวอยุธยาไม่ได้ เห็นแล้วขนลุก
จากคุณ : phraram
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 20:53
|
|
อันนี้รูปโรงพยาบาลในยุค1920 ปัจจุบันกลับมาใช้ชื่อ Trans-Allegheny Lunatic Asylum
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 21:13
|
|
บันไดของตึกเคิร์คไบร์ดมีชื่อว่า "บันไดโลงศพ" เพราะตรงราวบันไดคล้างโลงศพ ซึ่งตรงนี้ลมจะพัดขึ้นมาได้
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 21:22
|
|
ส่วนที่เราคิดว่าแปลกมาก คือ ชุมชนเมืองเวสตัน จะมาใช้ห้องบอลรูมจัดงานเต้นรำ งานพรอม งานปีใหม่ งานนู้นงานนี่ตลอด ห้องนี้จะอยู่บริเวณชั้น3 นอกจากนี้ยังมีห้องฉายหนัง และห้องฟังเพลง
ชาวเมืองไม่ได้รังเกียจโรงพยาบาลแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะ ถือเป็นแหล่งพบปะ แหล่งงานขนาดใหญ่ของชาวเมือง มีรายงานว่าพอโรงพยาบาลปิดเศรษฐกิจของทางเมืองก็แย่ลง
นับว่าโรงพยาบาลแห่งนี้มีทุกอย่างจริงๆ ทุกวันนี้ที่แห่งนี้ก็ฟื้นเป็นแหล่งรวมของชาวเมืองอีกครั้ง ถือว่าช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ดีมาก
สภาพห้องไม้ผุมาก จนห้ามเข้าไป
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 21:41
|
|
สภาพห้องที่ทรุดโทรมอย่างมากบริเวณชั้น2 ที่เคยใช้เป็นศูนย์รักษาผู้ป่วย เห็นห้องสี่เหลี่ยมธรรมดาๆแบบนี้ ที่นี่เคยใช้เป็นที่รักษาด้วยวิธีช็อตไฟฟ้า ผ่าตัดสมอง ใช้อินซูลิน ชำแหละสมองคนไข้ที่ตายแล้วเพื่อหาว่าทำโรคจิตเภทในแบบต่างๆนั้นมีที่มาอย่างไร
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 21:45 แก้ไขเมื่อ : 1 Dec 10 21:47
|
|
บริเวณนี้อยู่ตรงตึกเคิร์คไบร์ด ฝั่งที่เรียกว่าซิวิลวอร์ เป็นอีกที่ที่ไกด์บอกว่าจะโดนดึงผม เห็นหน้าโผล่มาทางหน้าต่าง หรือได้กลิ่นเหม็นเน่า
ที่เด็ดคือมีไกด์ที่อ้างว่าเคยเล่นบอลกับผีเด็กน้อยชื่อว่า "ลิลลี่"
ตามตำนานบ้างก็บอกว่าหนูน้อยเป็นเด็กที่ป่วยทางจิต จึงต้องมารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งนี้จนกระทั่งตาย หรือบางตำนานก็ว่าหญิงสาวคนหนึ่งตัดสินใจขายตัวปรนเปรอทหารกลัดมัน หลายคนเห็นเธอเป็นเพียงเครื่องสนองตัณหา ประกอบกับสามีทิ้งเธอไปในช่วงสงครามกลางเมือง เธอจึงเป็นบ้าเมื่อที่ต้องทนกับความโหดร้ายและความผิดหวังจากผู้ชาย และตั้งท้องไม่มีพ่อ เธอคลอดหนูน้อยในโรงพยาบาลซึ่งไม่นานหนูลิลลี่ก็ตายหลังจากลืมตาดูโลกไม่กี่ชั่วโมง
ไม่ว่าที่มาจะเป็นเช่นไร หนูน้อยจะชอบหาเพื่อนเล่น กินอมยิ้ม ขนมหวาน ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นเด็ก3ขวบ ทั้งๆที่ตอนตายยังเป็นเด็กทารก เสียงหัวเราะเด็กจะได้ยินเป็นครั้งคราว
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 22:07
|
|
ทางเดินแห่งรัก
ไม่ใช่เป็นบริเวณที่มีคู่รักมาฆ่าตัวตายแต่อย่างใด บริเวณนี้จู่ๆมีคำว่า Love ตัวใหญ่ๆเขียนอยู่จางๆบนพื้นกระเบื้อง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทีมงานซ่อมแซมแน่ใจว่าไม่มีแน่ๆ
จนไม่มีใครกล้าเดินมาบริเวณนี้คนเดียวไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 22:12
|
|
จากมุมสูงจะเห็นตึกตรงกลางคือ เคิร์คไบร์ด ด้านใต้ติดขอบรูปเป็นตึกรักษาผู้ป่วยวัณโรค ตึกด้านหลังเป็นตึกดูแลผู้ป่วยชราที่มีอาการอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อม
ตึสีเทาหลังสุดใช้เป็นตึกฟอเรนซิค ที่อยู่ของอาชญกรที่มีอาการทางจิต
ในยุค1930 สนามแห่งนี้ใช้เป็นสนามแข่งฟุตบอลของโรงเรียนมัธยมปลายประจำเมือง ในปัจจุบันยังใช้เล่นฟุตบอลและซอฟท์บอลอยู่
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 22:19
|
|
จะเห็นว่าตัวเมืองติดกับโรงพยาบาลเลย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 22:24
|
|
โรงพยาบา่ลแห่งนี้นอกจากจะเกิดขึ้นจากแนวความคิดของโทมัส เคิร์คไบร์ด นักจิตวิทยาชื่อดังและนักทำกิจกรรมเพื่อสังคมโดโรเธียดิกซ์ซึ่งทั้งสองคนเห็นว่าผู้ป่วยทางจิตเภทหลายคนต้องถูกทารุณกรรมด้วยวิธีต่างๆอย่างเวทนา หลายคนถูกจับขังคุกโดนทุบตีจากคนปกติอย่างโหดเหี้ยมทั้งหมด เิกิดจากความไม่รู้ การขาดยารักษา
ทั้ง2คนจึงปรึกษากันที่จะสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางรักษาอาการทางจิตขึ้น ซึ่งมีโรงพยาบาลหลายแห่งที่สร้างขึ้นจากความช่วยเหลือของบุคคลทั้งสอง นอกจากความหลอนแล้ว ที่แห่งนี้ให้อะไรเยอมากจริงๆ
บั้นปลายชีวิตของโดโรเธียเธอมีอาการจิตเภทต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เธอร่วมก่อตั้งมา ต่อมาทางรัฐนิวเจอร์ซีย์จึงจัดห้องชุดให้เธออยู่พร้อมกับมีพยาบาลคอยดูแล และเสียชีวิตลงที่นั้น
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 22:43
|
|
ห้องgเปลหามบริเวณวอร์ด1 ห้อง307 ที่มีเรื่องเล่าว่ามีผู้หญิงถูกดึงเข้าห้องดังกล่าวแล้วถูกโยนกระแทกกำแพง ห้อยติดกับกำแพง จนต้องใช้คนสองคนมาช่วยเธอ
และยังได้ยินเปลดังกุกกักๆย้ายที่ไปมาเอง
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 22:48
|
|
ถ้าพูดถึงสุสานใต้ดินหรือ catacomb ที่มีชื่อเสียงก็คือที่โรม อิตาลี
แต่วันนี้จะพาไปดูอีกแห่งหนึ่งใกล้ๆกัน คือที่กรุง ปารีส ประเทศฝรั่งเศสกัน สุสานใต้ดินแห่งนี้มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า
"Catacombes de Paris" หรือเป็นไทยๆคือสุสานใต้ดินแห่งปารีส สถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บโครงกระดูกของผู้วายชนม์ไว้
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่เคยเป็นประเมืองมาก่อนมีชื่อว่า Barrière d'Enfer (ประตูแห่งนรก)ต่อมาเปลี่ยนชื่อให้ดูน่ากลัวน้อยลงโดยเรียกใหม่ว่า "Place Denfert-Rochereau" ซึ่งมาจากชื่อวีรบุรุษสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย โดยนามสกุลท่านจะอ่านออกเสียงคล้ายคำว่านรกในชื่อเดิมของสถานที่ด้วย นับเป็นความบังเอิญในเรื่องชื่อและการเล่นคำจริงๆ (DenfertกับD'enfer)
ชื่อเล่นของท่าน คือ "The Lion of Belfort" สิงโตแห่งเบลฟอร์ท ดังนั้นบริเวณนั้นจะมีรูปสิงโตตั้งอยู่ด้วย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 23:00 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 09:41
|
|
กลับมาแล้ว
อยากบอกว่า
แว่น ฟิตมากกกกกกกก รักษาสุขภาพด้วยนะ
จากคุณ : pakoros
เขียนเมื่อ : 1 Dec 10 23:21
|
|
นอกเรื่อง ใครเคยฟังวงphobiaอัลบั้มReturn to desolationบ้าง จำไม่ได้ว่าถ่ายมาจากที่ไหน
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 09:46
|
|
ส่วนชื่อที่ทางการตั้งให้ก็คือ l'Ossuaire Municipal (the Municipal Ossuary)ประมาณที่เก็บโครงกระดูกของเทศบาล ตัวสุสานใต้ดินมีขนาดเล็กเท่านั้นโดยอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเหมืองใต้กรุงปารีส แต่คนส่วนใหญ่จะเรียกเหมืองหินและที่เก็บกระดูกรวมๆกันว่าสุสานใต้ดินเสียมากกว่า
ที่มาของสุสานใต้ดินมหานครปารีสนั้นย้อนกลับไปถึงสมัยโรมันเห็นจะได้ โดยสมัยโรมันจะมีการฝังคนตายไว้ชานเมือง แต่พอศาสนาคริสต์รุ่งเรืองแนวคิดฝังศพก็เปลี่ยนไปฝังใกล้โบสถ์แทน
จนกระทั่งสมัยศตวรรษที่10 ประชากรในปารีสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนตายก็มากขึ้น สุสานที่มีอยู่ก็แออัด สุสานของโบสถ์ที่จำกัด มีแต่คนฐานะดีเท่านั้นที่สามารถยอมจ่ายเงินเพื่อให้ฟังศพในบริเวณโบสถ์ได้
จนกระทั่งศตวรรษที่12จึงมีการตั้งสุสานตรงเขตเล อาลส์(Les Halles)ให้คนทั่วไปมาใช้บริการได้โดยเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "Saints Innocents Cemetery" ในปัจจุบันเขตดังกล่าวคนเยอะมาก
ชาวบ้านทั่วไปไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากย่อมมีมากกว่าคนรวย จำนวนคนตายเริ่มเยอะขึ้นเมื่อส่วนหนึ่งของสุสานเต็มจะมีการฝังกลบ แล้วฝังผู้มาใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนคนใดพอมีเงินหน่อยจะฝังมาพร้อมกับโลง ก็จะเอาโลงนำกลับมาใช้ใหม่
ที่น่าสยองและชวนอ้วก คือ เวลาฝังคนตายจะมีพวกสิ่งของเน่าเสียจากร่างกายเวลาเข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย และมีการใช้ปูนขาวเพื่อให้ร่างกายเน่าเร็วขึ้นเพื่อสะดวกในการฝังศพต่อไป ผลลัพธ์จากการใช้ปูนขาวของเสียจากร่างกายคนตายก็ซึมลงดินไปปินอยู่กับแหล่งน้ำใต้ดินที่ชาวบ้านใช้
จนกระทั่งศตวรรษที่17 สุขอนามัยบริเวณสุสานนั้นแย่มาก แต่ทางเทศบาลไม่ได้ใส่ใจเนื่องจากสุสานแห่งนี้เป็นที่ต้องการฝังของชาวบ้านอีกทั้งยังทำเงินได้มหาศาล แม้ว่าสุสานจะมีจำนวนคนตายล้นทะลักก็มีการนำร่างคนตายที่เน่าเปื่อยหรือแต่โครง ออกมาอัดทั้งสี่ด้านของสุสานเพื่อให้ฝังลงไปใหม่ได้ แล้วก็ทำเช่นี้ไปเรื่อยๆ
ภายในสุสาน ของแท้ทั้งนั้น
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 10:16
|
|
น่าไปมากกกกกกกกกกกกกอะ สวยด้วย แล้วผีฝรั่งนี้เราไม่กลัวหรอก เพราะฟังไม่ออก 555
จากคุณ : Nespay
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 10:20
|
|
ความหนาแน่นก็ยังทวีขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งศตวรรษที่18 มีการตัดสินใจย้ายสุสานไปเขตรอบนอกเมือง และช่วงต้นศตวรรษที่19มีการตั้งสุสานอยู่4ทิศรอบนอกเมืองปารีส
ส่วนที่ฝังใต้ดินนั้น เกิดจากรัฐบาลจนปัญญาไม่รู้จะหาที่ดินบริเวณไหนมาฝังศพเพิ่มให้รองรับกับพื้นที่ของเขตเมืองที่ขยายออกไป อเล็กซซอง เลอนัวร์นักโบราณคดีจึง เสนอให้ใช้อุโมงค์ใต้ดินที่ว่างอยู่โดยมีเหมืองเก่าไม่ได้ใช้อยู่บริเวณประตูเมืองทางใต้ของปารีส จึงเริ่มฝังศพใต้ดินตั้งแต่ปี1786เป็นต้นมา
โดยผู้ตรวจการเหมืองCharles-Axel Guillaumotให้ขุดดินและฟังกระดูกเข้าไปเป็นกำแพง ดังรูปที่เห็น
มีสมาชิกคลับอยู่ฝรั่งเศสเห็นว่าถ้าเขาว่างคงได้ไปดู
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 10:31 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 10:34
|
|
หลังจากนั้นผู้ตรวจการเหมืองคนถัดมาต้องการจัดสุสานให้ดูสวยงามขึ้นจึงนำกระดูก และกระดูกโคนขามาจัดเรียงใหม่พร้อมมีเครื่องประดับตกแต่งสุสานใต้ดิน ซึ่งบางส่วนหายไปตอนปฎิวัติฝรั่งเศปี1789 และผลงานก็ออกมาสวยสยองแบบที่เห็นในยุคนี้แหละ
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 10:40
|
|
อันนี้รายละเอียดของสุสานสำหรับสมาชิกเอาไว้ตัดสินใจก่อนไปสัมผัสศิลปะแห่งความตายใจกลางกรุงปารีส
ทางเข้าของสุสานแห่งนี้อยู่ตรงประตูเมืองเก่า ที่เรียกว่า"Place Denfert-Rochereau"(เป็นสถานีรถไฟอยู่)เดินลงบันวนหินไปสู่ความลึก19เมตร เดินไปเรื่อยๆจนเจอบริเวณที่ผู้ตรวจการเหมืองหินได้สั่งให้มีรูปป้อมPort-Mahon จำลองไว้ โดยตัวสุสานแห่งนี้มีร่างของชาวปารีสราวๆ6ล้านคน โดยยกเลิกการฝังที่นี้ในศควรรษที่19 เนื่องด้วยปัญหาด้านความสะอาด
ตรงทางเข้าตัวสุสานจะมีประตูจารึกไว้ว่า "Arrete, c'est ici l'empire de la Mort" จงหยุด ที่แห่งนี้คือาณาจักรแห่งความตาย
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 10:52 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 10:59
|
|
จะมีศิลปะกราฟิตี้ งานศิลปะของผู้ตรวจการเหมือง
อันนี้เป็นรายละเอียดยิบของตัวสุสาน http://www.carrieres.explographies.com/indexus.htm
ความยาวกว่า185ไมล์ จะได้พบกับกระดูก กระโหลก ตลอดทางจนกว่าจะได้กลับขึ้นไปบนพื้นดินอีกครั้ง
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 11:01
|
|
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 11:01
|
|
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 11:02
|
|
ส่วนเรื่องสยองมีหรอ จะไม่มีมาฝาก อันนี้น่าจะเรื่องจริงเมื่อปี1986 มีผู้หญิง5คนไปสำรวจที่แห่งนี้กันไปเจอชายหนีจากโรงพยาบาลจิตเวช ซึงชายลึกลับข่มขืนสาวผู้โชคร้ายทั้งห้าและฆ่าทิ้งก่อนเขียนประโยคทิ้งไว้บนกำแพงว่า "ฉันจะรอแก"หลังจายหายตัวไป3วัน เพื่อนๆและครอบครัวของเหยื่อแจ้งตำรวจและพบศพถูกจัดให้นอนเป็นวงกลม
ส่วนตำรวจก็ลงไปสืบคดี...ไม่นานหลังจากนั้นก็พบศพตำรวจอีก6นาย เสียชีวิตในระดับความลึก230ฟุตจากระดับถนน
แต่ไม่มีใครเจอชายโรคจิตคนนั้นอีกเลย
มาดูคลิปรายการScariest Place on Earthดีกว่า หลอนมากก
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 11:09 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 11:11
|
|
จากคุณ : แว่นจัง
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 11:17
|
|
จากคุณ : horrorfever
เขียนเมื่อ : 2 Dec 10 13:04 แก้ไขเมื่อ : 2 Dec 10 17:51
|
|
ขอบคุณครับ จะมีโอกาสได้ผ่านไปบ้างแต่ละสถานที่ไหมนะ อิอิ
จากคุณ : โครตโหดกระโดดยิง
เขียนเมื่อ : 5 Dec 10 09:45
|
|
จากคุณ : sol_la85
เขียนเมื่อ : 6 Dec 10 22:52
|
|
ขอบคุณค่ะ อ่านเพลินมากๆ ๆ ๆเลยยย
จากคุณ : ลำดวน
เขียนเมื่อ : 18 Jan 11 18:36
|
|
การรักษาแบบ Lobotomy นึกถึงหนัง Sucker Punch เลยยยยยย
จากคุณ : jzyjjx
เขียนเมื่อ : 9 Oct 12 16:15
|
|
จากคุณ : blame me
เขียนเมื่อ : 1 Sep 13 19:19
|
|